บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1720 สะบั้นแขนในกระบวนท่าเดียว
บทที่ 1720 สะบั้นแขนในกระบวนท่าเดียว
………………..
บทที่ 1720 สะบั้นแขนในกระบวนท่าเดียว
จังหวะนั้นเอง ตอนมองเฉินซีถูกพลังที่มองไม่เห็นคุมร่างไว้แล้วถูกลากออกไป รอยยิ้มเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกงเหย่หนานลี่และคนอื่น ๆ
ทั้งยังรู้สึกยินดีที่อีกไม่นานจะได้ระบายโทสะเสียที
สหายน้อยที่มาจากไหนก็ไม่รู้กลับทำให้พวกเขาต้องเสียหน้าเสียความสุขุมต่อหน้าสาธารณชน ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเฉินซีเป็นเด็กบัดซบที่เย่อหยิ่งเกินตัวกันทั้งนั้น
มีพลังล้นฟ้าแล้วอย่างไร?
มีแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงแล้วอย่างไร?
สุดท้ายก็ต้องถูกขยี้ไปเหมือนมดตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ?
ดียิ่ง! เป็นภาพที่ดียิ่ง! ยามมองร่างเฉินซีถูกลากเข้ามาเรื่อย ๆ ใจของยอดฝีมือทั้งหลายก็ยิ่งรู้สึกยินดี
เขาหัวเราะเสียงเย็น ดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกำลังมองเหยื่อเดินเข้ามาถูกสังหารเองอย่างไรก็อย่างนั้น
หลังจากเขาบอกว่า ‘มานี่’ เขาก็พูดว่า ‘คุกเข่าแล้วปลิดชีพตนเองเสีย’!
ทุกคนจำคำเหล่านั้นได้ดี จึงไม่มีใครผลีผลามลงมือทำอะไร พวกเขากำลังรอ รอมองเฉินซีคุกเข่าลงแล้วปลิดชีพตนเอง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ยอดฝีมือหลายคนก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก มีสิ่งใดจะคลายอารมณ์โกรธไปได้มากกว่าการมองคนหนุ่มที่มีฝีมือสะท้านฟ้า มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา แล้วมีความสามารถเหนือใครในมหาเทวาวิญญาณคุกเข่าลงต่อหน้า ก่อนจะปลิดชีพตนเองเพื่อชดใช้บาปที่ทำไว้ได้บ้าง?
สามร้อยลี้
หนึ่งร้อยลี้
ห้าสิบลี้
ใกล้แล้ว
ใกล้เข้ามาอีก
ระหว่างที่มองเฉินซีลอยเข้าฝั่งไปเหมือนนักโทษ ทุกคนล้วนแต่ตื่นเต้นยินดี รอยยิ้มเย็นชาบนใบหน้ายิ่งกดลึก
ทว่าเฉินซียังคงสีหน้าไร้อารมณ์ไว้ มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยจิตสังหารและความมุ่งมั่น
ไฟโกรธในใจทำให้ภายในมีแต่ความเกรี้ยวกราด ดังนั้นถึงแม้จะไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ แต่เขาจะไม่คุกเข่าลงอย่างแน่นอน!
และยิ่งไม่ปลิดชีพตนเองต่อหน้าคนพวกนี้แน่!
ถึงสุดท้ายจะไม่รอดอย่างไร แต่เขาจะใช้ทุกวิถีทางที่มีเอาพวกเวรตะไลนี่ลงไปด้วย!
“ตระกูลลั่ว ตระกูลกงเหย่ ตระกูลเยว่ ตระกูลจิน ตระกูลคุนอู๋ ตระกูลเป่ย…. ข้า เฉินซี จะจำเรื่องนี้เอาไว้ หากวันนี้ข้ารอดพ้นไปได้ ข้าย่อมทำให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสการกระทำของตนเอง!” เฉินซีกวาดสายตามองใบหน้าทั้งหลาย
ตู้ม!
กระแสพลังก้อนหนึ่งโจมตีเข้ามา ซัดร่างเฉินซีกระเด็นขึ้นฝั่งไป คิดจะกดให้เขาคุกเข่าลง
แต่ในตอนนั้นเอง เฉินซีก็ดึงพลังมาต้านไว้ได้ ตัวยังคงยืดตรงไม่ยอมคุกเข่าลงแต่อย่างไร
แต่ใบหน้าพลันเริ่มบิดเบี้ยว เนื้อตัวสั่นสะท้าน คล้ายกับเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
เขาจ้องมองไปที่ใจกลางชายฝั่ง มองร่างที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนหัวมังกร มุมปากเผยยิ้มเย็นโค้งปรากฏ “ลั่วชง! ข้าจะจำเรื่องนี้ไว้!”
“คุกเข่า!” มีคนไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ ก่นคำออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยม
คำว่า ‘คุกเข่า’ ดังก้องทั่วฟ้าดินอยู่ชั่วขณะ บรรยากาศโดยรอบเจือไปด้วยแววสังหาร
ทว่าเฉินซียังคงตัวคนเดียว ถูกรายล้อมไปด้วยศัตรูมากมาย ช่างดูน่าสงสารเหลือเกิน
“ตาแก่เวรตะไลพวกนี้!” เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ กัดฟันแทบแหลกด้วยความโกรธ เบิกตาแทบถลน มันจะมากเกินไปแล้ว! คิดจะทรมานเฉินซีให้ตายกันไปข้าง!
เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ คิดพุ่งเข้าไปอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรผู้อาวุโสก็จะหยุดไว้ทุกครั้ง จึงได้แต่มองอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ในใจรู้สึกทรมานยิ่ง
“คุกเข่าลงเสีย!” เมื่อเห็นเฉินซียังไม่คุกเข่าลง กงเหย่หนานลี่จึงไม่อาจยั้งความเกลียดชังในใจไว้ได้อีก ซัดฝ่ามือออกมาบีบคั้นอีกแรง ทำให้เกิดพายุพัดโหม ห้วงอากาศถูกบดขยี้เป็นผง
ตอนนี้กงเหย่หนานลี่ฟื้นพลังขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลกลับมาแล้ว ทันทีที่โจมตีออกไป อำนาจย่อมต่างจากแต่ก่อน ทั้งเฉินซียังถูกยับยั้งจนขยับไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นอิสระ แต่ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีนี้ได้แน่
ทันใดนั้น เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ ก็หายใจไม่ออก ได้แต่หลับตาเพราะทนมองภาพเฉินซีคุกเข่าลงไม่ได้
จังหวะนั้นคนทั้งหลายก็หัวเราะออกมา
ตอนนี้ดวงตาสีดำสนิทของเฉินซีแดงก่ำจนเหมือนเลือด
ฟ่าว!
และในจังหวะนั้นเองที่มีปราณกระบี่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
กงเหย่หนานลี่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกสะบั้นแขนขวาขาด!
แล้วในจังหวะเดียวกันนั้น เงาร่างผอมบางงดงามตาในชุดสีแดงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินซี มือเรียวสะบัดเพียงครั้ง แรงพลังของกงเหย่หนานลี่ก็หายไปไม่เหลือรอย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ทุกคนยังคงยิ้มเย็น เฉินซียังคงดวงตาแดงก่ำ กระแสปราณกระบี่ปรากฏขึ้นพร้อมกับเงาร่างสีแดง…. เป็นเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน แต่กลับเกิดขึ้นพร้อมกันในพริบตา
จากนั้นแขนที่ถูกสะบั้นก็ลอยขึ้นฟ้าพร้อมกับเลือดที่โปรยลงมาเหมือนฝน กงเหย่หนานลี่กรีดร้องเสียงเจ็บปวดดังลั่น เหมือนเสียงอสูรคำรามโหยหวน
“บ้าเอ๊ย!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“กงเหย่หนานลี่ถูกสะบั้นแขนในพริบตาเช่นนี้… เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
คนที่ยืนดูอยู่รอบข้างเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นมาด้วยความตกใจ
ทุกคนเริ่มระมัดระวังขึ้นมาทันใด ไม่คิดเลยว่าเรื่องเช่นนี้จะปรากฏขึ้นในจังหวะนั้นได้
เล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ นิ่งอึ้งไป เมื่อลืมตาขึ้นมามองเหตุการณ์ก็เห็นว่ามีเงาร่างสีแดงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเฉินซี
ทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม เงาร่างสง่างามเย้ายวนใจ นางสวมชุดสีแดงปักลายวิหคเพลิง สวมมงกุฎคล้ายหางวิหคเพลิง ใบหน้ามีผ้าสีแดงคลุมอยู่ เหลือไว้เพียงดวงตาใสกระจ่างดั่งดวงดาวให้เห็น
แม้นางจะยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่กลิ่นอายดุดันดั่งจักรพรรดิที่แผ่ออกมาก็เด่นชัด เป็นพลังกดดันบีบคั้นจนหายใจไม่ออก คล้ายสามารถกำหนดชีวิตของทุกสรรพสิ่งบนโลกได้
ขอบเขตมหาเทพเทวา!
พริบตานั้น ไม่ใช่เพียงเล่ออู๋เหินและคนอื่น ๆ เท่านั้นที่ตกตะลึง แต่ยอดฝีมือคนอื่นก็เบิกตากว้างเช่นกัน เพราะสัมผัสได้ถึงพลังของคนผู้นี้แล้ว
เฉินซีเองก็ชะงักไป ดวงตาแดงก่ำคลายแววดุดันลง เรียกความสุขุมกลับมาได้ในที่สุด
แต่คงไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว เพราะจักรพรรดินีอวี้เชอมาถึงแล้วนั่นเอง!
ใช่แล้ว สตรีชุดแดงตรงหน้าคือจ้าวเอกภพแห่งเอกภพมสิหิม จักรพรรดินีอวี้เชอ
ยอดฝีมือขอบเขตมหาราชเทวา!
“อวี้เชอ! เป็นเจ้า!” กงเหย่หนานลี่คำรามลั่น จ้องจักรพรรดินีอวี้เชอเขม็ง นัยน์ตาแทบมีไฟลุกโชนออกมา
“ทำไมจะเป็นข้าไม่ได้ล่ะ?” จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นหู ทว่าเย็นชา เผยอำนาจสูงส่งเหนือใคร
ใจทุกคนสะท้านหนักหน่วง ในที่สุดก็รู้ตัวตนของนางเสียที แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงต้องทำเช่นนี้
นางมีความสัมพันธ์อันใดกับเฉินซี?
อย่างไรคนส่วนมากที่นี่ก็เป็นยอดฝีมือจากกองกำลังใหญ่ของเอกภพจักรวรรดิ
หรือนางคิดจะต่อกรกับกองกำลังใหญ่เหล่านี้? นางไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?
“ข้าเข้าใจแล้ว หรือเป็นเจ้าที่ให้เจ้าเด็กนี่สังหารเจ๋อฟู!?” กงเหย่หนานลี่เหมือนจำเรื่องในอดีตได้ ใบหน้ายิ่งขึ้นสียามเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว
นางพูดเช่นนั้นโดยไม่สนใจยอดฝีมือรอบข้างเลย ทำเพียงสะบัดแขนครั้งเดียวก็แหวกห้วงมิติออก คิดจะจากไปพร้อมกับเฉินซีเช่นนั้น ความเย่อหยิ่งจองหองของนางทำให้ใจผู้คนสั่นสะท้านได้ทีเดียว
“อวี้เชอ คิดหรือว่ามีข้าอยู่จะหนีไปได้?” ทันใดนั้นน้ำเสียงเรียบเฉยก็ดังขึ้น ห้วงมิติที่กรีดออกพลันหายวับไป
ย่อมเป็นคำของจักรพรรดิชงโตวที่ยืนสองมือไพล่หลังอยู่กลางฟ้า จังหวะนั้นเอง ดวงตาของเขาเหมือนส่องภาพดวงตะวันและจันทราลอยเด่น เต็มไปด้วยกระแสศักดิ์สิทธิ์ให้กลิ่นอายเย็นยะเยือก
“ฮึ่ม! อยากรู้จริง ๆ ว่าคนเช่นเจ้า ลั่วชง มีฝีมืออะไรมาหยุดข้าได้” จักรพรรดินีอวี้เชอหรี่ตาลงพร้อมแววเย็นชา
แม้สองจักรพรรดิกำลังยืนพูดคุยกันอยู่เท่านั้น แต่พอเอ่ยคำออกมาเช่นนั้น รอบข้างก็ตกอยู่ในบรรยากาศกดดันทันใด ห้วงอากาศทั้งหลายแข็งค้างไปชั่วขณะ มองแล้วชวนหายใจไม่ออกน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ
เพราะทั่วฟ้าดินถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายดุดันของสองจักรพรรดิ!
“ได้ยินว่าเจ้าสยบกระบี่มลทินอเวจีได้แล้ว นั่นคงจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้ากระมัง? น่าเสียดายที่นี่ไม่เหมือนกับในอดีต ตอนนั้นข้าอาจยังกลัวเจ้าอยู่บ้าง แต่ในวันนี้ถึงเจ้าจะผสานกระบี่มลทินอเวจีกับกระบี่พิฆาตฟ้าเป็นหนึ่งก็คงไร้ผล ดูสิว่าข้ามีอะไรอยู่?” จักรพรรดิชงโตวเอ่ยเสียงเรียบ มองจักรพรรดินีอวี้เชอที่ยืนอยู่มุมฝั่งมหาสมุทรด้วยสายตาเหมือนมองคนต่ำกว่า จากนั้นก็พลิกฝ่ามือ
พลังผันผวนพลันปรากฏ หนังอสูรลอยขึ้นในมือ หนังอสูรชิ้นนี้เคยเห็นภาพสรรพสิ่งคุกเข่า เหล่าปราชญ์กำลังอ่านคัมภีร์
ภาพเหมือนของปราชญ์!
เฉินซีหรี่ตาลง ไม่คิดเลยว่าสมบัติที่หนีไปพร้อมกับร่างลั่วฉ่าวหนงจะมาปรากฏอยู่ในมือของจักรพรรดิชงโตวได้
“ภาพเหมือนของปราชญ์เป็นสมบัติล้ำค่าก็จริง แต่ถึงไปอยู่ในมือเจ้า เจ้าเพียงคนเดียวก็รั้งข้าไว้ไม่ไหวหรอก” จักรพรรดินีอวี้เชอยังคงความสุขุมไว้
“ข้าย่อมรู้เรื่องนั้นดี แต่ใครบอกเจ้าว่าข้ามาคนเดียว?” จักรพรรดิชงโตวเอ่ย มุมปากยกโค้งขึ้น ร่างกายพลันปรากฏสายฟ้าแล่นผ่าน ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของตน
ว่าไงนะ?
ใจทุกคนสั่นสะท้านยามได้ยิน หรือว่าแถวนี้จะมีจักรพรรดิคนอื่นอยู่ด้วย?
จักรพรรดินีอวี้เชอหรี่ตาลง เหมือนสัมผัสบางอย่างได้ ไม่นานก็กล่าวว่า “พวกเขายังมาไม่ถึงสินะ”
ลั่วชงตอบมาตามตรง “ใช่ แต่อีกไม่นานหรอก”
เคร้ง! เคร้ง!
ทันใดนั้น จักรพรรดินีอวี้เชอก็ปะทะฝ่ามือเข้ากับอากาศ พลันปรากฏกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาสองเล่ม กระบี่มลทินอเวจีอยู่ในมือซ้าย กระบี่พิฆาตฟ้าอยู่ในมือขวา
พริบตานั้น กลิ่นอายดุดันก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม สะท้านถึงสวรรค์ทั้งเก้าจนดาราตกอยู่ในความโกลาหล!
“เช่นนั้นก็ลองดูว่าข้าจะไปก่อนหน้านั้นได้หรือไม่!”