บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1727 ข้อพิพาท
บทที่ 1727 ข้อพิพาท
เฉินซีมองภูเขาลั่วเจียซึ่งอยู่ไกลออกไปแล้วอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “นี่คือดินแดนมั่งคั่งของจริง เส้นชีพจรศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยความเจิดจ้า ส่วนกลิ่นอายอุดมสมบูรณ์ก็ทะยานสู่ท้องฟ้า เหมาะแก่การฝึกฝนยิ่งนัก”
ด้วยสายตาของเขาในตอนนี้ ทำให้มองเพียงปราดเดียวก็เห็นความลึกลับจำนวนมาก
จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยคำ “มีข่าวลือว่าภูเขาลูกนี้คงอยู่มาหนึ่งร้อยแปดสิบล้านปี ซึ่งยาวนานกว่าประวัติศาสตร์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณที่ปัจจุบันตั้งอยู่เสียอีก”
ขณะสนทนา ทั้งสองพาชายหนุ่มนามเสี้ยวม่าไปที่ชายฝั่ง
ภูเขาลั่วเจียกว้างใหญ่ไพศาลราวกับไร้จุดสิ้นสุด โดยมีภูเขาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่ทุกหนแห่งประหนึ่งแผ่นดินกว้างใหญ่
นิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณตั้งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีแสงสว่างเจิดจ้า โดยลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงประหนึ่งฝนพรำ ทำให้บรรยากาศดูละลานตานัก
เพียงมองปราดเดียวก็จะพบที่ตั้งของประตูสำนักอย่างไม่ยากเย็น
ชายหนุ่มนามเสี้ยวม่ามาที่นี่เพื่อเข้ารับการฝึกฝนกับนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ ส่วนเฉินซีกับจักรพรรดินีอวี้เชอวางแผนจะไปนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณเพื่อสอบถามเกี่ยวกับข่าวคราวของอารามไท่ชู ระหว่างทางพวกเขาได้ยินข้อมูลมามากมาย ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เฉินซีย่อมไม่มีทางปล่อยชายหนุ่มผู้นี้ไปเพียงลำพัง
นอกจากนี้ เสี้ยวม่าเป็นคนจิตใจดีและคล้ายกับมาจากตระกูลยากจน ระหว่างทางจึงค่อนข้างสงวนท่าทีโดยไม่แสดงออกอะไร แต่เพราะเหตุนี้เฉินซีจึงยิ่งประทับใจในตัวอีกฝ่าย
เพื่อไม่ให้ล่าช้าไปกว่านี้ พวกเขาทั้งสามทะยานสู่อากาศก่อนจะมาถึงด้านหน้าประตูนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณในพริบตา
ตอนนี้ชายหญิงจำนวนหลายร้อยคนรวมตัวอยู่หน้าประตูสำนัก
เห็นได้ชัดว่าชายหญิงเหล่านี้มีจุดกำเนิดไม่ธรรมดา สวมเสื้อผ้างดงาม พวกเขามาพร้อมกับผู้อาวุโสตระกูล องครักษ์ และผู้ติดตาม
เมื่อเฉินซีและจักรพรรดินีอวี้เชอมาถึงพร้อมเสี้ยวม่า พวกเขาก็ตกเป็นเป้าสนใจทันที
“มีอีกสามคนมาที่นี่ อนิจจา การแข่งขันชักจะดุเดือดขึ้นแล้ว”
“ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้นิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณรับศิษย์เพียงสามสิบคน หากคำนวณโดยยึดตามนี้ อย่างน้อยพวกเราครึ่งหนึ่งก็ต้องถูกคัดออก”
“เหอะ ข้าไม่ห่วงเรื่องนั้นหรอก สิ่งที่ข้าห่วงก็คือจะมีใครแอบโกงระหว่างรับศิษย์ในครั้งนี้หรือเปล่า”
จากบทสนทนาเหล่านี้ เฉินซีจึงตัดสินได้ว่าชายหญิงเหล่านี้เหมือนกับเสี้ยวม่าที่มารับการทดสอบเข้าร่วมนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ
เฉินซีถึงกับลอบหัวเราะในใจ คนพวกนี้มองอย่างไรว่าเขากับจักรพรรดินีอวี้เชอมาเข้ารับการทดสอบเช่นกัน
จักรพรรดินีอวี้เชอเกียจคร้านเกินกว่าจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้ นางชำเลืองมองประตูสำนักซึ่งอยู่ไกลออกไปก่อนจะวางแผนเข้าไป
“รอเดี๋ยวก่อน”
เฉินซีชำเลืองมองเสี้ยวม่าผู้อยู่ข้างกายก่อนจะเริ่มครุ่นคิด
ว่ากันตามตรง คุณสมบัติของเสี้ยวม่าเพียงอยู่ในเกณฑ์ดีเท่านั้น แต่ก็ไม่นับว่ายอดเยี่ยม เขายังด้อยกว่าหนุ่มสาวซึ่งอยู่ใกล้เคียงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังไม่มีกองกำลังหนุนกำลัง ทำให้โอกาสที่จะได้เข้านิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณด้วยความพยายามของตนค่อนข้างน้อย
“ด้วยคุณสมบัติของเขา ย่อมไม่สามารถเข้านิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณได้อย่างแน่นอน”
จักรพรรดินีอวี้เชอคล้ายกับเข้าใจความคิดของเฉินซีขณะเอ่ยตามตรง
สีหน้าของเสี้ยวม่าแข็งทื่อขณะวิตกเล็กน้อยและมีดวงตาหมองหม่น เขาไม่คาดคิดว่าจะถูกปฏิเสธโดยผู้อาวุโสทั้งสองผู้อยู่ข้างกายก่อนจะทันได้เข้ารับการทดสอบ
สำหรับเขา มันไม่ต่างจากถูกสายฟ้าฟาด ทั้งชวนให้ตกตะลึงและเต็มไปด้วยความขมขื่นที่ไม่อาจอธิบายได้
“ฮ่าฮ่า! เสี้ยวม่า! เป็นเจ้าจริงด้วย ทำไมถึงยังไม่ยอมแพ้อีก? ข้าไม่คิดเลยว่าพ่อของเจ้าที่ไม่มีอะไรดีจะสามารถส่งเจ้ามาที่นี่ได้”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดผ้าทอและขนเตียวหัวเราะเสียดสีโดยไม่คิดปิดบัง ข้างกายเขามีกลุ่มผู้ติดตามและองครักษ์ในชุดหรูหรา
สิ้นคำ เขาคำนับอย่างสง่างามไปทางจักรพรรดินีอวี้เชอพร้อมกับคลี่ยิ้มสดใส
ใบหน้าของเสี้ยวม่ามืดมนขณะดวงตาเบิกกว้างด้วยโทสะ “เมิ่งหยวนชิ่ง เจ้าหาว่าใครไม่มีอะไรดีงั้นหรือ?”
“เจ้าโกรธหรือ? ฮ่าฮ่า พ่อของเจ้าเคยเป็นทาสของตระกูลเมิ่ง ต่อให้เรียกว่าขยะ ข้าก็คิดว่ามันเป็นการให้เกียรติอันสูงส่งแล้ว”
ชายหนุ่มนามเมิ่งหยวนชิ่งเย้ยหยัน “อีกอย่าง ถ้าเจ้ากล้าเห่าเหมือนลูกหมาอีกก็อย่าโทษข้าที่ไร้ความปรานี!”
ในตอนนี้ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมิ่งหยวนชิ่งกับเสี้ยวม่า ไม่สงสัยเลยว่าเมิ่งหยวนชิ่งถึงกล้าทำให้เสี้ยวม่าอับอายขายขี้หน้าได้ปานนี้
เสี้ยวม่าเดือดดาลจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เขากัดฟันเพื่อระงับโทสะเอาไว้ และไม่คิดเอ่ยคำใดแม้เพียงครึ่งคำ
เขาไม่ขอความช่วยเหลือจากเฉินซีหรือจักรพรรดินีอวี้เชอ
เขาไม่ยอมให้ความโกรธครอบงำและเข้าต่อสู้จนตัวตายกับเมิ่งหยวนชิ่ง
เพราะเขาไม่ยอมตัดใจจากความคิดที่จะเข้านิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ เขาจะไม่ยอมให้เรื่องแค่นี้มาหยุดเขาได้
แต่ในสายตาของคนอื่น ๆ บริเวณใกล้เคียง เสี้ยวม่าคล้ายกับยอมรับความพ่ายแพ้เพราะขลาดกลัว พวกเขาจึงแสดงสีหน้าเหยียดหยันหรือไม่ก็เวทนาออกมาอย่างไม่ปิดบัง
เฉินซีสังเกตเห็นทั้งหมดนี้เช่นกัน จากนั้นจึงตบบ่าของเสี้ยวม่าแล้วมองอวี่เช่อ ก่อนจะยักไหล่ “เห็นหรือไม่ แค่คำพูดเดียวของเจ้าก็สร้างปัญหาได้มากขนาดนี้”
จักรพรรดินีอวี้เชอยักไหล่เช่นกัน “ข้าจะชดใช้ให้เขาทีหลัง”
เมื่อทั้งสองสนทนากันเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายซึ่งอยู่ใกล้เคียงต่างพากันสับสน พวกเขาไม่อาจคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับเสี้ยวม่าได้
โดยเฉพาะเมิ่งหยวนชิ่งที่รีบยิ้มแล้วเอ่ยคำ “แม่นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าเสี้ยวม่าเป็นดังที่ว่ามาจริง สิ่งที่ท่านพูดมาไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด จะชดใช้ให้เสียของไปทำไม?”
จักรพรรดินีอวี้เชอชำเลืองมองอย่างเฉยชาโดยไม่เอ่ยคำอะไร พร้อมเดินไปทางประตูสำนัก
ถึงแม้จะเพียงแค่ปรายตา แต่ก็ทำให้เมิ่งหยวนชิ่งรู้สึกเย็นเยือกอยู่ภายในจนยากจะอธิบาย อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน วิญญาณสั่นเทา ทั่วทั้งใบหน้าพลันซีดเผือด
มะ… หมายความว่าอย่างไร?
เมิ่งหยวนชิ่งหวาดกลัว ตอนนี้เขาคล้ายกับตกลงไปในหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดจนเกือบจะสูญสติ!
เขาอ้าปากหมายจะอุทานออกมา แต่กลับพบว่าไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ ความจริง ทั่วร่างคล้ายถูกจองจำ ไม่สามารถขยับได้แม้แต่หนึ่งชุ่นราวกับถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นรูปปั้นดินเหนียว!
นี่ยิ่งทำให้เมิ่งหยวนชิ่งหวาดกลัว ผู้หญิงคนนั้น… เป็นใครกันแน่!?
…
“ไปบอกผู้อาวุโสหลิวหยาจื่อว่าสหายเก่ามาเยี่ยม”
ศิษย์สองคนจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณกำลังยืนคุ้มกันอยู่เบื้องหน้าประตูสำนัก เมื่อได้ยินคำของจักรพรรดินีอวี้เชอ พวกเขาต่างตกตะลึง
ผู้หญิงคนนี้ช่างอวดดีนัก นางกล้าอ้างว่าเป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสเชียวหรือ!
“ฮ่าฮ่า ก่อนหน้านี้ญาติห่าง ๆ ของจ้าวนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณมาที่นี่ คราวนี้สหายเก่าของผู้อาวุโสหลิวหยาจื่อก็มาอีก”
“เหอะ ผู้คนสมัยนี้ยอมทำเรื่องไร้ยางอายเพื่อให้ได้เข้านิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณเชียวหรือ? เจ้ากล้าแสร้งมาเป็นสหายเก่าของอาวุโสหลิวหยาจื่อได้อย่างไร ช่างอาจหาญนัก!”
“ข้าไม่คิดเลยว่าหญิงสาวหน้าตาดีเช่นนี้จะกลับพูดจาเหลวไหลไปเรื่อย”
เมื่อคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินคำของจักรพรรดินีอวี้เชอ พวกเขาตกตะลึงเช่นกันก่อนจะหัวเราะร่วน บ้างแสดงสีหน้าล้อเลียน บ้างเอ่ยคำติดตลก
พวกเขาไม่คาดคิดว่ายังจะมีคนกล้าปลอมตัวอีก อีกทั้งยังแอบอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสหลิวหยาจื่อ!
หลิวหยาจื่อคือใคร?
เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ อีกทั้งยังเป็นผู้อาวุโสที่ครอบครองขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล! ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะมีคนเช่นนี้ปรากฏตัวบนโลก
ส่วนจักรพรรดินีอวี้เชอ นางสวมเสื้อสีเขียว กระโปรงสีขาว มงกุฎขนนกและมีผ้าสีดำบดบังใบหน้า ถึงแม้ท่าทีจะสงบ แต่กลับทำตัวลึกลับจนดูไม่สะดุดตา จึงเป็นการยากที่จะเชื่อมโยงนางกับจักรพรรดินีได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่นางเอ่ย?
ถึงอย่างนั้น ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณผู้คุ้มกันประตูสำนักยังคงก้มศีรษะด้วยความสุภาพแล้วเอ่ยคำ “ขอโทษด้วย ผู้อาวุโสเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะเมื่อหลายปีก่อน เขาไม่สนใจเหตุการณ์ทางโลกแล้ว”
“ข้าไม่นึกเลยว่าแม้แต่เจ้าก็ถูกปฏิเสธ”
เฉินซีก้าวมาข้างหน้าหลังจากทราบความเห็นรอบข้าง ทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
“ดูท่าว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะข้าสุภาพมากเกินไปสินะ”
ดวงตากระจ่างใสของจักรพรรดินีอวี้เชอเต็มไปด้วยร่องรอยของความจนใจ ใช่แล้ว ด้วยสถานะของนาง ต่อให้ไม่รายงานว่าไปที่ใดก็ยังมีคนออกมาต้อนรับด้วยความเคารพ ไหนเลยจะเคยเกิดเรื่องเช่นนี้?
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะตอนนี้นางปลอมตัวและจงใจปกปิดตัวตน ทำให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
“นี่ ข้าจะบอกให้เอาบุญพวกเจ้าทั้งสองแล้วกัน รออยู่ที่นี่อย่างสงบจะดีกว่า ขืนยังไม่เลิกสร้างปัญหา พวกเจ้าได้ถูกไล่ออกไปแน่!”
ใครบางคนส่งสายตาพลางตะโกน
ดวงตากระจ่างชัดของจักรพรรดินีอวี้เชอแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในพลัน
ตอนนี้เสียงตะโกนพลันดังมาจากประตูสำนัก “ใครมาส่งเสียงเอะอะที่นี่? ช่างโอหังนัก!”
สิ้นเสียงดังกล่าว ร่างของชายวัยกลางคนผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมและสวมชุดคลุมปักลายงูหลามคาดเข็มขัดหยกก็ปรากฏตรงหน้าประตูสำนัก สายตาเย็นชาประหนึ่งสายฟ้าขณะตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ
ทันใดนั้น ทั่วพื้นที่ก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับจักจั่นในฤดูหนาว
“รายงานผู้อาวุโสสาม…” ศิษย์ผู้อยู่ตรงหน้าประตูสำนักรีบก้าวมาข้างหน้าแล้วบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟัง
“โอ้?”
เมื่อได้ยินว่ามีใครบางคนถึงกับกล้าแสร้งเป็นสหายเก่าของผู้อาวุโสหลิวหยาจื่อ ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้โอ่อ่ามืดมน ดวงตาประหนึ่งมีดขณะชำเลืองมองจักรพรรดินีอวี้เชอ
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกขบขันอยู่ภายในราวกับกำลังรับชมเรื่องสนุก
“หืม?”
ทว่าชายวัยกลางคนกลับไม่ได้แสดงท่าทีเดือดดาล คล้ายค้นพบบางสิ่งก่อนจะเปล่งเสียงด้วยความประหลาดใจ “เจ้าคือ…”
“สหายเต๋าตัวน้อย เจ้าอยากไล่ข้าไปหรือไม่?” จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยคำอย่างสงบ
สหายเต๋าตัวน้อยหรือ?
ทุกคนตกตะลึง ผู้หญิงคนนี้ถึงกับเรียกมั่วเต้าเฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโสสามของนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณเช่นนั้นหรือ?
แต่เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ ชายวัยกลางคนก็หน้าถอดสีราวกับไม่อยากเชื่อตาตัวเอง “ทะ… ท่านคือ…”
ขณะเอ่ยคำ เขาก็คุกเข่าจนเกิดเสียงดังตุบ หน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นออกมาก่อนจะเปิดปากเพื่อเอ่ยคำบางอย่าง
แต่เขากลับถูกจักรพรรดินีอวี้เชอขัดด้วยการเอ่ยคำอย่างสงบ “พาข้าไปพบหลิวหยาจื่อ”
“ขะ ขอ ขอรับ…”
มั่วเต้าเฉินรีบลุกขึ้นขณะพูดติดอ่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยำเกรง
เมื่อได้เป็นสักขีพยานเรื่องดังกล่าว ทุกคนในที่นี้ต่างประหลาดใจก่อนอ้าปากค้าง
มั่วเต้าเฉินซึ่งเป็นผู้อาวุโสสามของนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณและมีสถานะสูงส่งถึงกับคุกเข่ากับพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว ใครเล่าจะกล้าเชื่อเรื่องเช่นนี้?
………………..