บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1728 ห้วยไผ่ม่วง
บทที่ 1728 ห้วยไผ่ม่วง
บรรยากาศสงัดดั่งป่าช้า มวลชนตะลึงนิ่งดุจรูปปั้นดินเหนียว
กระทั่งสองศิษย์ยืนเวรยามหน้าทางเข้ายังเบิกตากว้างเหมือนเห็นผี
“ไอ้พวกบ้า! เปิดทางเข้าสิ!” มั่วเต้าเฉินเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ก็อดตำหนิเสียงดังมิได้
ศิษย์ทั้งสองเหมือนตื่นจากความฝัน พวกเขารีบร้อนเปิดข้อจำกัดพิทักษ์นิกาย ก่อนจะถอยไปยืนห่าง ๆ ด้วยท่าทีพินอบพิเทา
“เชิญผู้อาวุโส!” หลังเผชิญเรื่องชวนผงะไปในทีแรก มั่วเต้าเฉินฟื้นสติขึ้นแล้วเล็กน้อย และทราบว่าจักรพรรดินีอวี้เชอไม่อยากเปิดเผยตัวตน เขาจึงทำตัวรู้ความ ไม่กล่าวถึงนามจริงของนาง
จักรพรรดินีอวี้เชอพยักหน้า
นางไม่ได้ใช้อำนาจรังแกเขา เพราะนางไม่ได้กดดันมั่วเต้าเฉินเลยตั้งแต่ต้น แต่เป็นการกระทำของมั่วเต้าเฉินเองทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน มั่วเต้าเฉินรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา
กาลก่อนยามเขาเป็นเพียงบริวารเต๋า เขามีวาสนาได้เข้าเฝ้าจักรพรรดินีอวี้เชอกับหลิวหยาจื่อผู้เป็นอาจารย์ จึงตระหนักดีว่าสถานะของจักรพรรดินีอวี้เชอสูงส่งเพียงไร กระทั่งหลิวหยาจื่ออาจารย์เขายังต้องวางตัวเป็นผู้น้อยยามพบนาง!
“โอ้” ร่างของเสี้ยวม่าสะท้าน รีบร้อนเดินเข้ามาด้วยสีหน้านอบน้อมระคนขวัญกระเจิง
“ผู้อาวุโส ท่านผู้นี้คือ?” มั่วเต้าเฉินเพิ่งสังเกตเห็นเฉินซีในขณะนี้ และอดถามอย่างนอบน้อมไม่ได้
“เฉินสวิน สหายผู้หนึ่งของข้า” จักรพรรดินีอวี้เชออธิบายคร่าว ๆ
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสเฉินสวิน” มั่วเต้าเฉินรีบร้อนก้มหัว ขณะครุ่นคิดในใจว่าเฉินสวิน? หรือนี่จะเป็นจักรพรรดิอีกท่านหนึ่ง?
ขณะเสวนา กลุ่มของเฉินซีก็ตามมั่วเต้าเฉินเข้าไปในนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ คนอื่น ๆ รอบข้างก็ฟื้นจากความตะลึง ทว่าขณะนี้ สีหน้าของพวกเขาซับซ้อนถึงขีดสุด
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าสตรีนางนั้นไม่ได้เสแสร้ง และแค่ท่าทีนอบน้อมยำเกรงของมั่วเต้าเฉินก็ทำให้พวกเขากระจ่างแจ้งแล้วว่านางไม่ใช่แค่สหายเก่าของหลิวหยาจื่อ ที่มาของนางยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าด้วย!
แกร๊ง! แกร๊ง!
เสียงระฆังกึกก้องยิ่งใหญ่ดังออกมาจากในนิกายห่างออกไป
“ถึงเวลาแล้ว ผู้ที่จะเข้ารับบททดสอบโปรดเข้ามารอด้านใน ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องขอให้รออยู่ที่เดิม” หนึ่งในศิษย์เฝ้ายามหน้าทางเข้าประกาศออกมาเสียงดัง
คนอื่น ๆ ต่างกระปรี้กระเปร่า เดินตามกันเข้านิกายหลังยืนยันตัวตนเสร็จสิ้น
มีเพียงเมิ่งหยวนชิ่งเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธ
“ทำไมกัน?” เขาเดือดดาลอย่างยิ่ง
“เจ้านั่นแหละที่ตระหนักถึงเหตุผลดีกว่าใคร” ศิษย์ผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เพราะเสี้ยวม่าหรือ?” เมิ่งหยวนชิ่งไม่ใช่คนโง่ เขาพอจะเดาได้ทันที สีหน้าย่ำแย่ลง
“เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี” ศิษย์ผู้นั้นกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าทำเช่นนี้เพื่อเจ้าเองนะ หากผู้อาวุโสสามทราบว่าเจ้าเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกับเสี้ยวม่าผู้นั้น เจ้าก็น่าจะตระหนักถึงผลที่ตามมาดี”
เมิ่งหยวนชิ่งนิ่งไป แล้วสีหน้าก็ซีดขาวราวไร้วิญญาณ นอกจากนั้นในใจยังเกิดความเสียใจและคับข้องอย่างช่วยไม่ได้
ข้าเสียโอกาสแสวงวาสนาสูงสุด กราบอาจารย์เข้าฝึกฝนในนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณแค่เพราะลูกคนใช้คนหนึ่งหรือ?
…
หมู่ศาลาเรียงรายปกคลุมบริเวณภายในนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ รายล้อมด้วยเนินเขาอันงามสง่าเรืองรองรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มันดูประหนึ่งเมืองสวรรค์ท่ามกลางหุบเขา เป็นทิวทัศน์อันตระการตา
ที่นี่เป็นแดนจำกัดในนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ เนื่องจากผู้อาวุโสระดับสูงหลิวหยาจื่อปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่นี่
มั่วเต้าเฉินทำตามคำสั่งของจักรพรรดินีอวี้เชอ ไม่รบกวนผู้อื่นในนิกาย และพากลุ่มของเฉินซีตรงดิ่งไปที่หลังภูเขา
“ท่านอาจารย์ สหายเก่าท่านมาเยือนขอรับ” เขาสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นที่หน้าเคหาแห่งหนึ่งอย่างนอบน้อม
“สหายเก่า?” หนึ่งเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากในเคหาเฉียบพลัน “เต้าเฉิน สหายเก่าผู้ใดกันแน่? หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป บอกคนผู้นั้นไปว่าข้าในยามนี้กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการบ่มเพาะ ขออภัยที่ไม่อาจออกไปรับรอง”
มั่วเต้าเฉินเหลือบมองจักรพรรดินีอวี้เชอด้วยสีหน้าอับอาย ก่อนจะพูดอย่างนอบน้อม “ท่านอาจารย์ คือ… ผู้อาวุโสท่านนั้นจากเอกภพมสิหิม พวกเขาอยู่ที่นี่กันแล้วขอรับ”
“ผู้ใด? หรือว่า….” เสียงนั้นพลันหนักอึ้ง แล้วพริบตาต่อมา ข้อจำกัดรอบเคหาก็ขยับตัวเปิดออก ชายชราร่างผอมผู้หนึ่งปรากฏขึ้นจากภายใน
คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีเทา เส้นผมหงอกขาว ทว่าใบหน้ากลับเยาว์วัย นอกจากนั้น ดวงตายังเรืองประกายเจิดจรัส รูปลักษณ์ชวนตะลึงอยู่ไม่น้อย
ม่านตาหดตัวทันทีที่เห็นจักรพรรดินีอวี้เชอ ก่อนที่จะอุทานอย่างตกใจโดยช่วยไม่ได้ “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสอวี้เชอ”
คนผู้นี้ย่อมไม่พ้นหลิวหยาจื่อ ผู้อาวุโสระดับสูงแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ ตัวตนสูงสุดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
“เป็นท่านจริง ๆ ด้วย” หลิวหยาจื่อทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจยินดี รีบร้อนกล่าว “รีบเข้ามาเถิด”
“ช้าก่อน จัดแจงที่อยู่ให้เจ้าหนูนี่ก่อน เขาลำบากเพราะวาจาที่ข้าพูดนอกนิกาย” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวพลางชี้เสี้ยวม่า
เสี้ยวม่าดูตกอกตกใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่ได้โง่ ได้ยินเช่นนี้ จึงรีบร้อนก้มหัวกล่าวว่า “คารวะผู้อาวุโส”
“จัดแจงที่อยู่?” หลิวหยาจื่อพยักหน้าให้เสี้ยวม่า จากนั้นก็มองจักรพรรดินีอวี้เชอด้วยสีหน้างุนงง
“ใช่ เจ้าหนูนี่แสวงเต๋าอย่างเต็มหัวใจ ถือได้ว่าโชคดีที่ได้มาที่นี่กับข้าด้วยเจตนาเข้าร่วมนิกายเจ้า” จักรพรรดินีอวี้เชออธิบายสั้น ๆ
หลิวหยาจื่อผ่อนหายใจโล่งอก เขานึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ที่แท้ก็แค่จัดเตรียมให้ชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้าร่วมสำนัก นี่ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด
เขาหันมองมั่วเต้าเฉินทันที ขณะที่อีกฝ่ายรีบร้อนกล่าวอย่างเข้าใจเจตนาของเขาในฉับพลัน “ท่านอาจารย์วางใจเถิด เรื่องนี้ข้าจัดการเองขอรับ”
“ขอบคุณผู้อาวุโส” เสี้ยวม่าตื่นเต้นอยู่ในใจ คุกเข่าลงโขกหัวทันที
“ฮ่า ๆ! เจ้าหนู เจ้าให้ความสำคัญยิ่งกับสายสัมพันธ์ รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่เลวจริง ๆ จากนี้ไปก็ขยันบ่มเพาะในนิกาย ข้ารับประกันว่าอนาคตของเจ้าจะไร้ข้อจำกัดแน่” หลิวหยาจื่อหัวเราะเบา ๆ
เฉินซีตระหนักชัดเจนว่า แค่ด้วยความเคารพต่อจักรพรรดินีอวี้เชอลำพัง เสี้ยวม่าจะไม่ถูกละเลยในนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณแน่นอน
“ผู้อาวุโสอวี้เชอ โปรดเข้ามาเถิด” หลิวหยาจื่อยิ้มแก้มปริ เชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น “หลายปีมานี้ ข้าสะสมชาศักดิ์สิทธิ์เรียงเมฆาไว้บ้าง ขอใช้โอกาสนี้ให้ท่านประเมินได้เลย”
…
หนึ่งก้านธูปต่อมา สองบุคคลออกจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณ มุ่งหน้าสู่ทิศใต้ของภูเขาลั่วเจีย
“นายใหญ่ให้ไผ่ม่วงเจ้ามาชิ้นหนึ่งมิใช่หรือ? จากการอนุมานของข้า อารามไท่ชูน่าจะอยู่ในบริเวณห้วยไผ่ม่วงที่หลิวหยาจื่อพูดถึงนั่นแหละ”
“ใช่ ข้าก็คิดเช่นกัน แต่จากวาทะของหลิวหยาจื่อ สภาพแวดล้อมที่นั่นไม่ปกตินิดหน่อยนะ”
“อย่างน้อยก็ลองตรวจสอบกันก่อนเถอะ”
สองบุคคลนั้นก็คือเฉินซีและจักรพรรดินีอวี้เชอ
เพราะมีจักรพรรดินีอวี้เชออยู่ เฉินซีจึงได้ข้อมูลจากหลิวหยาจื่อโดยไม่ต้องพยายามเลย
แต่เฉินซีก็ต้องเสียดายเมื่อหลิวหยาจื่อไม่รู้เลยว่าอารามไท่ชูเป็นกองกำลังเช่นไร ถึงขนาดที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบนภูเขาลั่วเจียมีกองกำลังอื่น นอกจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณอยู่ด้วย
เช่นสถานที่ตั้งของ ‘ห้วยไผ่ม่วง’ นั้นเป็นพื้นที่อันตรายอย่างยิ่ง
สถานที่นั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัดโบราณอันลึกลับข้อหนึ่ง หากไม่รู้วิธีพิชิตมัน กระทั่งบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลก็ต้องประสบเคราะห์ตกตาย อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
ในอดีตกาลตลอดมา นิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณส่งยอดฝีมือมาตรวจสอบที่แห่งนั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ไร้ผู้ใดเหลือรอด ทำให้นิกายศักดิ์สิทธิ์ล้อมวิญญาณทิ้งเจตนายึดบริเวณนี้โดยสมบูรณ์
แต่ข้อมูลนี้ทำให้ประกายความคิดวาบขึ้นมาในใจเฉินซี เพราะก่อนมาที่นี่ ศิษย์พี่ใหญ่ อู๋เซวี่ยฉานได้มอบไผ่ม่วงให้เขาชิ้นหนึ่ง
ไผ่ม่วง ห้วยไผ่ม่วง…. สองสิ่งนี้ต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันแน่แท้!
…
ยามเฉินซีสัมผัสว่าพวกเขาเคลื่อนย้ายไปไกลไม่ต่ำกว่าสิบล้านลี้ ในที่สุดก็เห็นสถานที่ตั้งของห้วยไผ่ม่วง
ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือลำห้วยงามอันเงียบสงัด ริ้วธารกระจ่างใสไหลรินคดเคี้ยว ป่าไผ่ม่วงขึ้นที่ข้างห้วย
ต้นไผ่ทุกต้นตรงตระหง่านงดงาม สูงทะลวงเมฆา ใบเรืองรัศมีสีม่วง พลิ้วไหวกลางอากาศเป็นภาพดุจฝัน
บรรยากาศที่นี่เงียบสงบ มีเพียงเสียงจ้อกแจ้กยามวารีไหลรินดังก้อง ขณะที่ป่าไผ่ม่วงข้างลำห้วยเสียดสีเคลื่อนไหวตามสายลม
หากไม่ทราบมาก่อนว่าที่นี่เต็มไปด้วยอันตราย คงคิดไปเป็นแน่ว่ามันคือสวรรค์บนดิน
วูบ!
เฉินซีดีดปราณกระบี่สายหนึ่งทะยานแหลกมิติลงสู่ห้วย
วิ้ง!
ก่อนที่ปราณกระบี่จะทันได้เข้าใกล้ ภาพซึ่งเดิมสงบเงียบพลันแปรเปลี่ยนไป มันเผยคลื่นอำนาจประหลาดสายหนึ่งที่ทำให้หมอกสีม่วงพวยพุ่งฟุ้งตลบ ปกคลุมลำห้วยไว้อย่างมิดชิด
หลังจากปราณกระบี่เข้าไปในม่านหมอก มันก็เหมือนวัวดินเหนียวจมสมุทร หายลับไร้ร่องรอย ไม่สร้างแม้แต่คลื่นกระเพื่อมสักวง
หือ? เฉินซีหรี่ตาลง สังเกตชัดเจนว่ากระทั่งการรับรู้ของตนยังตรวจจับไม่ได้แล้วว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในนั้นบ้าง!
“เป็นข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับเกินคาดหยั่งจริง ๆ จากการพินิจของข้า มันเต็มไปด้วยจิตสังหารเชือดเทวาประหารมาร ต่อให้ข้าเสี่ยงตายเข้าไป ก็คงต้องเผชิญอันตรายมหันต์แน่นอน” ดวงตากระจ่างของจักรพรรดินีอวี้เชอเรืองโรจน์ น้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย นางก็หยั่งเชิงมันอยู่เช่นกัน และสัมผัสความน่าสะพรึงกลัวภายในนั้นได้
“ดูเหมือนอารามไท่ชูจะซ่อนอยู่ที่นี่จริง ๆ ครานี้ ขอข้าดูหน่อยเถิดว่าข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์นี้ร้ายกาจเพียงไร” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ สีหน้าดูพิกลเล็กน้อย
ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์?
สำหรับผู้มาจากเขาเทพพยากรณ์ บรรลุความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระโดดเด่นไม่ธรรมดามาเนิ่นนานอย่างเฉินซี มันไม่ใช่อุปสรรคใหญ่แต่อย่างใด
“เจ้าตั้งใจจะทะลวงเข้าไปหรือ?” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวอย่างประหลาดใจ
“หากข้าหาเส้นทางผ่านเข้าไปอย่างปลอดภัยได้ ข้าย่อมไม่ต้องทำเช่นนั้น” เฉินซีตอบคำถามของนางโดยไม่แม้แต่เหลียวกลับไปมอง เพราะใจในได้เพ่งนิ่งไปที่ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าแล้ว
………………..