บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1733 สะท้านโลกา
บทที่ 1733 สะท้านโลกา
เช้าวันถัดมา
เสียงเคาะประตูดังรัว ทำเอาเฉินซีและจักรพรรดินีอวี้เชอตื่นจากสมาธิ
“เข้ามาได้” เฉินซีกล่าว
และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อคนที่มาถึงไม่ใช่ฮุ่ยฉง แต่เป็นมฤควิญญาณขาว
“คารวะสหายเต๋าทั้งสอง อาจารย์ของข้ายามนี้กำลังปิดด่านฝึกวิชา นางสามารถพบพวกท่านได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น หากพวกท่านไม่มีเรื่องเร่งด่วนใด ๆ ที่ต้องจัดการทันที ก็ได้โปรดรออยู่ที่นี่ก่อน” มฤควิญญาณสีขาวพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
ปิดด่านฝึกวิชาหรือ? เฉินซีและจักรพรรดินีอวี้เชอชะงักพวกเขามีลางสังหรณ์แปลก ๆ ที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อวานฮุ่ยฉงไม่ได้กลับมา และวันนี้พวกเขาก็ได้รับแจ้งว่านายท่านแห่งอารามไท่ชูกำลังปิดด่านบ่มเพาะ มันช่างเป็นเรื่องที่ฟังดูบังเอิญเกินไปจริง ๆ
เฉินซีขมวดคิ้วถาม “เรียนถามสหายเต๋า ไม่ทราบว่าเราต้องรออีกนานแค่ไหนหรือ?”
“เอาละ เราจะรออยู่ที่นี่สักสาม หรือไม่ก็ห้าเดือน” เฉินซีพูดทั้งรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เช่นนั้นพวกข้าก็ขอใช้โอกาสนี้ไปกับการบ่มเพาะและเข้าฌานที่นี่เลยก็แล้วกัน” มฤควิญญาณขาวพยักหน้าก่อนจะหันหลังจากไป
“เจ้าตั้งใจจะรออยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ?” จักรพรรดินีอวี้เชอเลิกคิ้ว “ข้ารู้สึกว่านายท่านแห่งอารามไท่ชูตั้งใจที่จะหลบหน้าเรา หากเป็นแบบนั้น ต่อให้รอต่อไปอย่างไรก็ไร้ความหมาย”
“ตราบใดที่พวกเขาไม่ขับไล่เราออกไปก็มีโอกาสที่สถานการณ์จะพลิกผันไปได้อย่างแน่นอน เป็นการดีกว่าหากเราจะรออยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง” แววตาของเฉินซีเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ตราบใดที่เขาสามารถหาวิธีชุบชีวิตเจิ้นหลิวชิงได้ เขาก็จะยอมอดทนรอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
“อยู่ที่นี่ก็ไม่เลวนัก มันเป็นสถานที่ที่แยกตัวโดดเดี่ยวจากโลกภายนอก บางทีในตอนนี้ศัตรูมากมายของเจ้าในแดนเทพโบราณอาจจะกำลังไล่ล่าหาเจ้ากันให้ขวัก การอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก็เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว” เหล่าไป๋พูดน้ำเสียงเกียจคร้าน
เฉินซีพยักหน้าเห็นด้วย เขาตั้งใจที่จะใช้โอกาสนี้ในการบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
…
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เฉินซีก็เก็บตัวอยู่ในห้องและเริ่มปิดด่านฝึกวิชา
จักรพรรดินีอวี้เชอเองก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า นางทุ่มเทตัวเองไปกับการฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ได้มาจากเหล่าไป๋
น่าเสียดายที่แม้เหล่าไป๋จะมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน ทว่าความแข็งแกร่งของมันกลับอยู่เพียงขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่มันถูกกดดันแกมบังคับจากจักรพรรดินีอวี้เชอ สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนและเป็นผู้ชี้แนะให้นาง
แต่บางครั้งก็ไม่ใช่เพียงระบายความโกรธ คราวหนึ่งเหล่าไป๋แอบจับมันขึ้นมาได้ตัวหนึ่ง แล้วยัดเยียดหน้าที่ในการเป็นอาหารอันโอชะให้กับมันทั้งสีหน้าที่พึงพอใจอย่างยิ่ง
หากสุดท้าย มันก็ถูกมฤควิญญาณขาวตัวนั้นเอ็ดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นระคนเข้มงวดอย่างถึงที่สุด หลังจากนั้นเป็นต้นมา เต่าหยกขาวเขามงคลก็รอดพ้นเภทภัยจากน้ำมือของนกเฒ่าจอมสร้างปัญหาได้
หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ข่าวคราวเกี่ยวกับฮุ่ยฉงก็ยังไร้วี่แวว
มาถึงตอนนี้ เฉินซีไม่อาจนิ่งนอนใจได้
หงึ่ง! ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง แผ่นหลังเหยียดตรงในขณะที่ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ไพศาล
ภายในจักรวาลในร่างกายนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์พลันโคจรเอ่อล้นราวแม่น้ำสายใหญ่ แผ่กระจายไปทั่วทุกแห่งและเริ่มหมุนโคจรอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เผยให้เห็นถึงความสมบูรณ์อันไร้ที่ติ
นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ดูเหมือนว่าเตาหลอมแห่งมหาเต๋ากำลังโคจรอยู่ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ทั้งวิญญาณ พลัง และแก่นแท้ของเฉินซีถูกทำให้เป็นเหมือนสะพาน ในขณะที่พลังชีวิตเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ร่างกายนั้นถูกแผดเผาอย่างรุนแรง
สิ่งนี้คือรูปแบบของ ‘ความแข็งแกร่งที่ถูกสั่งสม’ แน่นอน เขากำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ตึง!
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ร่างกายของเฉินซีก็ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ที่ปะทุพล่าน ท่วงทำนองแห่งมหาเต๋าบรรเลงอยู่ภายในราวเสียงคำรามแห่งมังกร เสียงของมันน่าสยดสยองประหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกมหึมากำลังชนกันอย่างต่อเนื่อง
มันเป็นเหตุการณ์ที่มีความพิเศษอย่างยิ่ง เทวารู้แจ้งวิญญาณทั่วไปไม่มีทางได้ครอบครองรัศมีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อย่างแน่นอน
อีกฟากหนึ่ง เขตแดนซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายก็ดูเหมือนว่าจะปรากฏขึ้นในจักรวาลของร่างกาย มันเป็นเหมือนกับหุบเหวบรรพกาลที่รัศมีเก่าคร่ำแผ่ไปอย่างไร้สิ้นสุด
รากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์! นี่คือสัญญาณถึงการบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล!
“ฮ่า!” ทันใดนั้น สุ้มเสียงกึกก้องประหนึ่งสายฟ้าฟาดของเฉินซีก็ดังขึ้นในขณะปลดปล่อยเสียงแห่งเต๋าออกมา
พร้อมกันนั้น ดวงแสงสีม่วงก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงของมันพร่างพรายราวกับมีดวงดาวสีทองนับไม่ถ้วนโคจรอยู่ภายในนั้น ประกายเจิดจ้าเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งจักรพรรดิที่ทำให้ใจสั่นระรัว
ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้น ทั้งห้องก็สว่างไสวไปด้วยแสงสีทอง
รากเต๋าวิภูจักรวรรดิ!
ตอนนี้เอง เฉินซีอ้าปากและกลืนมันเข้าไปสู่ร่างกาย
โครม! ในชั่วพริบตา ความโกลาหลภายในจักรวาลร่างกายคล้ายถูกฉีกกระชาก เสียงปึงปังกัมปนาทไปทั่วทุกแห่งหน
ดวงดาวนับดารดาษที่อยู่รอบ ๆ เริ่มสั่นสะท้านและส่งเสียงครางครวญ
ทันใดนั้น แสงสีม่วงที่เปล่งประกายก็พุ่งเข้าไปในจักรวาล ก่อนจะหยั่งรากลึกลงไปในรากบรรพชนซึ่งเกิดขึ้นภายในนั้น
ตอนนั้นเอง คล้ายว่าทุกสรรพสิ่งได้หยุดการเคลื่อนไหวลง ทั้งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่หมุนวน ดวงดาวมากมายที่เวียนโคจร รวมไปถึงพลัง แก่นแท้ และวิญญาณก็ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
โครม!
โครม! โครม! โครม! โครม! โครม! ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เสียงกึกก้องภายในจักรวาลร่างกายก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่หัวใจก็เต้นไปในจังหวะเดียวกัน
ขณะที่เสียงกัมปนาทนี้กระจายออกไป จักรวาลภายในร่างกายก็อาบไล้ไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเหลือบทอง สายใยที่มองไม่เห็นของพลังบัญชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เริ่มแผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล…
เพียงชั่วอึดใจ จักรวาลกว้างใหญ่ภายในร่างกายก็เหมือนถูกสร้างขึ้นจากของเหลวสีม่วงเหลือบทอง ไม่ว่าจะดวงดาว เขตแดน ภูมิลักษณ์… ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นสีม่วงเหลือบทองทั้งสิ้น รัศมีเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ
ราวกับว่านั่นคืออาภรณ์แห่งจักรพรรดิ ราวกับว่านั่นคือปลาที่ว่ายผ่านประตูสวรรค์และกลายร่างเป็นมังกร ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน!
มันเป็นรัศมีอันสง่างามแห่งวิภูจักรวรรดิ ทำให้แม้แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ยังต้องเปล่งประกายเจิดจ้า
อีกด้านหนึ่ง มหาสมุทรสีม่วงเหลือบทองปะทุขึ้นมาจากรากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นเหมือนกับน้ำพุบรรพกาลที่ถือกำเนิดขึ้นจากความโกลาหล ประกายแผ่ซ่านออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งมหาเต๋าที่กลับคืนสู่รากบรรพชน
นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ สิ่งที่น่าตกใจก็ยิ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ตามที่เคยมีคนกล่าวไว้ รากบรรพชนเปรียบเสมือนการสร้างชีวิตขึ้นบนโลก และมันหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ?
มันหมายความว่าเมื่อเทพได้ครอบครองรากเต๋าบรรพชน ก็เท่ากับว่าได้เกิดการหยั่งรากลึกลงในฟ้าดิน พวกเขาหยุดโลดแล่นและไหลวนไปตามกระแสธารอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคนใดบรรลุซึ่งขอบเขตนี้แล้ว มหาเต๋าก็จะกลับคือสู่สภาวะบรรพชน ด้วยเหตุนี้ ตราบใดที่รากเต๋าไม่ได้สลายหายไป ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับการโจมตีที่รุนแรงเพียงไหน คนผู้นั้นก็จะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย ไม่มีทางที่ใครจะทำลายชีวิตของคนผู้นั้นได้โดยง่าย
…
ตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเกิดขึ้นกับร่างกายของเฉินซีอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับว่ามันจะไม่จบลงง่าย ๆ
สัญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเฉินซีกำลังก้าวข้าวขอบเขตด้วยความเร็วที่น่าตกใจ และได้กลายเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างแท้จริง!
ตึง! ในวันที่สามสิบหกที่เฉินซีปิดด่านบ่มเพาะ คลื่นเสียงที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องขึ้นบนท้องฟ้าด้านนอกชานเรือน
ทันใดนั้น แสงสีทองอำไพตกลงมาจากท้องฟ้าและส่องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบุปผาสีทองอร่ามมากมายร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน เสียงแห่งการภาวนาดังก้องไปทั้งฟ้าดิน
“หืม?”
“ในที่สุด เด็กคนนั้นก็มาถึงจุดนี้จนได้สินะ” จักรพรรดินีอวี้เชอและเหล่าไป๋เงยหน้าขึ้นด้วยความรวดเร็ว ประกายสง่างามฉายอยู่ภายในแววตาของพวกเขาในทันทีที่ปรากฏการณ์สั่นสะเทือนทั้งฟ้าดินปรากฏขึ้นต่อหน้า
“รัศมีแห่งวิภูจักรวรรดิจากสวรรค์ บุปผาสีทองที่โปรยปรายอย่างเม็ดฝน… เขากำลังจะบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างนั้นหรือ? น่าประหลาดใจนัก…” มฤควิญญาณขาวเงยหน้าขึ้น ดวงตาของมันปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์คล้ายจะคาดเดาบางอย่างได้
ตึง! ตอนนั้นเอง เสียงกึกก้องดังขึ้นอีกครั้ง มันกระหึ่มประหนึ่งมังกรเคลื่อนกาย วิหคเพลิงคร่ำครวญ
ครู่ถัดมา เมฆามงคลสีม่วงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏ ไม่เพียงแต่ประกายของมันจะเป็นสีทองแล้ว หากรัศมีนั้นยังสง่างามเกินจะมีคำใดพรรณนาได้
“นั่นคืออะไรน่ะ?” จักรพรรดินีอวี้เชอตกตะลึงปนสับสน นางไม่รู้มาก่อนว่าเฉินซีนั้นได้ครอบครองรากเต๋าวิภูจักรวรรดิ
ภายในป่าไผ่สีม่วง ร่างจำนวนมากหยุดมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ พวกเขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกลด้วยความหวาดกลัว
“ใครกันที่ได้สร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้?”
“นี่คือสัญญาณถึงการบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมิใช่หรือ? แต่ถึงอย่างนั้น ปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือว่าคนผู้นั้นได้ขัดเกลาและดูดซับรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าไปแล้ว?”
“ไม่ใช่หรอก ถึงรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าจะหายาก แต่ก็ไม่มีทางที่มันจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ข้าเคยได้ยินมาว่า มีเพียงผู้ที่ครอบครองแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงซึ่งอยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้นที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนโลกาเช่นนี้ได้หลังจากที่บรรลุขอบเขต!”
…
ภายในอารามไท่ชู ร่างหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์อันสง่างามปรากฏตัวขึ้น นางมองขึ้นบนท้องฟ้าขณะที่วางมือไพล่หลัง แน่นอน นางคือเทพธิดาลึกลับแห่งอารามไท่ชู ในตอนนั้นเอง ร่องรอยแห่งความตื่นเต้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ปราณสีม่วงปรากฏขึ้นจากด้านตะวันออก ก่อนจะกลายเป็นเมฆที่ลอยมายังที่แห่งนี้ นี่มัน… สัญลักษณ์แห่งวิภูจักรวรรดิ! มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ปรมาจารย์แห่งยุคหม่านกู่ได้ทิ้งสิ่งนั้นไว้ก่อนออกเดินทางจริง ๆ”
“ดูเหมือนว่าข้าน่าจะลองลงเดิมพันดูสักตั้ง…” เทพธิดาผู้นั้นพึมพำในใจ ก่อนจะหันหลังจากไป
“ลู่เอ๋อร์ บอกให้เขามาหาข้าทันทีหลังจากที่เขาบรรลุแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาทของมฤควิญญาณขาว ตอนนั้นเอง มันก็ฟื้นจากอาการตื่นตะลึง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ข้าทราบแล้ว”
ปรากฏการณ์บนท้องฟ้าดำเนินไปกว่าหนึ่งเค่อ ก่อนที่ลำแสงสีม่วงเหลือบทองนั้นจะพุ่งลงมาในห้องที่เฉินซีอาศัยอยู่
ทันใดนั้น ร่างของเฉินซีก็ถูกห่อหุ้มด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ ราวกับว่าได้กลายร่างเป็นลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ดูงดงาม กว้างใหญ่
หลังจากผ่านไปนาน พลังทั้งหมดก็ถูกซึมซับเข้าไปในร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นสิ้นสุดลง
ทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ปรากฏการณ์ที่ชวนตื่นตาตื่นใจเมื่อครู่สลายหายไปสิ้น ทุกสรรพสิ่งกลับคืนสู่ความเป็นจริง แม้แต่ผู้สง่างามที่สุดยังคืนสู่ความเรียบง่าย
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้ลืมตาขึ้นมา เขาตกอยู่ในสภาวะที่แปลกประหลาด คล้ายจมลงสู่ความมึนงงและหลงลืมทุกสิ่ง