บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1734 พัฒนาก้าวกระโดด
บทที่ 1734 พัฒนาก้าวกระโดด
ข้าบรรลุแล้ว! ในที่สุด เฉินซีก็ฟื้นจากภวังค์สมาธิในสามวันให้หลัง และตัดสินอย่างเยือกเย็นว่าตนก้าวขึ้นสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลลุล่วง
เรื่องนี้กล่าวไม่ได้ว่าน่าประหลาดใจ เพราะเฉินซีเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้มานานนัก ในความคิดของเขา การเคลื่อนขอบเขตเป็นสิ่งที่เกิดโดยธรรมชาติยามบรรลุเงื่อนไข
เฉินซีสูดหายใจลึก แล้วเริ่มตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงในร่างตน
สิ่งแรกที่เปลี่ยนไปคือจักรวาลในร่าง มันกลายเป็นจักรวาลสีม่วงทอง เรืองรองเจิดจรัสและไพศาลไร้ขอบเขต
ณ ในกลางจักรวาลมีรากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์ยืนหยั่ง เรืองรองด้วยปราณบรรพกาลราชจักรวรรดิทองม่วงอันเข้มข้นพลุ่งพล่านสุดขีด
นั่นคือที่อยู่ของรากเต๋าวิภูจักรวรรดิ
ยันต์เทวะอนันต์ละล่องเหนือรากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์ โคจรและดูดซับปราณบรรพกาลราชจักรวรรดิจากภายในรากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่หยุดพัก ก่อนจะหมุนเวียนกระจายมันไปทั่วจักรวาล
ขณะเดียวกัน พลังศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอัดแน่นเต็มจักรวาลก็มีปฏิกิริยาตามการโคจรของยันต์เทวะอนันต์ในทางอ้อม พวกมันหลั่งไหลเข้าสู่รากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษาการผลิตปราณบรรพกาลราชจักรวรรดิ
กล่าวโดยสรุปก็คือ ยันต์เทวะอนันต์ รากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์และจักรวาลในร่างกายของเฉินซีใช้ปราณบรรพกาลราชจักรวรรดิและพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นสะพานเชื่อมต่อวงจรอันสมบูรณ์
ปราณบรรพกาลราชจักรวรรดิเกิดจากรากเต๋าวิภูจักรวรรดิ
พลังศักดิ์สิทธิ์มาจากการบ่มเพาะของตัวเฉินซีเอง และเสริมมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ
ทุกสิ่งดูเป็นระเบียบ และมีขั้นตอนรัดกุม
หากบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้อื่นได้มาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ กรามของคนผู้นั้นต้องร่วงลงพื้นเพราะความตกใจเป็นแน่ เหตุผลนั้นก็เพราะรากบรรพกาลกำเนิดพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เฉินซีสร้างขึ้นนั้นโอฬารเกินไปโดยแท้จริง มันเหมือนหุบเหวอันเต็มไปด้วยปราณบรรพกาลราชจักรวรรดิ ไม่ใช่สิ่งที่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอื่น ๆ จะเทียบได้เลย
นอกจากการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลในกายแล้ว วิญญาณของเฉินซียังขยายตัวและพัฒนา สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนที่สุดคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณและแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงซึ่งเรืองประกายทองม่วงเจิดจรัส แผ่บรรยากาศยิ่งใหญ่สูงส่งของจักรพรรดิ
ตู้ม!
เฉินซีโคจรการบ่มเพาะของตนเล็กน้อย และเพียงพริบตานั้น บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไป เผยปราณยิ่งใหญ่อหังการเหนือใดในหล้า
จากการประเมินของตัวเฉินซีเอง อำนาจต่อสู้ที่เขามีในขณะนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านี้สิบเท่าตัว!
ทว่าในความคิดเฉินซีเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง เพราะจนบัดนี้ มีแค่เย่เฉินกับตัวเขาซึ่งเป็นที่รู้กันว่าสร้างแท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีทางเลยหากอำนาจต่อสู้จะไม่พัฒนาก้าวกระโดดหลังบรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
นี่คือทุนทรัพย์ของเฉินซี
ตลอดมา รากฐานของเขาถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งสุดขั้ว เผชิญการชำระจากศึกสงครามเกินนับหน ความสำเร็จที่ได้มาในวันนี้จึงเชื่อมโยงกับสิ่งที่เสียไปอย่างใกล้ชิด
ไม่เลว ด้วยความสามารถของข้าในขณะนี้ หากพบจักรพรรดิเข้าสักคน ข้าก็จะไม่จนหนทางเช่นก่อนหน้านี้แล้ว…. เฉินซีหวนนึกถึงยามตนถูกคำพูดไม่กี่คำของจักรพรรดิชงโตวสะกดจนไร้หนทางที่มหาสมุทรสุสานเทวะ เขาตระหนักดีว่า แม้ในยามนี้จะยังไม่ใช่คู่มือจักรพรรดิ แต่ก็ไม่มีทางทำได้เพียงยืนมองรอความตายเฉย ๆ อีกแล้ว
ถึงขนาดที่ หากสู้ยิบตา เฉินซีก็มั่นใจว่าจะสามารถหนีจากจักรพรรดิได้
เพราะเขาเคยเผชิญหน้าจักรพรรดิชงโตวมาก่อน และได้ประจักษ์ศึกระหว่างจักรพรรดิชงโตวและจักรพรรดินีอวี้เชอ ดังนั้นยามประเมินอำนาจต่อสู้ปัจจุบันของตน จึงสามารถตัดสินจุดยืนได้คร่าว ๆ
ส่วนศึกกับสหายร่วมขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนั้น….
เฉินซีมั่นใจในเรื่องนี้อย่างยิ่ง หากเขาไปพบเหล่าผู้เฒ่าจากกองกำลังใหญ่ ณ เอกภพจักรวรรดิอย่างกงเหย่หนานลี่ ความแข็งแกร่งเท่านี้ก็เพียงพอบดขยี้คนเหล่านั้นได้ แม้จะเป็นการสู้เผชิญหน้าตรง ๆ!
เรื่องนี้เข้าใจได้อย่างยิ่ง เพราะเทวารู้แจ้งวิญญาณต้องแปรสภาพดูดซับรากเต๋าบรรพชนเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล และรากเต๋าบรรพชนก็แบ่งออกเป็นหลายระดับ
ด้วยเหตุนี้ คุณสมบัติของแต่ละคนจึงขึ้นกับรากเต๋าบรรพชนที่แปรสภาพดูดซับไว้ก่อนพัฒนาสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ผู้ที่แปรสภาพดูดซับรากเต๋าขั้นกษัตริย์ระดับเจ็ดเรียกได้ว่าเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกษัตริย์
ผู้แปรสภาพดูดซับรากเต๋าขั้นราชาระดับแปดเรียกได้ว่าเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นราชา
ผู้แปรสภาพดูดซับรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้าเรียกได้ว่าเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นจักรพรรดิ
ส่วนผู้ที่แปรสภาพดูดซับรากเต๋าบรรพชนระดับหกลงไป พวกเขาจะถูกเรียกเป็นระดับสุดยอด ระดับสูง ขั้นหนึ่ง และขั้นธรรมดาไล่กันลงไปตามลำดับ
แน่นอน นี่สื่อถึงคุณสมบัติเท่านั้น ไม่ใช่ระดับการฝึกฝนโดยแท้จริง
การมีคุณสมบัติสูงขึ้นทำได้เพียงมอบอำนาจต่อสู้ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าให้แก่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล แต่ไม่ได้หมายความว่าการบ่มเพาะจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใด
อย่างเฉินซีผู้เพิ่งบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล แม้จะมีคุณสมบัติเลิศล้ำห่างไกลจากบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นจักรพรรดิ แต่เขาก็อยู่เพียงขั้นต้นของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเท่านั้น
หากให้เทียบกับโลกปุถุชน เช่นนั้นเฉินซีก็เหมือนจักรพรรดิน้อยในจักรวรรดิแห่งหนึ่ง หลังจากเติบโต เขาก็จะสามารถควบคุมอำนาจทั่วจักรวรรดิได้ แต่ก่อนหน้านั้น สิทธิ์สั่งการและอำนาจอาจด้อยกว่าข้าราชบริพารเสียอีก
ข้าราชบริพารในที่นี้ ย่อมสื่อถึงตัวตนผู้เยี่ยมยุทธ์ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสูง แม้จะไม่มีคุณสมบัติเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นจักรพรรดิก็ตาม
แต่จักรพรรดิก็ยังเป็นจักรพรรดิ แม้จะอยู่เพียงขั้นต้นของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล แต่เมื่อได้รับสนับสนุนจากรากฐานลึกล้ำและอำนาจต่อสู้เกินจินตนาการ มันก็เพียงพอให้เขาได้เปรียบมหาศาลเมื่อเทียบกับสหายร่วมขอบเขตบ่มเพาะ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อการบ่มเพาะพัฒนา ความได้เปรียบนี้ก็จะเติบโตไม่จบสิ้น จนทำให้สามารถบดขยี้สหายร่วมขอบเขตทั้งมวลได้!
นี่คือสาเหตุที่การครอบครองรากเต๋าวิภูจักรวรรดิจึงน่ากลัวนัก มิเช่นนั้น ลั่วฉ่าวหนงและคณะคงไม่สู้ตายเพียงเพื่อจะให้ได้มาซึ่งรากเต๋าบรรพชนนี้
เนิ่นนานจากนั้น หลังจากปรับสภาพตนเองกับอำนาจใหม่เอี่ยมในกายได้ สุดท้ายเฉินซีก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไป
เมื่อคำนวณเวลาอย่างละเอียด ก็พบว่าเขาปิดด่านบ่มเพาะมาเกินหนึ่งเดือนแล้ว และหลังพัฒนา ความคิดก็เบนไปยังการพบกับเทพธิดาทันที
…
เมื่อเห็นเฉินซีเดินออกมาจากห้อง ดวงตาของเหล่าไป๋และจักรพรรดินีอวี้เชอก็เจิดประกาย
“ฮ่า ๆ เจ้าทำได้ไม่เลวเลย ไม่สร้างความอับอายให้กับรากเต๋าบรรพชนที่เซวียนทิ้งไว้” เหล่าไป๋เสตามอง ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีราวผู้อาวุโสกล่าวกับผู้น้อย
“ยินดีด้วย” จักรพรรดินีอวี้เชอยิ้มบาง นางตะลึงกับความเร็วในการพัฒนาของเฉินซียิ่งนัก
นับแต่นางพบกับเฉินซีระหว่างการชุมนุมล่าดารา ณ เอกภพมสิหิมจนบัดนี้ เวลาผ่านไปไม่ถึงปี แต่เฉินซีก็เหยียบย่างสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ทำให้ผู้บ่มเพาะใด ๆ ตกตะลึงสุดขีดได้ทั้งสิ้น
นอกจากนั้น ยามเฉินซีพัฒนา เขาทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงทองไร้ประมาณ เมฆมงคลสีม่วงเคลื่อนคล้อย ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะสร้างได้
“ขอบคุณ” เฉินซีประสานกำปั้นคำนับจักรพรรดินีอวี้เชอ ขณะที่เมินเหล่าไป๋ไปสิ้น
“ยังไม่มีข่าวเลยหรือ?” เฉินซีถาม
จักรพรรดินีอวี้เชอส่ายหน้า “ไม่มีเลย”
เฉินซีอดขมวดคิ้วมิได้ หรือเทพธิดาจะตั้งใจหลบหน้าข้าจริง ๆ? เหตุใดจึงทำเช่นนั้น?
ขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ก่อนที่มฤควิญญาณขาวจะเยื้องย่างตรงเข้ามา และกล่าวว่า “สหายเต๋า นายข้าเชิญเจ้าไปพบ”
เดิมทีเหล่าไป๋และจักรพรรดินีอวี้เชอคิดติดตาม ทว่ากลับถูกมฤควิญญาณขาวปฏิเสธ กล่าวเพียงว่านายมันเชิญเพียงเฉินซีลำพัง
ดังนั้นเหล่าไป๋และจักรพรรดินีอวี้เชอจึงทำได้เพียงถอดใจ
ทั้งสองรู้สึกคลับคล้ายว่า เหตุที่เทพธิดาเชิญเฉินซีไปพบน่าจะเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในฟ้าดินที่เฉินซีก่อขึ้นยามบรรลุขอบเขต
…
กระท่อมมุงจากนั้นสะอาดสะอ้านเจริญตา การจัดพื้นที่เรียบง่ายภายในเต็มไปด้วยปราณเต๋า เผยบรรยากาศดุจอยู่คนละโลกท่ามกลางความธรรมดา
เมื่อเฉินซีมาถึง เขาก็พบร่างอรชรอันสูงส่งเปี่ยมอำนาจยืนไพล่มือไว้เบื้องหลังในกระท่อมมุงจาก คล้ายรออยู่นานแล้ว
“ผู้อาวุโส” เฉินซีประสานกำปั้นคารวะ เห็นทันทีว่านางคือเทพธิดาที่เขาพบในแดนโลกาวินาศ
หรือบางที อาจเรียกได้ว่านางคือนายท่านแห่งอารามไท่ชู!
“นั่งสิ” หญิงสาวสะบัดแขนเสื้อ แล้วโต๊ะตัวหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
บรรยากาศนั้นไม่ธรรมดาโดยแท้จริง เหมือนสรรพสิ่งหวนคืนสู่ความเรียบง่าย กระทบถึงสภาพจิตใจให้คล้อยตาม บริสุทธิ์เรียบง่าย สำรวมสบายใจ
เฉินซีสัมผัสความแตกต่างของบรรยากาศที่นี่ได้เช่นกัน และยิ่งรู้สึกลึกซึ้งว่าการบ่มเพาะของเทพธิดานั้นเกินหยั่งถึง
“กล่าวตามเหตุผลแล้ว ในเมื่อเจ้ามาที่นี่กับแก่นเทวะไผ่ม่วง ดังนั้นขอเพียงข้าทำได้ ข้าจะตกลงในทุกคำขอของเจ้า แต่เจ้าต้องตระหนักให้ดีว่า ข้าเคยช่วยเจ้าพ้นหายนะมาแล้ว ดังนั้น เราจึงไม่ติดค้างสิ่งใดต่อกัน” เทพธิดากล่าวเสียงเรียบ เจือด้วยความยิ่งใหญ่อันสร้างความยำเกรงในใจคนฟัง ร่างปกคลุมด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ผู้อื่นไม่อาจประจักษ์ลักษณ์จริงของนาง
เฉินซีนิ่งไป ก่อนจะเข้าใจเสียทีว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ เทพธิดาจึงไม่เชิญเขามาพบเลย แต่ก็ยังอดถามมิได้ “เช่นนั้น เหตุใดผู้อาวุโสจึงเปลี่ยนใจ?”
“เหตุผลมีหลายข้อ หนึ่งในนั้นคือศิษย์พี่ใหญ่ อู๋เซวี่ยฉานของเจ้า หนึ่งคือการกระทำของเจ้า และอีกหนึ่งคือการพบกันของเราที่แดนโลกาวินาศ” เทพธิดากล่าวเสียงเรียบอย่างไม่ปิดบังใด ๆ “นี่คือกรรมและชะตา สรรพสิ่งถูกลิขิตไว้แล้ว ในเมื่อข้าเลี่ยงสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ได้ ย่อมเป็นฝ่ายออกมาจัดการกับมันเอง”
ความตรงไปตรงมาของนางทำให้เฉินซีพูดไม่ออกทันที
“เชิญว่ามาเลย” เทพธิดาไม่กล่าวต่อ นางยกถ้วยชาขึ้นจิบ
เฉินซียกถ้วยชาขึ้น แต่ก็ทำเพียงถือค้างไว้อย่างใจลอย ถามหยั่งเชิงว่า “เช่นนั้นผู้อาวุโสช่วยชี้แนะผู้น้อยได้หรือไม่?”
“เจ้าพูดถึงเรื่องการกำจัดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราหรือ?”
“ถูกต้อง”
“ขออภัย ข้าทำมิได้” เทพธิดาตอบอย่างสุดแสนเรียบง่ายเป็นธรรมชาติยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีผงะไปโดยพลัน แล้วหัวใจก็ผิดหวังอย่างลึกล้ำ
นางทำมิได้หรือ? เป็นไปได้เช่นไร? ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีทางพูดเล่นในเรื่องแบบนี้แน่นอน
เทพธิดาชำเลืองมอง แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “แม้ข้าจะทำไม่ได้ แต่ก็มีวิชาที่เพียงพอสะกดอำนาจของกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตรา ไม่ให้มันกำเริบขึ้นมาอีกได้นะ”