บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1735 วิชาคุมวิญญาณสุญตาเลื่อนลอย
บทที่ 1735 วิชาคุมวิญญาณสุญตาเลื่อนลอย
………………..
บทที่ 1735 วิชาคุมวิญญาณสุญตาเลื่อนลอย
เพียงวาจานี้ลำพังก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเฉินซีกลับมาสดใสอีกครั้งได้
เขาตระหนักชัดเจนยิ่งว่าวาทะนั้นหมายความเช่นไร
คราก่อน เจียหนานทำได้เพียงใช้สมบัติปราชญ์ทั้งห้าช่วยเจิ้นหลิวชิงสะกดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราในร่างนางให้ แต่มันคงอยู่ได้เพียงสิบปีเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีค่อนข้างกังวล เขาอยากทิ้งทุกสิ่งที่ทำอยู่เพื่อค้นหาวิธีรับมือมันเสียเหลือเกิน
แต่เห็นได้ชัดว่ากู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราเป็นวิชาลับจากยุคสมัยเก่าก่อน ยากรับมืออย่างยิ่ง น้อยคนยิ่งนักทั่วโลกหล้าจะสามารถจัดการกับมัน
กระทั่งถึงขนาดที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขา อู๋เซวี่ยฉานยังจนปัญญา ทำได้เพียงนำเฉินซีมาสู่อารามไท่ชูเพื่อหาวิธีรับมือ สิ่งนี้แสดงชัดว่าวิชาลับนี้ร้ายกาจเพียงไร
ขณะนี้ แม้ว่าเทพธิดาจะไร้หนทางชำระมัน แต่หากนางสะกดมันอย่างสมบูรณ์ได้ เช่นนั้นเฉินซีก็ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลาไม่พอแล้ว และจะให้โอกาสเขาหาวิธีกำจัดมันมากกว่านี้อย่างไรกังขา
“ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะเถิด” เฉินซีกุมกำปั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้าควรเตรียมการเช่นไร?”
“อย่างแรก รับปากทำธุระสามอย่างให้ข้า แล้วขอเพียงเจ้าทำได้ ข้าจะช่วยเจ้า”
“ผู้อาวุโสโปรดกล่าวมาตรงๆ เถิด”
…
ยามเฉินซีกลับมา จักรพรรดินีอวี้เชอและเหล่าไป๋ก็สังเกตว่าคิ้วของเขาขมวดแน่น เหมือนเผชิญปัญหาบางอย่าง
จักรพรรดินีอวี้เชออดถามมิได้ “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เฉินซีถอนใจ แล้วจึงเล่าเรื่องการสนทนาของเขากับเทพธิดาอย่างละเอียด
ขณะนี้ในที่สุดเหล่าไป๋และจักรพรรดินีอวี้เชอก็เข้าใจว่าเหตุใดคิ้วของเฉินซีจึงขมวดปมแน่นเช่นนั้น
ปรากฏว่า สามภารกิจที่เทพธิดากล่าวถึง หนึ่งคือให้ส่งผู้บ่มเพาะที่รอพบนางอยู่นอกอารามไท่ชูออกไปให้หมด
ประการที่สอง นางส่งแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้เฉินซี ระบุชื่อวัตถุเทวะและสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อันหายากเกินใดเปรียบไว้ในนั้นร้อยกว่าชนิด ยิ่งกว่านั้น นางยังขอให้เฉินซีรวบรวมพวกมันมาให้ครบถ้วน
ในภารกิจทั้งสาม ประการที่สามนั้นทำได้ง่ายที่สุด ใช้เวลาเพียงห้าปี ขอเพียงเขาสะกดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราในร่างเจิ้นหลิวชิงอย่างสมบูรณ์ได้ อย่าว่าแต่ห้าปีเลย สิบปีเฉินซีก็เต็มใจ!
ภารกิจที่ทำเฉินซีปวดเศียรจริง ๆ คือสองประการแรก
ยามเขาแรกมาถึงอารามไท่ชู เขาพินิจเหล่าผู้บ่มเพาะที่มารอในป่าไผ่ม่วง พวกเขาทั้งหลายล้วนมีบรรยากาศแข็งแกร่ง ที่มาไม่ธรรมดา ถึงขนาดที่พวกเขาบางคนยังมารอที่นี่หลายพันปีแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ การส่งพวกเขากลับอย่างราบรื่นจึงไม่ง่ายเลย
นอกจากนั้น ภารกิจที่สองก็ยุ่งยากสุดขีดเช่นกัน เพราะชื่อของวัตถุเทวะและสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ในแผ่นหยกนั้นหายากเกินใดเปรียบในโลกหล้า ถึงขนาดที่เกินครึ่งของพวกมัน เฉินซีกระทั่งไม่เคยได้ยินชื่อ แล้วเขาควรไปรวบรวมพวกมันที่ใด?
ทว่าเฉินซีก็ตระหนักดีว่าเทพธิดาไม่มีทางจงใจสร้างปัญหาแก่เขา และหากอนุมานไม่ผิดเพี้ยน สิ่งต่าง ๆ ที่ระบุในแผ่นหยกนี้ก็น่าจะเป็นของที่เตรียมไว้ใช้สะกดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตรา
“เป็นปัญหาอยู่หน่อย ๆ จริงแท้ ในหมู่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในป่าไผ่ม่วง อย่างน้อยก็หกคนแล้วที่อยู่ในขอบเขตจักรวรรดิ ตัวตนผู้มีที่มายิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาหรือลึกลับก็มีไม่ขาด การจะให้พวกเขาจากไปแต่โดยดีนั้นยากเย็นยิ่ง” จักรพรรดินีอวี้เชอก็ขมวดคิ้วเช่นกัน และเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดกวนใจเฉินซี
หกจักรพรรดิ! ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง สูดหายใจเฮือก เขาเพิ่งรู้ยามนี้เองว่าในป่าไผ่ม่วงมีจักรพรรดิอยู่มากเพียงนี้
“เพื่อตอบคำถามของพวกเขา” เฉินซีหวนนึกถึงวาทะของกวางวิญญาณสีขาวเมื่อกาลก่อนได้ และตอบโดยไม่ลังเล
“ถูกต้อง ในเมื่อพวกเขามาเพื่อหาคำตอบให้คำถามของพวกตน พวกเขาก็ต้องประสบทางตันอันยากเย็นยิ่งในการบ่มเพาะ ดังนั้นจึงมาขอคำชี้แนะจากปรมาจารย์อารามไท่ชูกันอย่างไม่ลังเล” เหล่าไป๋พูดอย่างมั่นใจ “เช่นนั้น แค่ช่วยพวกเขาแก้ปัญหาที่เผชิญกันได้ เรื่องนี้ก็ลุล่วงสบายมาก”
เฉินซีนิ่งไป ก่อนจะขมวดคิ้ว “ข้าจะช่วยคนในขอบเขตจักรวรรดิได้อย่างไร?”
เหล่าไป๋มองเฉินซีด้วยสีหน้าเวทนา แล้วจึงชี้มาที่ตนเอง “ไอ้หนู ไม่มีทางสำหรับเจ้าอยู่แล้ว แต่เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้า บรรพชนผู้นี้อยู่ที่นี่?”
เฉินซีหรือจะไม่ตระหนักรู้ แต่เขาก็ประจักษ์แจ้งเช่นกันว่าหากเขาเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือจากเหล่าไป๋เอง อีกฝ่ายจะหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงแน่นอน ดังนั้นสู้ให้อีกฝ่ายเสนอมาเองจะดีกว่า เพราะนั้นเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เฉินซีตบหน้าผากตน ทำเหมือนเพิ่งประจักษ์แจ้งเฉียบพลัน “ข้าลืมไปได้อย่างไรว่ามีผู้อาวุโสมากปัญญาเช่นเจ้าอยู่? ขี่ลาหาลาแท้ ๆ”
เหล่าไป๋เดือดดาลทันที “เจ้าว่าใครเป็นลานะ?”
เฉินซีหัวเราะลั่น ก่อนจะดึงปีกเหล่าไป๋มุ่งหน้าออกจากลาน “เจ้าเป็นผู้อาวุโสมากปัญญา จะมาต่อล้อต่อเถียงอะไรกับผู้น้อยอย่างข้าล่ะ? ไม่สมฐานะเลย มานี่มา! มาช่วยข้าจัดการงานยุ่งยากนี่เร็ว ๆ”
จักรพรรดินีอวี้เชอตามพวกเขามาจากไกล ๆ และอดหัวเราะคิกมิได้
อันที่จริง เมื่ออยู่กับเหล่าไป๋เป็นเวลานาน ก็จะทราบได้ว่าแม้วิหคเฒ่านี้จะสุดแสนปากจัด เย่อหยิ่งหลงตนเอง แต่มันก็สร้างความสุขให้ผู้อื่นได้ในทางอ้อม
…
เฉินซีมั่นใจในความสามารถของเหล่าไป๋อย่างยิ่ง
กาลก่อน ขณะเดินทางผ่านข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์มายังที่นี่ ก็ต้องขอบคุณการชี้นำของเหล่าไป๋ที่ทำให้อำนาจต่อสู้ของจักรพรรดินีอวี้เชอพัฒนาอย่างใหญ่หลวงในช่วงกาลอันสั้น ทำให้นางกำจัดวานรศักดิ์สิทธิ์สีเงินในข้อจำกัดลงได้ง่าย ๆ
ขณะนั้นเฉินซีประจักษ์ทุกสิ่งอย่าง
แม้เหล่าไป๋จะชอบโอ้อวด แต่มันก็ซุกซ่อนภูมิปัญญาไว้สารพัด ในเมื่อมันสามารถชี้นำจักรพรรดินีอวี้เชอได้ มันย่อมสามารถชี้นำจักรพรรดิผู้อื่นได้เช่นกัน
คณะของเฉินซีเดินออกมาจากอารามไท่ชูภายใต้การนำของมฤควิญญาณสีขาว มาถึงป่าไผ่ม่วงกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“หือ?”
“เป็นชายหนุ่มผู้น่าตื่นตะลึง มีคุณสมบัติเกินธรรมดายิ่งจริงแท้ อนาคตไร้ขีดจำกัด”
เมื่อสังเกตเห็นการมาถึงของพวกเฉินซี ตัวตนทั้งหลายก็ไม่ได้เมินคณะของเฉินซีไปโดยสิ้นเชิงเช่นกาลก่อน พวกเขาต่างคนต่างพินิจเฉินซีด้วยสีหน้าชื่นชม
“พ่อหนุ่ม พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อการใดหรือ?” ชายชราหงำเหงือกผู้หนึ่งถามถึงเหตุผลการมาของพวกเขา
“เพื่อช่วยชี้ทางให้กับสหายเต๋าทุกท่าน” เฉินซีกล่าวตรง ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง
ช่วยชี้ทาง?
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ก็ดึงความสนใจของผู้บ่มเพาะทั่วป่าไผ่ได้ทันที
“ปรมาจารย์อารามส่งเจ้ามาหรือ?” หนึ่งในนั้นอดถามไม่ได้
เฉินซีส่ายหัว แล้วจึงสูดหายใจลึก ๆ พูดขึ้น “ทุกท่าน กล่าวตามตรง เหตุผลที่ข้ามาเพื่อช่วยชี้ทางให้ทุกท่านก็เพราะอยากปลดปัญหาให้ทุกท่านกลับจากที่นี่อย่างเร็วที่สุด”
“ฮ่า ๆ! เจ้าหนุ่ม ใครกันให้ความมั่นใจเจ้ามาจนเย่อหยิ่งถึงกล้ามาสอนสั่งชี้ทางเรา?”
“สหายเต๋าทุกท่าน ฟังเขาไม่ชัดเจนหรือไร? เจ้าหนูนี่ตั้งใจจะไล่เราออกไปให้หมด!”
ทีแรกพวกเขาต่างผงะกันไปเล็กน้อย แต่อึดใจต่อมาก็อดยิ้มเย้ยกันมิได้ นอกจากนั้นบางคนประหลาดใจ บ้างรู้สึกเหยียดหยาม ขณะที่คนอื่นหัวเราะอย่างขบขัน
พวกเขาต่างรู้สึกว่าเฉินซีกระทำการเหิมเกริมสร้างปัญหา และหากมิใช่เห็นแก่ตัวตนของพวกเขา พวกเขาคงสั่งสอนเฉินซีกันนานแล้ว
เฉินซีเตรียมรับมือปฏิกิริยาเช่นนี้ไว้แล้ว จึงกล่าวอย่างเคร่งขรึมไม่หงุดหงิดใจ “สหายเต๋าทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าพูดจริงนะ”
“เจ้าหนู หากยังเพ้อเจ้ออีกเพียงคำ ข้าจะลงโทษเจ้านะ!” เทพอสูรร่างบึกบึน สวมชุดหนังสัตว์ผู้หนึ่งเดินออกมา บนหลังของเขาสะพายธนูกระดูกสัตว์ คู่ตะวันจันทราเรืองรองเคลื่อนวนในฝ่ามือ นอกจากนั้นดวงตาของเขายังเรืองรองด้วยอัสนีศักดิ์สิทธิ์ บรรยากาศชวนตะลึงอย่างยิ่ง
เขาเป็นจักรพรรดิผู้หนึ่ง จับจ้องนิ่งที่เฉินซีขณะส่งวจีกึกก้องดุจสำเนียงมหาเต๋า ทำให้วิญญาณของผู้อื่นสั่นสะท้าน
ดวงตาของจักรพรรดินีอวี้เชอเรืองประกายเย็นเยียบ ยืนขวางเฉินซีเอาไว้
ทว่าเฉินซีกลับแย้มยิ้ม ทำมือบอกจักรพรรดินีอวี้เชอว่าไร้สิ่งใดต้องกังวล และกล่าวว่า “อีกเดี๋ยว ทุกท่านจะเข้าใจแน่นอนว่าข้าเพ้อเจ้อหรือไม่”
“ดูเหมือนเจ้าจะอยากหาเรื่องกันจริง ๆ สินะ?” เทพอสูรในชุดหนังสัตว์ไม่ชอบใจ บรรยากาศทวีความรุนแรงอย่างก้าวกระโดด ทำให้ปราณน่าสะพรึงกลัวปกคลุมทั่วป่าไผ่ม่วง
เฉินซีเหลือบมองเหล่าไป๋ และยามนี้เองเหล่าไป๋จึงยิ้มอย่างพอใจ กระพือปีกสู่นภา มองลงมายังคนทั้งหลายจากเบื้องบน
“เจ้าพวกโง่เง่าไม่รู้ความทั้งหลาย หรือไม่รู้กันว่าต่างผู้ล้วนต่างความถนัด? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าผู้รู้คือผู้สอน?”
ทันทีที่เหล่าไป๋ปริปาก เสียงของมันก็เสียดแหลมเจือเค้าเย้ยเยาะ ทำให้สีหน้าผู้บ่มเพาะมากมายบูดบึ้ง ดวงตาเรืองประกายกร้าวกันทันที
เหล่าไป๋ดูสุดแสนเฉยชา เหลือบไปมองเทพอสูรในชุดหนังสัตว์ กล่าวขึ้นอย่างดูแคลน “เหมือนเจ้า อยู่ในขอบเขตจักรวรรดิห้าดารามาไม่ต่ำกว่าหมื่นปีแล้วถูกหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าเจ้าบ่มเพาะวิชาคุมวิญญาณสุญตาเลื่อนลอย วิชาแปรสภาพร่างกายชั้นยอดในโลกหล้า แต่เจ้าก็ติดอยู่ในขอบเขตการบ่มเพาะนี้เสมอมา เหตุผลก็มีเพียงหนึ่ง เพราะวิญญาณของเจ้าถูกทำร้ายอย่างเกินเยียวยา ทำให้เจ้าไม่อาจก่อสุญญลักษณ์ของตัวเองได้!”
ทีแรกยามถูกเหล่าไป๋เหยียดเยาะ สีหน้าของเทพอสูรในชุดหนังสัตว์ยังคงเต็มไปด้วยโทสะเจียนอาละวาด ทว่ายามได้ยินวาทะส่วนที่เหลือของเหล่าไป๋ เขาก็เหมือนต้องอัสนีฟาดในบัดดล ร้องออกมาอย่างเผลอตัว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าวิญญาณของข้าบาดเจ็บมาก่อน?”
เดิมทีคนอื่น ๆ คิดไปว่าวิหคปากเสียตัวนี้พูดจาเลอะเทอะ ทว่าเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเผยสีหน้าตกตะลึงเช่นนี้ หัวใจทุกดวงก็สั่นกระตุก หรือมันจะพูดถูก?
แม้เฉินซีจะประจักษ์ฝีมือเหล่าไป๋มานานแล้ว เขายังอดอุทานอย่างประหลาดใจยามเห็นเหตุการณ์นี้อีกไม่ได้ วิหคเฒ่านี่ซ่อนฝีมือไว้มากมายจริง ๆ!
………………..