บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1738 ทัณฑ์สวรรค์แห่งโชคชะตา
บทที่ 1738 ทัณฑ์สวรรค์แห่งโชคชะตา
เทศกาลหลินหลางเป่า? จักรพรรดินีอวี้เชอพลันตาเป็นประกาย
เฉินซีเอ่ยยิ้ม ๆ “ตอนนี้เราขาดวัตถุเทวะอยู่กว่าสิบประเภท ข้าว่าหากข้ายอมแลก ข้าก็คงสามารถหาทั้งหมดนั้นภายในเทศกาลหลินหลางเป่าได้”
เฉินซีหยุดไปเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “แน่นอนว่าก็ขึ้นอยู่กับว่าเทศกาลหลินหลางเป่าจะสมกับคำร่ำลือด้วยหรือไม่”
จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าว “เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล สมบัติจากหลายเผ่าพันธุ์ล้วนมารวมกันอยู่ในเทศกาลหลินหลางเป่า ดังนั้นจึงดึงสหายเต๋าจากทั่วทุกสารทิศมาได้ หากเราเสียเวลาหาสักหน่อย ก็คงสามารถรวบรวมวัตถุเทวะได้ไม่ยาก”
เฉินซีจึงตัดสินใจเดินทางไปเทศกาลหลินหลางเป่าทันที
…
อารามไท่ชูนั้นตั้งอยู่ภายในภูเขาลั่วเจีย และภูเขาลั่วเจียก็ตั้งอยู่ฟากหนึ่งของมหาสมุทรดาราหล่น ส่วนดินแดนลอยนอก ‘ดาวผู่ถัว’ นั่นอยู่อีกฝั่งทะเล
เทศกาลหลินหลางเป่าจัดขึ้นบนดาวผู่ถัว
ทั้งเม็ดยา วิชาบ่มเพาะ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ วัตถุเทวะ และสมบัติหายากทั้งหลายที่ต้องใช้ในการบ่มเพาะพลังล้วนสามารถหาได้ที่นี่ทั้งนั้น
มีคนกล่าวว่า หากยอมจ่ายราคามากพอ ก็สามารถหาสมบัติวิญญาณธรรมชาติมาใช้ได้ด้วยซ้ำ!
หลังตัดสินใจแล้ว เฉินซีจึงเดินทางไปพบท่านเทพธิดาก่อน
“เทศกาลหลินหลางเป่า? เป็นที่ที่ดีไม่น้อย” พอรู้ว่าเฉินซีมาหาด้วยเหตุใด ท่านเทพธิดาก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นว่า “ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ข้าจะให้ลู่เอ๋อร์พาเจ้าออกไป”
พูดถึงจุดนี้ ท่านเทพธิดาก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยกับจักรพรรดินีอวี้เชอที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หากเป็นไปได้ เจ้าช่วยอยู่ดูแลยาต้มของข้าหน่อยได้หรือไม่?”
จักรพรรดินีอวี้เชอชะงักไป จากนั้นเหลือบมองเฉินซี
นางเพิ่งเคยได้พบนายท่านแห่งอารามไท่ชูผู้ลึกลับคนนี้เป็นครั้งแรก มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่าพลังบ่มเพาะของท่านเทพธิดานั้นลึกล้ำเกินหยั่ง เหนือกว่านางเสียอีก ดังนั้นถึงท่านเทพธิดาขอให้นางไปเป็นลูกมือคอยดูแลยาต้ม จักรพรรดินีอวี้เชอก็ไม่รู้สึกว่าเป็นการหมิ่นเกียรติแต่อย่างใด
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้นางได้สังเกตยาต้มนี้ว่ามีความพิเศษเพียงไหน เพราะถึงขนาดต้องให้ระดับจักรพรรดิคอยดูแล มีหรือจะเป็นเพียงยาต้มธรรมดาได้?
“ให้ท่านตัดสินใจเลย” เฉินซียิ้ม
จักรพรรดินีอวี้เชอไม่ใช่ลูกน้องของเขา ทั้งยังมีฐานะสูงส่งกว่ามาก หากไม่ใช่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ อู๋เซวี่ยฉาน จักรพรรดินีอวี้เชอก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียมเช่นนี้เลยก็ได้
ดังนั้นเขาจึงไม่ตัดสินใจแทน หากทำเช่นนั้นก็เหมือนเข้าไปจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวของนาง
“จิตใจรวนเร! พวกเจ้าฟังข้าผู้นี้ให้ดี! สาวน้อย เจ้าอยู่ที่นี่แหละ! ส่วนข้า บรรพชนของพวกเจ้า จะคอยดูแลเจ้าเด็กคนนี้เอง ข้าไปด้วยยังต้องกังวลอะไรอีก?” เหล่าไป๋อดทนรอไม่ไหวจึงร้องขึ้นมา
เฉินซีขมวดคิ้วมองวิหคเฒ่า แต่ก็เห็นว่าท่านเทพธิดาไม่ได้โกรธอะไร เหมือนมองเหล่าไป๋แล้วตกอยู่ในภวังค์ความคิดเท่านั้น
“เช่นนั้นข้าอยู่ที่นี่เอง” จักรพรรดินีอวี้เชอคิดเล็กน้อยก่อนตอบ
ท่านเทพธิดาจึงหันไปสั่ง “ลู่เอ๋อร์ นำพวกเขาออกไป”
มฤควิญญาณขาวจึงปรากฏอยู่ด้านนอกกระท่อม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “สหายเต๋าโปรดตามข้ามา”
…
ภายนอกอารามไท่ชู
มฤควิญญาณขาวเดินไปตามทางเดินหินภายในป่า แต่มันกลับนำพาไปยังเส้นทางแตกต่างจากตอนที่ขามาอย่างสิ้นเชิง
“ใช่แล้ว ที่นี่คือแดนเต๋าที่นายท่านของข้าสร้างขึ้นมา มันเรียกว่าสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชู มีเพียงสหายเก่าไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักที่นี่….” มฤควิญญาณขาวดูจะมั่นใจในตัวตนของเฉินซีแล้ว จึงไม่ได้เงียบเหมือนแต่ก่อน มันจึงเป็นฝ่ายแนะนำ ‘สวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชู’ ให้เฉินซีด้วยความเต็มใจ
กลายเป็นว่าสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูคือ ‘แดนเต๋า’ ที่ท่านเทพธิดาสร้างขึ้นด้วยวิชาบางอย่างนี่เอง โดยภายในมีโลกอีกใบ อยู่ภายนอกแดนเทพโบราณ
อีกทั้งทิวทัศน์ของที่นี่ทุกอย่างยังอยู่ภายใต้ความควบคุมของท่านเทพธิดา ส่วนกฎแห่งเต๋าสวรรค์ภายในแดนเทพโบราณก็ไม่อาจเข้ามาถึงที่นี่ได้
การจะเข้ามาถึงที่นี่ต้องเข้าผ่านทางลับพิเศษเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น เส้นทางผ่านห้วยไผ่ม่วงบนภูเขาลั่วเจียที่เฉินซีใช้เดินทางมาก็เป็นหนึ่งในเส้นทางลับมาสู่สวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูเช่นกัน
นอกจากนั้นแล้วยังมีเส้นทางลับอยู่อีกหลายแห่ง ตัวอย่างเช่นสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายในป่าไผ่ม่วงก็มาถึงที่นี่ได้ด้วยการใช้เส้นทางลับเหล่านั้นเช่นกัน
สิ่งสำคัญคือหากท่านเทพธิดาไม่อนุญาต ถึงจะรู้เส้นทาง แต่คนผู้นั้นก็ไม่อาจเข้ามาถึงที่นี่ได้
เฉินซีได้ยินแล้วก็ตื่นตาตื่นใจ มันแยกออกจากแดนเทพโบราณ สร้างโลกขึ้นมาเป็นของตนเอง นี่นางสร้างแดนเต๋าแห่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่?
“เจ้าเด็กโง่ เมื่อไหร่ที่เจ้าบำเพ็ญถึงขอบเขตมหาเทพเต๋า เจ้าก็จะสามารถสร้างแดนเต๋าขึ้นมาได้ และอาศัยเป็นอิสระจากโลกภายนอก สามารถต่อต้านกฎแห่งเต๋าสวรรค์ได้เอง” เหล่าไป๋ช่วยเปิดหูเปิดตาให้เฉินซี “จำวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนที่อยู่หลังประตูแห่งมหาเต๋าได้หรือไม่? นั่นก็แดนเต๋าที่รั้งอยู่มานานแห่งหนึ่งเช่นกัน!”
เฉินซีจึงเอ่ยขึ้นพร้อมความเข้าใจใหม่ “เช่นนั้นแล้ว เมื่อถึงขอบเขตมหาเทพเต๋า ก็จะสามารถหลบหนีอำนาจเต๋าแห่งสวรรค์ได้หรือ?”
เหล่าไป๋ส่ายหน้า “เจ้ามีเพียงอำนาจในการต่อกรกับมัน แต่จะให้หลบหนีจากเงื้อมมือมันน่ะหรือ? ยากเย็นเหลือทน! เมื่อเจ้าได้รากเต๋า…. ระดับจักรวรรดิมาในวันนั้น เจ้าก็คงสัมผัสได้แล้วนี่?”
หากพูดให้จบประโยคนั่นคือ ‘ตอนเจ้าได้รากเต๋าวิภูจักรวรรดิ’ แต่เหล่าไป๋ไม่อยากให้มฤควิญญาณขาวรู้เรื่องนี้จึงปิดบังไว้
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก เรื่องสำคัญคือเหล่าไป๋กำลังพูดถึง ‘ทัณฑ์สวรรค์’ ที่เฉินซีพบเจอตอนได้รากเต๋าวิภูจักรวรรดิมานั่นเอง
เฉินซีเข้าใจทันทีว่าแดนเต๋าสามารถหลีกเลี่ยงอำนาจเต๋าแห่งสวรรค์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่เหนือมันได้
ไม่เช่นนั้น เนตรทัณฑ์สวรรค์ก็คงไม่ซัดลงมาด้วยหวังทำลายรากเต๋าวิภูจักรวรรดิหรอก
ถึงกระนั้นมันก็ยังทำให้เฉินซีตื่นตะลึงกับความสามารถของมหาเทพเต๋าอยู่ดี การสร้างแดนเต๋าขึ้นมาได้ หลีกเลี่ยงพลังเต๋าแห่งสวรรค์ และมีอำนาจถึงขั้นต่อกรกับเต๋าแห่งสวรรค์ได้ จะมีใครสักกี่คนที่สามารถทำเช่นนั้นได้กัน?
อย่างน้อยเฉินซีก็รู้จักมหาเทพเต๋าเพียงไม่กี่คน เช่นเซวียน นายท่านแห่งยุคหมานกู่ ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน ท่านเทพธิดาที่อยู่ในตำหนักไท่ชูผู้นี้ และจ้าวเต๋าคุนเผิง ซึ่งซากร่างของเขาได้กลายเป็นแดนโลกาวินาศ
ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น มฤควิญญาณขาวก็เดินมาถึงยอดผา รอบข้างมีแต่ทะเลเมฆาล่องลอย เห็นดวงดาวสีม่วงลอยอยู่กลางฟากฟ้า แผ่แสงสีม่วงส่องระยับออกมา
“ข้ามทะเลเมฆานี้ไปก็จะถึงดาวผู่ถัว หากอยากกลับมาที่นี่ ก็ให้ทำลายไผ่ม่วงชิ้นนี้ แล้วข้าจะมานำทางเจ้ากลับไปเอง” มฤควิญญาณขาวส่งไผ่ม่วงชิ้นแวววาวให้เฉินซี
“ขอบใจเจ้ามาก” เฉินซีป้องมือกล่าว
“ไปเถอะ นายท่านเริ่มกลั่นยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชาแล้ว พวกเจ้าต้องรีบไปรีบกลับ อย่าเสียเวลาเล่า” มฤควิญญาณขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชา!?” เหล่าไป๋ร้องด้วยความตกใจ
เฉินซีมองเหล่าไป๋ จากนั้นพยักหน้าให้มฤควิญญาณขาว ก่อนหมุนตัวก้าวขึ้นหมู่เมฆาไป
ฟึบ!
ทะเลเมฆพลันเดือดพล่าน จากนั้นโอบล้อมร่างเฉินซีกับเหล่าไป๋ไว้แล้วหายวับไปทันใด
…
ดาวผู่ถัวตั้งอยู่ในดาราจักรสุบินเมฆาแห่งเอกภพสมุทรทักษิณา มันมีขนาดกว้างขวางใหญ่โต เหมือนดวงตะวันส่องแสงสุขสกาวดวงหนึ่ง ทำเอารัศมีดาวดวงอื่นที่อยู่ใกล้หม่นแสงลงทันตา
ดาวผู่ถัวถือกำเนิดมานานมากแล้ว ย้อนไปได้ถึงยุคบรรพกาลเมื่อครั้งที่เผ่าพันธุ์ทั้งหลายต่างแย่งชิงอำนาจสูงสุดกันอยู่ ถึงขั้นที่มีเผ่าพันธุ์โบราณมากมายถือกำเนิดขึ้นบนดาวผู่ถัวทีเดียว
นั่นก็เป็นเพราะเทศกาลหลินหลางเป่าพี่จะจัดขึ้นทุกสามพันปีกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เมืองนาวาวิญญาณ
มันได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในดาวผู่ถัว เป็นเหมือนมุกสุกสกาวภายในดาว ดึงเอายอดฝีมือมากมายมาจากทั่วทั้งแดนเทพโบราณ
ตามคำร่ำลือกล่าวว่า เทศกาลหลินหลางเป่าจะถูกจัดขึ้นในเมืองแห่งนี้
ตอนนี้เมืองนาวาวิญญาณแน่นขนัดไปหมด ถนนโบราณสายยาวเต็มไปด้วยเกวียนและผู้คนขวักไขว่
เมื่อถึงยามเย็น นอกเมืองนาวาวิญญาณออกไปสามพันลี้ก็เกิดพลังผันผวนขึ้น จากนั้นเงาร่างสูงของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา คนผู้นั้นก็คือเฉินซีนั่นเอง
พริบตาเดียว เฉินซีก็เคลื่อนมิติจากทะเลเมฆามาถึงที่นี่แล้ว มองประเมินรอบตัวก็รู้ได้ว่าเมืองโบราณอันโอ่อ่าที่อยู่ไกล ๆ ตรงนั้นคงเป็นปลายทางของตน เมืองนาวาวิญญาณนั่นเอง
“เหล่าไป๋ ยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชามีอำนาจสูงส่งเช่นนั้นเลยหรือ?”
“ไม่เพียงแค่นั้นนะ หากกลั่นเม็ดยาได้สำเร็จ ก็สามารถพลิกชะตา หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและความเฉลียวฉลาดได้ทีเดียว นับว่ามีอำนาจสะท้านฟ้า ในวันที่กลั่นเม็ดยานี้สำเร็จ หากพลาดแม้เพียงนิด ก็จะทำให้ถูกทำลายโดยทัณฑ์สวรรค์ เพราะสวรรค์ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน!” เหล่าไป๋เอ่ยเสียงมั่นใจ “สมัยยุคหมานกู่ เซวียนเคยกลั่นเม็ดยานี้ออกมาได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นยังมีพลังไม่มากพอ ทำให้เม็ดยาและเตากลั่นถูก ‘ทัณฑ์รองแห่งโชคชะตา’ ทำลายไป แต่ถ้าเพียงแค่นั้นก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากทัณฑ์รองซัดลงมาแล้ว ฟ้าดินก็ตกอยู่ในความโกลาหล เกิดความวิบัติขึ้นไม่หยุดหย่อน ชั่วระยะเวลาเพียงปีเดียว ผู้บ่มเพาะกว่าแปดหมื่นสี่พันคนก็ได้รับผลกระทบ ต้องตายตกไปเพราะเหตุนี้!”
เหล่าไป๋หยุดเล็กน้อยแล้วถอนหายใจ “ส่วนเรื่องเหตุผลน่ะหรือ? ก็เพราะเกี่ยวพันถึงพลังแห่งโชคชะตา เป็นเรื่องต้องห้ามแห่งสวรรค์”
“เป็นเรื่องต้องห้ามแห่งสวรรค์…. ความวิบัติ….” เฉินซีอ้าปากค้าง ในที่สุดก็เข้าใจอำนาจของยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชา
ทว่าก็เห็นได้ชัดเจนว่านายท่านแห่งอารามไท่ชู ท่านเทพธิดา คิดจะกลั่นเม็ดยานี้ขึ้นมาเพื่อช่วยเขายับยั้งกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราในร่างเจิ้นหลิวชิง
เฉินซีรู้สึกหนักใจอยู่ชั่วขณะ รู้สึกเหมือนรับความเมตตานี้ไม่ไหว
“อะไรกัน? เจ้าเป็นห่วงว่าจะติดหนี้บุญคุณจนทดแทนไม่ไหวงั้นหรือ? หึ! ในความคิดข้า สาเหตุที่นายท่านแห่งอารามทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะมีอะไรดลใจ แต่เป็นเพราะมีความคิดลึกล้ำต่างหาก เจ้าวางใจให้สงบแล้วไปเตรียมหาวัตถุเทวะเถอะ” เหล่าไป๋มองเฉินซีก่อนเอ่ยเสียงพึงพอใจ “ส่วนเรื่องอื่น มีบรรพชนเช่นข้าอยู่ด้วย ยังจะต้องห่วงอะไรอีก?”
คำพูดของเหล่าไป๋ทำให้เฉินซีคลายความกังวลลงมาก ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเมืองโบราณท่ามกลางแสงยามเย็นแล้วพยักหน้า “เจ้าพูดถูก หากข้าสามารถช่วยให้หลิวชิงฟื้นขึ้นมาได้ จะติดค้างหนี้ครั้งใหญ่แล้วจะเป็นไรไป?”
พูดจบเขาก็ไม่ลังเลอะไรอีก สองมือไพล่หลัง เดินมุ่งหน้าแหวกห้วงอากาศตรงไปยังเมืองนาวาวิญญาณทันใด
………………..