บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1739 แสงสมบัติทะยานสู่สวรรค์
บทที่ 1739 แสงสมบัติทะยานสู่สวรรค์
เมืองนาวาวิญญาณทั้งโอ่อ่าและโบราณ มันตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดินขณะเปล่งแสงเจิดจ้าหลากสีสัน แล้วทะยานสู่ท้องนภาก่อนจะย้อมให้มันกลายเป็นห้วงความฝัน
นั่นคือแสงสมบัติ!
ทั่วทั้งเมืองโบราณถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศโอ่อ่ากว้างใหญ่ แม้กระทั่งผู้บ่มเพาะธรรมดาก็มองออกว่าเมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยสมบัติแห่งฟ้าดินในจำนวนที่น่าทึ่ง
ทว่าคล้ายกับมีพลังที่มองไม่เห็นอยู่ในเมืองโบราณนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บ่มเพาะจะระบุได้ว่าแสงสมบัติที่ทะยานสู่ท้องนภามาจากที่ใด
เห็นได้ชัดว่านี่คือการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นทำการสอดส่องและกระทำสิ่งชั่วร้าย
“จุ๊ ๆ ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินถึงได้มีสมบัติมากมายขนาดนี้!”
ก่อนจะเข้าเมือง เหล่าไป๋เริ่มเอ่ยคำชื่นชม “สมแล้วที่ได้ชื่อเมืองนาวาวิญญาณ”
เฉินซีเห็นแสงเจิดจ้าที่ทะยานสู่ท้องนภาจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาดหวังอยู่ภายใน คราวนี้เขาอาจจะมาถูกที่ก็เป็นได้
“สหายเต๋าดูนี่สิ ข้ารวบรวมสมบัติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จากดินแดนลับมาได้ พวกมันมีค่ามหาศาลนัก หากต้องการข้าก็จะเก็บไว้ให้”
“ข้ามีประสบการณ์ในการเข้าร่วมเทศกาลหลินหลางเป่าสามครั้ง ซึ่งของที่ขายต่างเป็นของแท้ หาได้เป็นการหลอกลวงไม่ สหายเต๋าลองดูพวกมันก่อนแล้วค่อยเลือกซื้อก็ได้”
“ผลึกโลหิตวิหคเพลิง กลีบสมบัติสลักลายมังกร ผลราชันเบญจธาตุ แก่นศักดิ์สิทธิ์หยกคราม… สมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสามร้อยชิ้นต่างนำมาขายเพื่อสานสัมพันธ์ฉันมิตรเท่านั้น หาได้เป็นการเก็งกำไรไม่!”
ทันทีที่เข้าสู่เมืองนาวาวิญญาณ คลื่นเสียงก็กระแทกใส่พวกเขา โดยเสียงตะโกนทั้งหลายดังมาจากทุกหนแห่ง ทำให้ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย
ท่ามกลางความประหลาดใจ เฉินซีเกือบคิดไปว่าตนอยู่ในโลกมนุษย์เสียอีก
ทั้งสองฝั่งของถนนโบราณกว้างขวางเต็มไปด้วยแผงขายของเนืองแน่น แต่ละร้านจัดเรียงสมบัติเจิดจ้าอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ดูสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ผู้บ่มเพาะไหลหลั่งประหนึ่งสายธาร มันเต็มไปด้วยความคึกคักละลานตา
บรรยากาศนับว่ามีชีวิตชีวายิ่ง
เพียงกวาดตามองเพียงปราดเดียว เฉินซีก็สังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตนับร้อยจากเผ่าพันธุ์โบราณทั้งหลาย หลายสิบคนอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เขาถึงขั้นเหลือบไปเห็นมหาราชเทวาเดินผ่านไปมาราวสองสามคน
นี่ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เทศกาลหลินหลางเป่าแห่งนี้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่กว่าที่คิด
“นี่ นั่นมันเผ่าวิญญาณเมฆา!” เหล่าไป๋อุทาน
กลุ่มเมฆาสีครามกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่กลางอากาศอันไกลลิบ พวกมันมีปีกเรียวยาวหนึ่งคู่ที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋าขณะย่างก้าวอย่างเกียจคร้าน ไม่ว่าผ่านไปที่ใดก็เป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งหลาย
นี่คือเผ่าวิญญาณเมฆา เป็นเผ่าพันธุ์โบราณหายากยิ่ง ว่ากันว่าพวกมันถือกำเนิดในเมฆอสนีโกลาหลพร้อมวิถีเต๋า เหมือนกับม่านหมอกที่ไม่มีตัวตน แต่พลังต่อสู้กลับน่าทึ่งยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น เผ่าวิญญาณเมฆาเป็นปรมาจารย์โอสถธรรมชาติที่สามารถทำให้โอสถศักดิ์สิทธิ์เติบโตได้ดีขึ้น โดยสิ่งที่พวกมันคิดค้นและเลี้ยงดูล้วนมีผลโอสถที่เปี่ยมด้วยพลังวิญญาณอันเหลือเชื่อ
“คาดไม่ถึงว่าเผ่าพันธุ์นี้จะยังมีชีวิตอยู่ ดูท่าว่าตอนที่สงครามเผ่าพันธุ์ พวกมันจะไม่สูญพันธุ์ตามข่าวที่ลือมา”
เหล่าไป๋ครุ่นคิดก่อนจะส่งกระแสปราณหาเฉินซี “สหายตัวน้อย เหตุใดไม่จับเผ่าวิญญาณเมฆามาสักตนเล่า มันเป็นปรมาจารย์โอสถธรรมชาติ สามารถช่วยดูแลโอสถศักดิ์สิทธิ์ในภายภาคหน้าได้ ท่านจะได้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน”
มันมีร่องรอยของกำลังใจอยู่ในน้ำเสียง
เขากังวลเหลือเกินว่าเหล่าไป๋จะนำพาปัญหามาให้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ปากคอเราะราย อีกทั้งยังไม่มีหูรูดด้วย
“นี่ ท่านบรรพชนไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าไม่ใช่คนที่ชอบสร้างปัญหาเสียหน่อย” เหล่าไป๋เอ่ยคำอย่างไม่เห็นด้วย
เฉินซีส่ายหน้าขณะเดินไปตามถนน มองแผงลอยรอบหาเป้าหมายที่ต้องการ
น่าเสียดาย ถึงแม้จะมีสมบัติงดงามจำนวนมากอยู่ในแผงลอยเหล่านี้ แต่ไม่มีชิ้นไหนที่เฉินซีต้องการ
นี่นับเป็นเรื่องปกติ วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่เขาต้องการในครั้งนี้ล้วนไร้ใครเทียบและห่างชั้นจากของธรรมดา ไม่เช่นนั้น เฉินซีเพียงให้จักรพรรดินีทำการรวบรวมโดยที่ตนไม่ต้องทำอะไรก็ยังได้
“อำพันลี้ลับ ศิลาวิญญาณอสนี หินเพลิงกำเนิดปฐพี หินโลหิตกำราบสมบัติ หินอัญเชิญวิญญาณ… ร้านของข้าขายเพียงแร่ศักดิ์สิทธิ์ของแท้ หากสหายเต๋ามองให้ดีก็จะทราบว่าข้าเสี่ยงตายเพื่อตามหาสิ่งเหล่านี้จากหุบเหวเทพมาร”
เบื้องหน้าแผงลอย ชายชราไว้เคราแพะส่งเสียงตะโกน โดยมีร่างจำนวนมากยืนมุงดู สร้างความสนใจให้กับเฉินซีไม่น้อย
ไม่ใช่แร่ในร้านที่ดึงดูดเขา แต่เป็นร่างเหล่านั้นต่างหาก
ผู้นำคือชายหนุ่มผมสีส้มที่มีดวงตาเหมือนหยก ผิวกายเขาเต็มไปด้วยเส้นสายต่าง ๆ และอักขระลึกลับที่ประทับบนท่อนบนเปลือยเปล่า
กลุ่มผู้บ่มเพาะอสูรแปลกประหลาดนี้คือกลุ่มที่เฉินซีเคยพบก่อนจะเข้าอารามไท่ชู
หากจำไม่ผิด พวกเขามาจากเผ่ากิเลนเพลิง เผ่าบุปผาเริงระบำ เผ่ากระทิงวิญญาณคลั่ง และเผ่าคนแคระศึกปฐพี พวกเขาล้วนเป็นเผ่าพันธุ์โบราณยิ่ง
“ข้าต้องการศิลาวิญญาณอสนีก้อนนี้ บอกข้ามาว่าต้องจ่ายด้วยผลึกศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่?”
ชายหนุ่มผมส้มเอ่ยคำ
“แปดพัน”
ประกายแห่งความยินดีปรากฏในดวงตาของชายชราขณะแสร้งทำเป็นเฉยเมย
“แพงขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ปิศาจบุปผามากเสน่ห์ยิ่งประหลาดใจ น้ำเสียงของนางแผ่วเบาและนุ่มนวล รื่นหูนัก
“นี่คือศิลาวิญญาณอสนี เต็มไปด้วยวิญญาณของพลังอสนี หมื่นปีจะเกิดสักหน หากไม่ใช่เพราะต้องการใช้ผลึกศักดิ์สิทธิ์เพื่อซื้อโอสถที่จำเป็นต่อการบ่มเพาะอย่างเร่งด่วน ต่อให้ให้ผลึกศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นก้อนข้าก็ไม่ขาย”
พวกชายหนุ่มผมส้มลังเลเล็กน้อย ศิลาวิญญาณอสนีเป็นของยอดเยี่ยมจริง แต่ราคาของมันเกินกว่าที่พวกเขาจะแบกรับได้
“เอาเถอะ ข้าเห็นว่าพวกเจ้าต้องการศิลาวิญญาณอสนีจริง จะทนดูผู้เยาว์เช่นพวกเจ้าลำบากก็คงไม่ได้ ดังนั้นข้าจะขายในราคาผลึกศักดิ์สิทธิ์เจ็ดพันก้อนก็แล้วกัน”
ชายชราถอนหายใจอีกครั้ง
“ขอบพระคุณมาก”
ชายหนุ่มผมส้มยินดีจนอยากควักผลึกศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่ตอนนี้เองที่เสียงคมปลาบดังขึ้น…
“ตาเฒ่าใจดำไม่ค่อยมีเหตุผลเอาเสียเลย ศิลาวิญญาณอสนีก้อนนี้สามารถหลอกผู้อื่นได้หากไม่ดูให้ดี แต่ทุกคนที่มีความรู้ย่อมทราบว่ามันเป็นสินค้าที่มีข้อบกพร่องเลวร้ายที่สุด!”
คนที่เอ่ยคำย่อมเป็นเหล่าไป๋ มันมองชายชราด้วยสีหน้าเหยียดหยัน
พวกชายหนุ่มผมส้มตกตะลึงสักพัก สีหน้าของพวกเขาไม่น่าดูเล็กน้อย
ใบหน้าของชายชราไว้เคราแพะมืดมนก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเดือดดาล “สหายเต๋า เจ้าถึงกับทำให้ธุรกิจของข้าเสียหายด้วยการพูดจาเหลวไหล บอกข้ามาว่าเจ้ามีปัญหาอันใด? หากไม่อธิบายให้กระจ่าง วันนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เขาเอ่ยคำอย่างขุ่นเคืองราวกับตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ
“อ้าว เป็นเจ้านี่เอง สหายเต๋า” ทันใดนั้น ชายหนุ่มผมส้มก็จำเฉินซีได้
เฉินซียิ้มแล้วไม่เอ่ยอะไร
“แหม เจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปงั้นหรือ? ตาเฒ่าอย่างเจ้าถ้าไม่หลังชนฝาจริงก็คงจะปฏิเสธเสียงแข็งสินะ”
เหล่าไป๋ยิ้มหยันแล้วเอ่ยคำ “เจ้ากล้าปลอมแปลงเศษหินนี้ด้วยการนำผงอสนีมาขัดแล้วเติมหยกเหลวไร้ค่าให้มันกลายเป็นศิลาวิญญาณอสนีได้อย่างไร? วิธีการปลอมแปลงนี้ข้าเห็นมานานแล้ว แต่เจ้ายังกล้าใช้มันเพื่อหลอกลวงผู้อื่น ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน”
ทันใดนั้น สีหน้าของชายชราไว้เคราแพะเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำอย่างเคร่งขรึม “ขืนยังพูดจาเหลวไหลอยู่อีก อย่าหาว่าข้าไร้ปรานี!”
ตอนนี้ความโกลาหลดังกล่าวดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหลายในบริเวณใกล้เคียง พวกเขาล้วนแสดงสีหน้าราวกับกำลังรับชมเรื่องตื่นเต้น ทำให้ชายชราอยากสังหารเหล่าไป๋ด้วยสายตาเสียเดี๋ยวนี้
เหล่าไป๋เกียจคร้านเกินกว่าจะให้ความสนใจก่อนจะชี้ไปที่ชายหนุ่มหัวส้ม “สหายน้อย หากเจ้าไม่เชื่อก็สามารถใช้เคล็ดเต๋าโดยกำเนิดของเผ่ากิเลนเพลิงอย่าง ‘เพลิงห้าสีจันทร์คราม’ เพื่อตรวจสอบหินก้อนนี้ดูก็ได้ เพียงพริบตาเจ้าจะต้องพบข้อบกพร่องอย่างแน่นอน”
“ได้”
ชายหนุ่มผมส้มพยักหน้า
ชายชราไว้เคราแพะตะโกน “ข้าไม่ขายแล้ว พอใจหรือยัง?”
เพียงหนึ่งประโยคก็เปิดเผยความผิดของเขาอย่างสมบูรณ์
พวกชายหนุ่มผมส้มเข้าใจทันทีขณะมองชายชราด้วยสายตามาดร้าย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ลงมือ
“ขอบคุณที่ชี้แนะ”
พวกเขาขอบคุณเหล่าไป๋
เหล่าไป๋เอ่ยคำอย่างภาคภูมิ “ด้วยความยินดี แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“สหายเต๋า ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจกฎของเมืองนาวาวิญญาณสินะ”
ชายชราไว้เคราแพะมีสีหน้าหมองหม่นก่อนจะพลันเอ่ยคำ “ทุกธุรกิจในเมืองต่างเกิดมาจากความสมัครใจระหว่างเจ้ากับข้า บุรุษที่แท้จริงต้องนิ่งเงียบขณะมองดูกระดานหมากรุก หากทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการแหกกฎ!”
เฉินซีและเหล่าไป๋มองหน้ากันแล้วอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง มีการกฎเช่นนั้นด้วยหรือ?
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มผมส้มคล้ายกับนึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะพลันตบหน้าผากแล้วเอ่ยคำ “มีกฎแบบนั้นอยู่จริง หลังจากทำการซื้อขายแล้ว หากพบว่าสินค้ามีข้อบกพร่องก็ทำได้เพียงโทษตัวเองที่ขาดความรอบคอบ ไม่สามารถโทษคนขายที่ทำการหลอกลวงได้”
หลังจากนิ่งไป เขาก็เอ่ยต่อ “หากหยิบแล้วได้สมบัติมีค่าขึ้นมา คนขายก็จะมาเสียใจทีหลังไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าผิดกฎ ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาจะไม่เป็นที่ต้อนรับ หรือเลวร้ายที่สุดคือการเนรเทศ”
“เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้สหายน้อยถึงไม่บอกข้า! เจ้ากำลังหลอกข้าหรืออย่างไร?” เหล่าไป๋ตะโกนอย่างเดือดดาล
ชายหนุ่มผมส้มพลันรู้สึกเขินอาย “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันคิดน่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราไว้เคราแพะเอ่ยคำอย่างภาคภูมิ “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากทำให้เจ้าอับอายแล้ว ขอเพียงจ่ายผลึกศักดิ์สิทธิ์เป็นค่าชดเชยหรือซื้อสมบัติจากร้าน ข้าก็จะยกโทษให้กับความผิดของเจ้าในครั้งนี้”
เฉินซีชำเลืองมองหินบนร้านก่อนจะคว้าขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วเอ่ยคำ “ศิลาระลอกทองก้อนนี้ราคาเท่าไหร่?”
“เก้าพัน… ไม่สิ หนึ่งหมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์!” ชายชราไว้เคราแพะเหมือนกับมั่นใจว่าจะได้จากเฉินซี เขาจึงไม่แม้แต่จะปกปิดเรื่องการตั้งราคาเท็จแต่อย่างใด
“สหายเต๋า ให้พวกข้าจ่ายดีกว่า” ชายหนุ่มผมส้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่จำเป็น ถือว่าซื้อบทเรียนก็แล้วกัน”
เฉินซียิ้มขณะโยนถุงเก็บของไปให้ชายชราไว้เคราแพะ มันอัดแน่นไปด้วยผลึกศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นก้อน
เมื่อเห็นเฉินซีใจกว้างและตรงไปตรงมา ชายชราไว้เคราแพะที่เดิมคิดว่าได้เฉือดแกะอ้วนก็ตกตะลึงชั่วขณะจนแอบรู้สึกเสียดาย หากทราบว่าคนตรงหน้าร่ำรวยขนาดนี้ เขาควรทำตัวให้หน้าเลือดกว่านี้!