บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1740 ชายชุดดำ
บทที่ 1740 ชายชุดดำ
“การซื้อขายนี้ตกลงได้แล้วหรือไม่?” เฉินซีเอ่ยถาม
“ได้!” ชายชราโบกมืออย่างไม่ถือสา ท่าทางใจกว้าง “เจ้าหนู จำไว้นะว่าซื้อแล้วเปลี่ยนคืนไม่ได้!”
เฉินซีแย้มยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือเหล่าไป๋ไม่เอะอะสักคำ มันมองชายชราด้วยสีหน้าพิกลประหนึ่งเวทนา เดียดฉันท์และเพลิดเพลินกับความอับโชคของอีกฝ่าย
ชายชรารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ทำเพียงแค่นเสียงเย็น ไม่ได้สนใจคนกลุ่มนี้อีก
“สหายเต๋าท่านนี้ ข้าขอดูหินก่อนนั้นหน่อยได้หรือไม่?” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงอบอุ่นดุจแสงตะวันก็ดังขึ้น ขณะที่ชายชุดดำผู้หนึ่งปรากฏกาย
คนผู้นี้ไม่ธรรมดา! เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย
ชายชุดดำมีรูปร่างสูงสง่า เรือนผมดำขลับเคลียบ่า ผิวพรรณกระจ่างขาว ใบหน้าคมคายดุจผ่านการสลักเสลา ทำให้ดูหล่อเหลาอย่างยิ่ง นอกจากนั้น ดวงตาดำสนิทยังดูประหนึ่งม่านรัตติกาลอันเป็นนิรันดร์ ให้ความรู้สึกสงบเย็น เคร่งขรึม และเฉยชา
ทันทีที่ทั้งสองมาถึง สายตาของชายชุดดำก็เพ่งมายังเฉินซี มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย
บรรยากาศเอะอะมะเทิ่งรอบข้างเงียบลงกะทันหัน ดูประหนึ่งเมื่อชายชุดดำมาถึง กระทั่งฟ้าดินยังต้องเงียบเสียง มิอาจรบกวนเขาได้
“เอ๋?” ดวงตาของเหล่าไป๋หรี่ลง ปากอุทานอย่างประหลาดใจ แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก
“ได้สิ” เฉินซีก็ยิ้มตอบ แล้วจึงโยนมันให้อีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย
“ขอบคุณ” ชายชุดดำรับมันมาพินิจอย่างระมัดระวังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเฉียบพลัน “ขอถามสหายเต๋า ขายศิลานี้ให้ข้าได้หรือไม่?”
ทุกผู้รอบทิศต่างตะลึง สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าหินก้อนนี้ผิดปกติเล็กน้อย
โดยเฉพาะชายชราที่มองเฉินซีกับชายชุดดำด้วยสีหน้าเคลือบแคลง เหมือนกำลังยืนยันบางสิ่ง
เขาตระหนักดีมากว่าศิลาระลอกทองนี้ถูกพบในซากโบราณแห่งหนึ่ง คุณภาพของมันบอกไม่ได้ว่าสูงส่งเลิศล้ำ ถือได้เพียงธรรมดาเท่านั้น หลังจากพินิจอย่างตั้งใจ ก็บอกได้ว่า มันก็มีราคาเพียงสามพันผลึกศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เขาตั้งราคาไว้ที่หนึ่งหมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์ด้วยเจตนาฉวยโอกาสโกงเงินเท่านั้น ทว่าเหตุการณ์ในขณะนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ หรือข้าจะเข้าใจผิด? ศิลาระลอกทองชิ้นนั้นมีความลับอื่น?
“ประเสริฐ” ชายชุดดำหัวเราะเบิกบาน ก่อนจะนำกระเป๋าสัมภาระออกมาใบหนึ่ง “ข้าจะให้สหายเต๋าเสียแรงเปล่าไม่ได้ ในนี้มีห้าหมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์ โปรดรับไว้เถิด”
ห้าหมื่น! ทุกผู้จากทั่วทิศต่างผงะ เพียงครู่สั้น ๆ ศิลาระลอกทองหนึ่งก้อนซึ่งมีราคาเพียงไม่กี่พันผลึกศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกขายไปในราคามหาโหดถึงห้าหมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์ !
หากพวกเขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตา คงไม่กล้าเชื่อเป็นแน่
ชายชราตะลึงยิ่งกว่าใคร ดวงตาเจียนกระเด้งจากเบ้า มันเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร? หรือข้าจะมองผิดไปจริง ๆ?
คลื่นความคิดพลุ่งพล่านรุนแรงในอก ไม่อาจสงบลงได้เลย
“นั่นมันมากไปหน่อยนะ” เฉินซีกล่าว
“ไม่หรอก นี่ไม่ใช่ศิลาระลอกทองทั่วไป ข้าขอตัว” ชายชุดดำยิ้มแฝงเลศนัยลึกล้ำ ก่อนจะหันกายจากไป
มวลชนรอบทิศอดระเบิดเสียงอื้ออึงยามเห็นเช่นนี้กันไม่ได้ ในที่สุดพวกเขาก็กล้าตัดสินว่าศิลาระลอกทองก้อนนี้มีความไม่ธรรมดาอยู่แน่นอน
“เจ้านั่น… สายตาไม่เลวเลย” ขณะมองไล่หลังชายชุดดำ เฉินซีก็เหมือนจมในภวังค์ความคิด ก่อนหน้านี้ เหล่าไป๋ส่งกระแสปราณบอกเขาว่าศิลาระลอกทองก้อนนั้นไม่ธรรมดา มันสั่งสมไขเปลวหยกไว้ภายในเป็นจำนวนมาก เฉินซีจึงฉวยโอกาสซื้อมัน
แต่ในความคิดของเฉินซี ไม่ว่ามันจะหายากเพียงไร มันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เขาจึงปล่อยตัวตามน้ำ ขายมันให้ชายชุดดำ ได้สี่หมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์เพียงชั่วอึดใจ กล่าวได้ว่าเป็นกำไรไม่คาดฝัน
“สหายเต๋า ข้าไม่คาดเลยว่าสายตาของเจ้าจะหลักแหลมนัก น่านับถือจริง ๆ” สายตาของชายหนุ่มผมสีส้มและคณะมองมายังเฉินซีด้วยประกายเรืองรอง รู้สึกชื่นชมยิ่งนัก
“ข้าแค่บังเอิญโชคดีเท่านั้นแหละ” เฉินซีแย้มยิ้ม
“สหายเต๋า เราคุยกันเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?” ชายหนุ่มผมสีส้มครุ่นคิดลึกล้ำอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโพล่งขึ้นขณะมองเฉินซีด้วยสายตาคาดหวัง
“ได้” เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลง ชายหนุ่มกำลังจะไปหาคนไถ่ถามสถานการณ์ในเทศกาลหลินหลางเป่าอยู่พอดี หากเขาหลับหูหลับตาควานหาเอาเอง ก็ไม่อาจทราบว่าจะรวบรวมวัตถุเทวะทั้งหมดที่ต้องการได้ยามใด
กลุ่มของพวกเขาจากไปด้วยกันทันที เหลือเพียงชายชรายืนตะลึงกับที่ รวดร้าวไปด้วยความเสียดายจนเจียนร่ำไห้ มิคาดคิดเลยว่าแม้จะอยู่ในวงการนี้มาแสนนาน เขาจะมาถูกตลบหลังในวันนี้!
…
บนถนนอันคลาคล่ำเต็มไปด้วยผู้คนสัญจร ชายชุดดำและหญิงสาวเดินเคียงข้าง
หญิงสาวหยุดตนเองมิให้ถามไม่ได้ “คุณชาย ศิลาระลอกทองนั่นไม่ธรรมดาจริง ๆ หรือเจ้าคะ?”
“มันดีกว่าศิลาระลอกทองทั่วไปเล็กน้อย แต่ไม่นับว่าหายากอะไร” ชายชุดดำตอบเสียงเรียบ ก่อนจะโยนมันให้หญิงสาว “เจ้าเอาไปเล่นเถอะ ข้าไม่มีเหตุให้ใช้มัน”
เขากล่าวอย่างเรียบเฉย ดูราวไม่สนใจเลยสักนิด
หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ก็อดผงะไปไม่ได้ “คุณชาย ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์สำหรับท่าน แล้วเหตุใดจึงจ่ายราคาสูงเพื่อมันกันเจ้าคะ?”
ชายชุดดำชะงักเท้า เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มนึกสนุกจะปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาคมคาย กล่าวขึ้นขณะดูจมในความคิด “เจ้าไม่คิดหรือว่าชายหนุ่มผู้นั้นน่าสนใจหรือ?”
น่าสนใจ? หญิงสาวตะลึง งุนงงสุดขีด
ชายชุดดำไม่ได้อธิบายมากไปกว่านั้น
“สหายเต๋าท่านนี้ ถูกใจสมบัติชิ้นใดของข้าหรือไม่? สมบัติทั้งหมดในร้านของข้าล้วนล้ำค่าหายาก ปกติหาพบยากนัก ไม่เลือกไปสักชิ้นหรือ?” ชายวัยกลางคนที่ร้านแผงลอยใกล้ ๆ กันนั้นเห็นชายชุดดำชะงักเท้า จึงเริ่มเสนอขายสินค้าของตนทันที
ชายชุดดำเหลือบมองสินค้าในแผงลอย ก่อนจะส่ายหน้า “เจ้ากล้าเรียกกองขยะนี่ว่าล้ำค่าหายากหรือ? อวิ๋นเอ๋อร์ เราไปกันเถอะ”
ว่าแล้ว เขาก็พาหญิงสาวจากไป
สีหน้าของชายวัยกลางคนซีดขาวระคนบูดบึ้ง กล่าวขึ้นด้วยโทสะ “จะมากไปแล้วนะ! เจ้าเด็กตรงนั้นน่ะ กล้าก็บอกชื่อเจ้ามา!”
“เย่เฉิน? ใบไม้ไหน?*[1]” ชายวัยกลางคนผงะไป ก่อนจะหัวเราะล้อเลียน “เจ้านี่กระทั่งกล้าแอบอ้างเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานจากตระกูลเย่แห่งเอกภพจักรวรรดิ สมควรมองตัวเองในกระจกจริงแท้! คนหนุ่มสาวสมัยนี้ชอบแอบอ้างกันจริง ๆ!”
ทว่าในใจของเขาก็ยังเกิดความรู้สึกแย่ ๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ย ราวตนมองข้ามบางสิ่งไป
หลังจากนั้น เขาก็พึมพำเสียงเบา “ไม่ใช่เขาหรอกน่า เย่เฉินผู้นั้นคือตัวตนในอันดับหนึ่งบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ข้าได้ยินว่าเขากระทั่งบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเมื่อไม่นานนี้แล้ว ทำให้เกิดปรากฏการณ์รัตติกาลนิรันดร์คลุมฟ้า ตะวันดาราดับสูญ ป่านนี้เขาน่าจะเสวยสุขอยู่ในเอกภพจักรวรรดิ จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
…
“นายน้อย บรรพบุรุษส่งสารแจ้งให้ท่านกลับไปโดยเร็วที่สุด บอกว่าเขาพบเบาะแสเกี่ยวกับแดนรวนเรลืมเลือนแล้วขอรับ” ในอาคารอันโอ่อ่าแห่งหนึ่ง ณ เมืองนาวาวิญญาณ ชายชราผู้หนึ่งโค้งตัวเดินมาหาทันทีเมื่อเห็นชายชุดดำกลับมา
“โอ้ มีข่าวหรือ?” ชายชุดดำนิ่งไป ก่อนจะรำพึงอย่างจนใจ “ข้าเพิ่งออกจากเอกภพจักรวรรดิได้ไม่กี่วัน ยังไม่ทันได้เล่นสนุกเลย ก็ต้องกลับไปเสียแล้ว ละเหี่ยใจแท้”
“นายน้อย แดนรวนเรลืมเลือนควรค่าให้ท่านสนใจกว่าเรื่องนี้นะขอรับ” ชายชรากล่าวขณะยังก้มหัว
“ช่างมันเถอะ เจ้าไปเตรียมรถม้าสมบัติ เราจะไปกันเดี๋ยวนี้” ชายชุดดำโบกมืออย่างห่อเหี่ยวเล็กน้อย
เฉินซีเอ๋ยเฉินซี! ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้า แต่กลับต้องปล่อยโอกาสหลุดมือไปเช่นนี้…. ชายชุดดำรำพึงในใจก่อนจะส่ายหน้า ขึ้นรถม้าสมบัติไปกับหญิงสาวข้างกาย
ฟิ่ว!
รถม้าสมบัติทะยานเวหาจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่ก่อการรบกวนใด ๆ
…
ขณะเดียวกัน ห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง ณ ภัตตาคารในเมืองนาวาวิญญาณ
เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนพื้น ขณะที่ชายหนุ่มผมสีส้มและคณะนั่งตรงหน้า
ระหว่างนี้เฉินซีทราบแล้วว่าชายหนุ่มผมสีส้มจากเผ่ากิเลนเพลิงมีนามว่าเลี่ยอวิ๋นฉง และปีศาจบุปผาจากเผ่าบุปผาเริงระบำคือกู่เหมยหลิน เป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเลี่ยอวิ๋นฉง
ส่วนชายศีรษะกระทิงจากเผ่ากระทิงวิญญาณคลั่งและชายชราร่างเล็กจากเผ่าคนแคระศึกปฐพีมีนามว่าหนิวคุนและหวงหมานตามลำดับ
ส่วนเฉินซี เขาแนะนำตัวด้วยชื่อเฉินสวิน ไม่เผยนามจริงของตน เพราะเขาล่วงเกินกองกำลังยิ่งใหญ่จากเอกภพจักรวรรดิไว้มากมาย การเผยตัวตนจึงไม่ใช่เรื่องชาญฉลาด
“สหายเต๋าเฉินสวิน บอกเจ้าตามตรง เรารวบรวมสมบัติจำนวนมากในเมืองนาวาวิญญาณตลอดหลายวันมานี้ แต่ไม่อาจแยกแยะพวกมันบางชิ้นได้ว่าจริงหรือปลอม จึงเชิญสหายเต๋ามาหนนี้ด้วยหวังว่าจะพึ่งปัญญาของสหายเต๋าตรวจสอบพวกมันได้” หลังสนทนาเล็กน้อยกันครู่หนึ่ง ชายหนุ่มผมสีส้มเลี่ยอวิ๋นฉงก็กล่าวเข้าประเด็นตรง ๆ “ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ให้สหายเต๋าช่วยเปล่า ๆ”
เฉินซีไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี ไม่คาดเลยว่าคนเหล่านี้จะถือเขาเป็นนักส่องสมบัติไปได้
ขณะที่กำลังจะปฏิเสธนั้นเอง ชายหนุ่มก็ได้ยินเหล่าไป๋เอ่ยปาก “ไม่ต้องพูดมาก เอาสมบัติพวกนั้นออกมาได้แล้ว ให้ข้า บรรพชนผู้นี้ประเมินพวกมันให้เจ้า รับประกันว่าจะพอใจกลับไปแน่นอน”
เฉินซีเหลือบมองวิหคเฒ่าที่กระทำการตามใจชอบ ขณะที่อีกฝ่ายทำเพียงหัวเราะหึ ไม่ได้สนใจเลยว่าท่าทางดูไร้ยางอายสิ้นดี
สิ่งนี้ทำให้ศีรษะของเฉินซีปวดหนึบ จู่ ๆ ก็นึกสงสัยว่าพาวิหคเฒ่ามาด้วยเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่
“เช่นนั้น ขอขอบคุณทั้งสองล่วงหน้าเลย” เลี่ยอวิ๋นฉงและคณะต่างชื่นบาน พากันนำกล่องหยกปิดผนึกสามใบออกมาวางบนโต๊ะและเปิดพวกมันทีละใบทันที
เพียงพริบตา รัศมีสารพัดสีก็เจิดจรัส ทำให้ห้องส่วนตัวทั้งห้องเรืองรองสว่างไสว เป็นภาพที่ไม่ธรรมดาอยู่พอตัว
เมื่อเฉินซีมองพินิจมา กล่องหยกเหล่านี้บรรจุระฆังสำริดใบหนึ่ง พัดใบธูปฤาษีสีขาวเล่มหนึ่ง และชิ้นทองแดงสีเทาเข้มก้อนหนึ่งตามลำดับ
[1] และแซ่เย่ (夜 – รัตติกาล) ของเย่เฉินออกเสียงเหมือนเย่ (叶 – ใบไม้)
………………..