บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1741 สมบัติหายากเหนือใดเปรียบ
บทที่ 1741 สมบัติหายากเหนือใดเปรียบ
………………..
บทที่ 1741 สมบัติหายากเหนือใดเปรียบ
ชั่วขณะนั้น เฉินซีรู้สึกว่าผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้โผงผางไปหน่อย
พวกเขาพบหน้ากันเพียงหนที่สอง แต่ผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้กลับเชิญเขามาช่วยประเมินสมบัติของตน หากพบผู้มีเจตนาร้ายเข้า คงใช้กำลังริบสมบัติเหล่านี้มาแน่แท้
สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเลี่ยอวิ๋นฉงขาดประสบการณ์ คงไม่ได้เผชิญอันตรายมาดร้ายมากนักเลยสักครั้ง จึงดูเลินเล่อไร้ความระแวง
แต่เฉินซีก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้เหมาะจะพูดเรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ดูเหมือนเป็นผู้พยายามสั่งสอนให้คนอื่นไม่สบายใจเปล่า ๆ
“สหายเต๋าทั้งสองเชิญพินิจเถิด สมบัติชิ้นแรกมีชื่อว่าระฆังสัตตทัณฑ์ เป็นสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ขั้นสูงระดับเก้า ลือกันว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยผู้เลิศล้ำในอดีตของเผ่าภาพอักขระ ลึกล้ำเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่ามันมีอำนาจพิฆาตเจ็ดอารมณ์ของคนได้” เลี่ยอวิ๋นฉงกล่าวพลางชี้ระฆังสำริดในกล่องหยกใบแรกด้วยสีหน้าตื่นเต้น “แม้มันจะแลกมาด้วยผลึกศักดิ์สิทธิ์เกือบสองแสนชิ้น ข้าก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าเกินราคาเสมอ ทั้งสองท่านคิดเช่นไร?”
ว่าแล้วผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ ก็จับจ้องมาที่เฉินซีและเหล่าไป๋เช่นกัน
เฉินซีหันไปจ้องเหล่าไป๋ทันที แม้จะเห็นได้ว่าระฆังสำริดใบนี้ลึกล้ำ แต่เขาก็ยังต้องใช้เวลาพินิจมัน ดังนั้นสู้ส่งให้วิหคเฒ่านี่ประเมินเสียดีกว่า ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน
ไม่มีความเกรงใจ กล่าวออกมาตรง ๆ ว่าระฆังสัตตทัณฑ์ไม่สมราคา!
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเลี่ยอวิ๋นฉงและคณะแข็งค้าง
“สหายเต๋า ล้อกันเล่นอยู่หรือ? ก่อนหน้านี้พวกเราต่างพินิจมัน ทดสอบอำนาจมันด้วยตนเองกันมาแล้ว มันไม่ธรรมดาจริง ๆ นะ” เลี่ยอวิ๋นฉงฝืนยิ้ม
ผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เฮอะ! ในเมื่อพวกเจ้าแน่ใจนัก ไยจึงมาให้ข้า บรรพชนผู้นี้ประเมินให้พวกเจ้าด้วยเล่า?” เหล่าไป๋กลอกตา “ข้าพูดตรง ๆ เลยนะ สมบัตินี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ และเป็นสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ขั้นสูงระดับเก้าเหมือนกัน ทว่าอำนาจของมันถูกจำกัด ไม่ได้ร้ายกาจเช่นที่พวกเจ้าคิด”
“เหตุใดกัน?” เลี่ยอวิ๋นฉงอดถามออกมาไม่ได้ เขาดูไม่อยากยอมรับเล็กน้อย
“เจ้าบื้อ! ข้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?” เหล่าไป๋บ่นอุบเสียงเย็น “ระฆังสัตตทัณฑ์เป็นสมบัติอันถูกส่งต่อกันมาในหมู่บรรพบุรุษของเผ่าภาพอักขระ สร้างขึ้นโดยใช้วัตถุดิบหลักเจ็ดชนิดอย่างเหล็กลำนำหงสา ไผ่วิญญาณกำสรวล หยกสุคนธ์สวรรค์ แกนหยกน้ำแข็ง ขนวิหคควบโลหิต…. นอกจากนั้นยังต้องใช้อำนาจเจ็ดอารมณ์หลอมรวมลงไประหว่างกระบวนการสร้าง”
“ทว่าแม้ระฆังสัตตทัณฑ์ใบนี้ของเจ้าจะสร้างขึ้นจากวัตถุดิบเดียวกัน แต่มันขาดอำนาจเจ็ดอารมณ์ไป ก็เหมือนมนุษย์ไร้วิญญาณ พืชไร้พลังชีวิต แล้วมันจะแข็งแกร่งได้แค่ไหน?”
“หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองทดสอบอำนาจทำร้ายเจ็ดอารมณ์ของสมบัตินี้เองได้เลย มันคือขยะไว้หลอกคนแท้ ๆ อย่าว่าแต่สองแสนผลึกศักดิ์สิทธิ์เลย แสนเดียว บรรพชนผู้นี้ก็ไม่ซื้อ”
ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของเลี่ยอวิ๋นฉงและคณะก็ซีดขาวกันเล็กน้อย รู้สึกหม่นหมองเพราะเชื่อการตัดสินของเหล่าไป๋
“ไอ้แก่นั่นเลวจริง ๆ! เขาเอาของไม่สมบูรณ์มาหลอกขายเรา!” เลี่ยอวิ๋นฉงข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน ใจหนึ่งก็รวดร้าวเพราะผลึกศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแสนที่เสียไป แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความรู้สึกอับอายที่ถูกหลอก
“เราควรไปคิดบัญชีกับเจ้าเฒ่าชั่วนั่นหรือไม่?” หนิวคุน ทายาทเผ่ากระทิงวิญญาณคลั่งเอ่ยด้วยจิตสังหาร
“ช่างมันเถอะ เรื่องถูกหลอกนี่ เราโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเราเอง สมควรถูกหลอกแล้ว” เลี่ยอวิ๋นฉงถอนหายใจ จากกฎในเมืองนาวาวิญญาณ พวกเขาทำได้เพียงยอมรับความอับโชคของตน
“สหายเต๋า แล้วพัดแสงอาคเนย์เบิกหล้าเล่มนี้เล่า? ของจริงหรือไม่? นี่เป็นสมบัติที่เราคิดหนักมากก่อนจะซื้อมา ยามนั้นมีสหายเต๋ามากมายแย่งซื้อกับเรา จนสุดท้ายเราก็ซื้อมาได้ในราคาหนึ่งแสนแปดหมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์” กู่เหมยหลิน สตรีจากเผ่าบุปผาเริงระบำถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลมีเสน่ห์
“เจ้าพวกซื่อบื้อ!” เหล่าไป๋ไม่คิดเหลือบแลมันสักนิด “พวกเจ้านี่เด็กกันเกินไปจริง ๆ ถูกหน้าม้าที่พ่อค้านั่นจ้างมาตุ๋นเสียเปื่อย นี่ไม่ใช่พัดแสงอาคเนย์เบิกหล้า แต่เป็นพัดเงาอาคเนย์เบิกหล้าชัด ๆ!”
เฉินซีรำพึงในใจ ขณะที่ทอดสายตาชำเลือง เป็นไปตามที่คิด สีหน้าของเลี่ยอวิ๋นฉงและผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ ต่างซีดขาวไม่น่ามองอย่างยิ่ง
ชื่อทั้งสองต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความแตกต่างในอำนาจของสมบัติทั้งสองห่างไกลดุจฟ้ากับดิน หากพัดแสงอาคเนย์เบิกหล้ากล่าวได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เช่นนั้นพัดเงาอาคเนย์เบิกหล้าก็คือขยะชิ้นหนึ่ง!
บรรยากาศหดหู่ลงเล็กน้อย
แต่เหล่าไป๋ก็ยังทาเกลือซ้ำแผล แค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบ “คนค้าขายสมัยนี้ชั่วร้ายจริง ๆ แต่พวกเจ้าที่ถูกหลอกด้วยอุบายตื้น ๆ พวกนั้นก็มิได้โง่ไปหน่อยหรือ?”
เมื่อเฉินซีสังเกตเห็นว่าสีหน้าของพวกเขายิ่งย่ำแย่ เขาก็อดถลึงตาเตือนเหล่าไป๋ให้รู้จักหุบปากไม่ได้
“เฮ้อ ตัวข้า บรรพชนผู้นี้แค่พูดตรง ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขาถูกหลอกอีกในภายหน้านะ ดังคำกล่าวว่าผิดเป็นครู พวกเขาจะตระหนักถึงความผิดกันเอง” เหล่าไป๋มีท่าทีฮึดฮัดกับความผิดพลาดของอีกฝ่าย ทอดถอนใจไม่หยุดปาก
เลี่ยอวิ๋นฉงอายจะตายรอมร่อ เขารีบร้อนสูดหายใจลึก ๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อ “เช่นนั้น… สหายเต๋าโปรดพินิจสมบัติชิ้นที่สามนี้เถิด”
“ยังมีอะไรต้องมองอีกหรือ? ด้วยฝีมืออย่างพวกเจ้า คงถูกหลอกอีก….” พูดไม่ทันจบ ม่านตาของเหล่าไป๋พลันหดตัว แล้วอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ
มันกระพือปีกบินมาที่โต๊ะ ก้มหัวลงพินิจชิ้นทองแดงสีเทาเข้มในกล่องหยกใบที่สามอย่างตั้งใจ ขณะที่ดวงตาเรืองโรจน์แวววาว
เห็นเช่นนี้ ผู้บ่มเพาะอสูรทั้งหลายก็ใจชื้นขึ้นทันที
เฉินซีอดพินิจมันอย่างใคร่รู้มิได้เช่นกัน ชิ้นทองแดงสีเทาเข้มนี้มีขนาดราวฝ่ามือ พื้นผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอ เปรอะรอยสนิมเขียวเข้ม รูปลักษณ์ของมันสุดแสนธรรมดา เหมือนเศษโลหะเปื้อนสนิมก้อนหนึ่ง
ทว่าเมื่อพินิจมันดี ๆ ก็จะสังเกตได้ว่ามันเคลือบด้วยปราณรุนแรงอันคลุมเครือ ยิ่งกว่านั้นปราณนี้ยังให้ความรู้สึกแรงกล้า ดุจเห็นสมุทรกว้าง อัสนีคลั่งฟาดฟัน
“นั่นอะไร?” เฉินซีถามขึ้น
“นี่คือวัตถุเทวะอันก่อเกิดจากในความโกลาหลชิ้นหนึ่ง มีชื่อว่าทองแดงอัสนีมหาสวรรค์ ใช้เพียงเล็กน้อยในการตีอาวุธ แล้วอำนาจของอาวุธนั้นจะพัฒนาสูงส่ง มีอำนาจของอัสนีเรืองสุดไพศาล”
เลี่ยอวิ๋นฉงเอ่ยปาก “นี่เป็นสิ่งที่เราซื้อมาในราคาเก้าหมื่นผลึกศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นของจริงก็คุ้มราคา”
ขณะนี้ วาทะของเขาดูสุดระมัดระวัง ไม่กล้าคาดหวังสูงส่งมากมาย ขอเพียงให้สมบัตินี้เป็นของจริง ก็เพียงพอแล้ว
“ไม่ใช่” จู่ ๆ เหล่าไป๋ก็พูดขึ้นหลังเงียบไปนาน เป็นเพียงคำเดียว แต่กลับทำให้เลี่ยอวิ๋นฉงและคณะขวัญผวา สีหน้าเผยเค้าหมองลงไปอีกครั้ง
หากสมบัติทั้งสามชิ้นล้วนเป็นของด้อยราคา เช่นนั้น อย่าว่าแต่ผลึกศักดิ์สิทธิ์มหาศาลที่พวกเขาจ่ายเสียเปล่าเลย แค่หน้าตาที่พังทลายก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าเผยหน้าต่อสาธารณะแล้ว เพราะหากข่าวถูกแพร่ออกไป พวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกของมวลชนแน่นอน!
“นี่ไม่ใช่ทองแดงอัสนีมหาสวรรค์” เหล่าไป๋ดูเหมือนจะมองทะลุทุกสิ่งแล้ว กล่าวขึ้นอย่างเฉียบขาดมั่นใจ
เพียงประโยคสั้น ๆ นี้ลำพัง เลี่ยอวิ๋นฉงและคณะก็ประหนึ่งต้องอัสนีฟาด ใบหน้าซีดขาว ผลลัพธ์เช่นนี้… ทำร้ายจิตใจกันเกินไป
“แต่สมบัตินี้มีค่าสูงกว่าทองแดงอัสนีมหาสวรรค์มากนัก ล้ำค่ากว่าอย่างไม่อาจคาดคิดเลยล่ะ พวกเจ้าไอ้หนูทั้งหลาย ในที่สุดก็ไปพบสมบัติเกินธรรมดาสักชิ้น” สิ่งที่เหล่าไป๋กล่าวต่อมาทำให้คณะของเลี่ยอวิ๋นฉงตะลึงนิ่ง กระทั่งสงสัยว่าเหล่าไป๋หยอกพวกเขาเล่นหรือไม่
“นี่… จริงหรือ?” เลี่ยอวิ๋นฉงถามเสียงสั่น
ผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ ก็มองเหล่าไป๋ด้วยสายตาเลื่อนลอยเช่นกัน
เฉินซีก็ไม่แตกต่าง ว่ากันตามตรง เขาสังเกตไม่เห็นความพิเศษใด ๆ จากมันเลยสักนิด
“ย่อมจริงอยู่แล้ว ข้า บรรพชนผู้นี้ไปหยอกเล่นกับพวกเจ้าเพื่ออะไร?” เหล่าไป๋พูดอย่างไม่ชอบใจ
“เช่นนั้น…. มันคือสมบัติอะไรกันแน่?” เลี่ยอวิ๋นฉงฝืนระงับความตื่นเต้นในใจขณะถามออกมา
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด มันก็คือทองแดงเพลิงอัสนีโกลาหลไม่ผิดแน่” เหล่าไป๋ยกกรงเล็บขึ้นหยิบชิ้นทองแดงสีเทาเข้มขึ้นมา แล้วออกแรงบีบขยี้
เปรี๊ยะ! แกร๊ก!
ชั้นสนิมที่เปลือกนอกถูกขยี้แหลกดุจเปลือกไข่
เพียงพริบตา เปลวเพลิงเจิดจรัสสุดขั้วก็พวยพุ่งออกมาพร้อมเสียงอัสนีกัมปนาท สะท้านเทิ้มทั่วทั้งห้อง เผยบรรยากาศทรงพลังถึงขีดสุด
เฮือก!
กระทั่งเฉินซียังอดหรี่ตาลงไม่ได้ ยามนี้เองที่เขาทราบกระจ่างว่ารูปลักษณ์ของก้อนทองแดงเปลี่ยนไปอย่างมหันต์ มันเรืองประกายเจิดจรัส แต่กลับให้บรรยากาศเก่าแก่ดุจความโกลาหลยามแรกบังเกิดพิภพ นอกจากนั้น ประกายเพลิงอัสนีซึ่งพร่างพรมบนพื้นผิวของมันยังให้บรรยากาศรุนแรงเจิดจรัส
เพียงหนึ่งชำเลือง เฉินซีก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ดวงตา
สมบัตินี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ!
เฉินซีตัดสินได้ทันทีว่านี่คือรูปลักษณ์แท้จริงของสมบัติชิ้นนี้ และจากปราณของมัน ก็กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติตะลึงหล้า
“ทองแดงเพลิงอัสนีโกลาหล! ข้าจำได้แล้ว! สมบัตินี้เกิดจากในความโกลาหล มีแก่นแท้มหาเต๋าของอัสนีและอัคคี เป็นสมบัติหายากไร้ใดเปรียบซึ่งสูงค่ายิ่งกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติ!” ชายชราร่างเล็กจากเผ่าคนแคระศึกปฐพี หวงหมานหลุดอุทานออกมาอย่างตกใจ
เลี่ยอวิ๋นฉงและคณะก็ตื่นเต้นสุดขีดเช่นกัน พวกเขาจ้องนิ่งที่ชิ้นทองแดง สั่นเทิ้มไปทั้งกาย
ในที่สุดเราก็พบสมบัติ!
“รีบเก็บมันไปเสีย! ปราณของสมบัตินี้เจิดจรัสเกินไป หากปล่อยไว้ในที่แจ้งนานเกินไป มันจะดึงความสนใจผู้อื่นมาแน่นอน” เหล่าไป๋เหลือบมองอย่างริษยาเล็กน้อย ทอดถอนใจในอกว่ากลุ่มคนหนุ่มสาวไร้ประสบการณ์ มาพบสมบัติล้ำค่าสูงสุดเช่นนี้ เป็นโชคที่น่าอิจฉาจริงแท้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เลี่ยอวิ๋นฉงก็เหมือนถูกสาดน้ำปลุกจากฝัน เขาคว้ากล่องหยกปิดฉับ แล้วใช้ข้อจำกัดผนึกมันอย่างระมัดระวัง ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก เผยสีหน้าพออกพอใจ
ผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกัน โทสะและความหดหู่สั่งสมมาในใจถูกชะไปสิ้น แทนที่ด้วยความปรีดาสุดแสน
กระทั่งเฉินซียังพลอยยินดียิ่ง มูลค่าของวัตถุเทวะนี้สูงเสียจนเกินสมบัติวิญญาณธรรมชาติเทียบชั้น เขาไม่คาดเลยโดยแท้จริง
“ขอบคุณสหายเต๋าทรงปัญญาทั้งคู่จริง ๆ ที่เรามีโอกาสได้พบสมบัตินี้ นี่คือหนึ่งแสนผลึกศักดิ์สิทธิ์ โปรดรับไว้เถิด” เลี่ยอวิ๋นฉงพลันสูดหายใจลึก ๆ แล้วนำกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งออกมาเลื่อนให้เฉินซี
“ไม่เป็นไรหรอก โปรดเก็บมันไว้เถิด” เฉินซีปฏิเสธยิ้ม ๆ
“ถูกต้อง เราไม่ต้องการผลึกศักดิ์สิทธิ์หรอก” เหล่าไป๋ยิ้มมีเลศนัย
เลี่ยอวิ๋นฉงและคณะผงะไป เมื่อเห็นสีหน้ามีเลศนัยของเหล่าไป๋ หัวใจทุกดวงก็เต้นกระตุก สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
บรรยากาศเงียบกริบลงทันที
………………..