บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1742 รากฐานวิญญาณธรรมชาติ
บทที่ 1742 รากฐานวิญญาณธรรมชาติ
………………..
บทที่ 1742 รากฐานวิญญาณธรรมชาติ
ผลึกศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแสนก้อนไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย
ทว่าเฉินซีกลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดีโดยไม่ต้องคิด และนี่ทำให้เลี่ยอวิ๋นฉงและคนอื่น ๆ รู้สึกเหนือความคาดหมายเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นท่าทางของเหล่าไป๋ที่ดูลึกล้ำ มันทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความไม่ยินยอมและรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
สองคนนี้… คงไม่ได้คิดจะแย่งทองแดงเพลิงอัสนีโกลาหลนี้ใช่หรือไม่?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สายตาของอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความระมัดระวัง โลกแห่งการบ่มเพาะเต็มไปด้วยการหลอกลวง เพียงแค่เห็นสมบัติล้ำค่าก็อาจกระตุ้นเจตนาร้ายได้ และเหตุการณ์ฆ่าฟันเพื่อแย่งชิงสมบัติมักเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวัง
คนอย่างเฉินซีย่อมมองความคิดของอีกฝ่ายออกด้วยชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว เขาจึงอดไม่ได้ที่ส่ายศีรษะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องกังวล แม้ทรัพย์สินของข้าจะมีจำกัด แต่ข้าไม่ต้องการผลึกศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแสนก้อนนั้นจริง ๆ”
ทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มก็หยัดกายลุกขึ้น “ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ขอตัวลา”
“ฮ่า ฮ่า! พวกเจ้าทุกคนไร้ประสบการณ์เกินไปจริง ๆ เจ้ากลับเป็นฝ่ายเริ่มสงสัยเราด้วยซ้ำ นั่นมันไม่ควรเลยสักนิด” เหล่าไป๋หัวเราะเยาะเย้ย
เลี่ยอวิ๋นฉงดูละอายใจ และตระหนักว่าเขาได้เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องวิญญูชน
เขารีบเปิดปากเพื่อรั้งเฉินซี “สหายเต๋าเฉินสวิน โปรดรอสักครู่”
เฉินซีกล่าว “มิจำเป็น ระวังผู้อื่นก็ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าทุกคนไม่ได้ทำอะไรผิด”
ในขณะนี้ ผู้บ่มเพาะอสูรทุกคนรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง ทั้งยังสับสนว่าควรทำอย่างไรดี
อันที่จริงพวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก หากเป็นผู้ที่มีประสบการณ์คนอื่น ๆ คนเหล่านั้นจะไม่แสดงท่าทางเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุด ก็จะไม่เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกทางสีหน้าเหมือนกับผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านี้ และทำให้คนอื่นมองความคิดของพวกเขาออกได้อย่างง่ายดาย
“สหายเต๋า ข้าขอร้องเจ้า โปรดรออีกสักครู่” เลี่ยอวิ๋นฉงมีสีหน้ารู้สึกผิด และในขณะที่กล่าว เขาได้สั่งผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ ว่า“ทุกคน โปรดนำสมบัติของเจ้าออกมา เผื่อสหายเต๋าสองคนนี้จะต้องการสิ่งใด ถือเสียว่าเป็นการแสดงเจตนาดีของเรา และไม่อาจปล่อยให้สหายเต๋าทั้งสองนี้ช่วยเหลือโดยที่เราไม่ได้ตอบแทนใด ๆ ได้”
เขาได้พิจารณาแล้วว่า เฉินซีเป็นคนที่ไม่ได้ขาดแคลนผลึกศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีก็เกิดสนใจขึ้นมา จึงยังคงรั้งอยู่ไม่ได้รีบร้อนจากไป
เลี่ยอวิ๋นฉงและคนอื่น ๆ นำสมบัติออกมาทันที ทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่พวกเขาได้รวบรวมมา ซึ่งมีรูปทรงต่าง ๆ และมีสรรพคุณอันลึกล้ำมากมาย
แน่นอนว่าไม่อาจกล่าวได้ว่ามีคุณค่ามาก
“สหายเต๋า เชิญเลือกได้ตามสบาย การกระทำก่อนหน้านี้ของเราไม่เหมาะสมจริง ๆ ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดของเรา” เลี่ยอวิ๋นฉงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉินซีกวาดสายตามองสมบัติเหล่านั้น และเห็นว่าไม่มีวัตถุเทวะที่เขาต้องการ เขาจึงรู้สึกผิดหวังอย่างห้ามไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงคิดจะหยิบสมบัติมาสักชิ้น เพื่อที่เลี่ยอวิ๋นฉงและคนอื่น ๆ จะได้ไม่รู้สึกไม่สบายใจเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ เหล่าไป๋ก็พูดขึ้น มันชี้ไปที่สมบัติที่มีรูปร่างคล้ายใบไม้ ขนาดเท่าฝ่ามือของเด็กทารก และมีเขียวมรกต “นี่คืออะไร?”
“นี่คือใบไม้หยกเมฆาศักดิ์สิทธิ์หากเก็บมันไว้กับตัวในขณะที่บ่มเพาะ มันจะทำให้จิตใจสงบและขับไล่ปีศาจภายในใจได้” กู่เหมยหลินจากเผ่าบุปผาเริงระบำรีบเปิดปากอธิบาย “หากสหายเต๋าชื่นชอบ ก็รับมันไปได้เช่นกัน”
เหล่าไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งนี้ไม่เลวเลย ข้าบรรพชนผู้นี้จะรับมันไว้เอง”
ขณะที่กล่าว เหล่าไป๋ก็หยิบมันขึ้นมาด้วยกรงเล็บ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะมองเหล่าไป๋เมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็ประสานมือคำนับเลี่ยอวิ๋นฉงและผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ “เอาละ ถึงเวลาแล้ว”
กลุ่มของเลี่ยอวิ๋นฉงต้องการขอให้เฉินซีและเหล่าไป๋อยู่ต่อ แต่เฉินซีกลับยิ้มและปฏิเสธอย่างสุภาพ
…
หลังเดินออกจากร้านอาหารและมาถึงถนนที่พลุกพล่าน เฉินซีก็เอ่ยถามในที่สุด “เหล่าไป๋ นั่นเป็นใบไม้หยกเมฆาศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ หรือ?”
เหล่าไป๋ระงับตัวเองมาเป็นเวลานานแล้ว และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างพึงพอใจ “สาวน้อยโง่เขลาคนนั้นจะรู้ที่มาของสมบัตินี้ได้อย่างไร”
ทันทีที่สิ้นคำ มันก็รู้สึกตื่นเต้นจนแผดหัวเราะดังสนั่น ทำให้ผู้บ่มเพาะหลายคนในชี้นิ้วและพูดถึงมัน
เฉินซีรีบเร่งฝีเท้าและขมวดคิ้ว “อะไรที่ทำทำให้เจ้ามีความสุขถึงเพียงนี้?”
เขาจำได้ว่า เหล่าไป๋ไม่ได้มีความสุขมากนัก แม้จะเห็นทองแดงเพลิงอัสนีโกลาหลก็ตาม หรือว่าสมบัติชิ้นนี้จะวิเศษยิ่งกว่า?
เหล่าไป๋หายใจเข้าลึก และมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะลดเสียงลง “ถูกของเจ้า สมบัติชิ้นนี้วิเศษยิ่งกว่าทองแดงเพลิงอัสนีโกลาหลเสียอีก!”
ขณะที่พูด มันก็อธิบายต้นกำเนิดของสมบัตินี้
ปรากฏว่าสมบัติรูปทรงใบไม้นั่น แท้จริงแล้วเรียกว่ารากฐานวิญญาณธรรมชาติ เป็นสมบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากความโกลาหล
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้ยินชื่อนี้ และอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความประหลาดใจ “มันมีสรรพคุณอะไร?”
เหล่าไป๋รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก แต่สีหน้าของมันกลับแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็เผยท่าทางเวทนาออกมา “โถ่ ๆ เฉินซี หรือเจ้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับรากฐานวิญญาณธรรมชาติเลยด้วยซ้ำ? เจ้านี่มันโง่เขลาจริง ๆ!”
มันหยุดครู่หนึ่ง และรีบกล่าวผ่านกระแสปราณ “เจ้าคงจะทราบดีว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่เกิดจากภายในความโกลาหลใช่หรือไม่?”
หัวใจของเฉินซีกระตุกวูบในขณะที่เขาพยักหน้า
เหล่าไป๋พูดด้วยความตื่นเต้น “สมบัติชิ้นนี้หายากยิ่งกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติเสียอีก มันเป็นสมบัติที่สามารถหล่อเลี้ยงสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ให้เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่แท้จริงได้!”
อะไรนะ!? เฉินซีเกือบจะร้องโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว หากนี่เป็นความจริง มันจะไม่เหลือเชื่อเกินไปหรือ? จะมีใครกล้าเชื่อว่าในโลกนี้จะสมบัติที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่บ้าง?
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า สมบัติวิญญาณธรรมชาติทุกชิ้นเกิดมาจากภายในความโกลาหล และทุกครั้งที่มีคนได้มันไป เท่ากับมันจะลดลงไปหนึ่งชิ้น อีกทั้งยังไม่มีทางที่จะขัดเกลาได้ด้วยความสามารถของผู้บ่มเพาะ ดังนั้นพวกมันจึงหายากและล้ำค่ายิ่ง
ดังนั้นรากฐานวิญญาณธรรมชาติที่สามารถหล่อเลี้ยงสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ให้เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติได้ แสดงให้เห็นว่าสมบัตินี้มหัศจรรย์เพียงใด
“ฮิฮิฮิ! เป็นยังไงล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะบรรพชน เจ้าจะประสบกับโอกาสยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?” เหล่าไป๋หัวเราะอย่างพึงพอใจ และมันก็ภูมิใจมาก “ไม่ใช่ว่าเจ้ามีกระบี่ยันต์ศัสตราหรอกหรือ? หากเจ้าใช้รากฐานวิญญาณธรรมชาติหล่อเลี้ยงมัน นับจากนี้ไป…เจ้าจะมีสมบัติวิญญาณธรรมชาติอีกชิ้นหนึ่ง!”
เฉินซีไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เช่นกัน กำไรครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากจนเกินจินตนาการ เขาไม่เคยคิดเลยว่า การพบกับกลุ่มผู้บ่มเพาะอสูรเพียงช่วงสั้น ๆ จะทำให้ได้รับสมบัติที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้
หลังจากผ่านไปนาน เฉินซีก็สงบสติอารมณ์และกล่าวว่า “นี้ไม่ควร กำไรที่เราได้รับนั้นมากเกินไป ข้าต้องชดเชยพวกเขาด้วยบางสิ่ง มิฉะนั้นข้าคงรู้สึกติดค้างไปตลอดชีวิต”
ขณะที่กล่าว เฉินซีก็หันหลังกลับไปตามเส้นทางเดินที่ตนจากมา
“เจ้าคิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ?” เหล่าไป๋มองด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่
“ตั้งแต่ข้าเริ่มบ่มเพาะมาจวบจนบัดนี้ ข้าซื่อสัตย์ต่อใจตัวเองมาโดยตลอด หากข้าปล่อยให้ความรู้สึกผิดค้างคาอยู่ในใจ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะครอบครองรากฐานวิญญาณธรรมชาตินั้น!” ท่าทางของเฉินซีเริ่มสงบลง แววตาทอประกายแน่วแน่ การตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้หัวใจของเขาเปิดกว้างและชัดเจน การบ่มเพาะในพลังดวงใจก็แสดงสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งยึดมั่นต่อความคิดนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ตราบใดที่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจก็เพียงพอแล้ว
“แล้วเจ้าตั้งใจจะชดเชยพวกเขาด้วยอะไร? รากฐานวิญญาณธรรมชาตินี้ยิ่งใหญ่กว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติเสียอีก” เหล่าไป๋ซักถามผ่านกระแสปราณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกแอบฟัง
เสียงฝีเท้าของเฉินซีหยุดลงชั่วขณะ “รากเต๋าของบรรพชนระดับเจ็ดเพียงพอหรือไม่”
เหล่าไป๋ตกตะลึง และทันใดนั้นสีหน้าของมันก็ซับซ้อน ก่อนจะถอนหายใจยาวแรง “
เซวียน… เลือกคนไม่ผิดจริง ๆ”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ดูเหมือนมันจะเศร้าใจเล็กน้อย “โลกนี้มีคนฉลาดอยู่มากมาย ทั้งยังมีคนจำนวนมากที่เชี่ยวชาญการใช้เล่ห์กลหรือประจบประแจงผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ แต่ในท้ายที่สุด ดวงจิตแห่งเต๋าของพวกมันถูกครอบงำด้วยความโลภ ทำให้ไม่สามารถก้าวไปสู่เส้นทางสุดท้ายได้”
“ถูกของเจ้า เมื่อเทียบกับสมบัติภายนอกเหล่านี้ จิตใจที่มั่นคงย่อมสิ่งสำคัญที่สุด วันหนึ่งเมื่อเจ้าก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของมหาเต๋า เจ้าจะพบว่าทุกสิ่งและสมบัติทั้งหมดในโลกนี้เทียบไม่ได้กับอิสรภาพที่แท้จริง!”
“นั่นคือสภาวะของการก้าวข้ามความปรารถนาทางโลก ซึ่งกระทำตามใจโดยยังอยู่ในขอบเขตของตน!”
เฉินซีตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเหล่าไป๋จะกล่าวเช่นนี้ เพราะการตัดสินใจของตน
ชายหนุ่มทวนคำพูดของเหล่าไป๋ในใจเงียบ ๆ และเห็นด้วยอย่างยิ่ง
…
อันที่จริง เฉินซีมีความประทับใจที่ดีต่อเลี่ยอวิ๋นฉงและผู้บ่มเพาะอสูรเหล่านั้น
แม้จะไร้ประสบการณ์ แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกละอายใจ รู้สึกผิดชอบชั่วดี ทั้งยังรู้ว่าควรตอบแทนบุญคุณ ดีกว่าผู้บ่มเพาะที่โหดเหี้ยม เลือดเย็น และมุ่งร้ายเหล่านั้นมาก
“เอ๊ะ สหายเต๋าเฉินสวิน ไยถึงกลับมา?” ด้านนอกร้านอาหาร กลุ่มของเลี่ยอวิ๋นฉงรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเฉินซีและเหล่าไป๋กลับมา
“พวกเจ้ากำลังจะไปแล้วเหรอ?” เฉินซีเหลือบมอง
“ใช่ เราลองคิดดูแล้ว และเรารู้สึกว่าพึงพอใจกับผลกำไรที่ได้รับในครั้งนี้มาก ดังนั้นเราจึงตั้งใจจะกลับก่อนกำหนดน่ะ” เลี่ยอวิ๋นฉงพยักหน้า
“เอากล่องหยกนี้ไป ความปรารถนาดีของข้าอยู่ในนั้น ออกจากเมืองนาวาวิญญาณแล้วค่อยเปิดจะดีที่สุด” เฉินซีส่งกล่องหยกให้ จากนั้นกำชับอย่างจริงจัง “ระหว่างทาง พวกเจ้าต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา ทางที่ดีควรกลับไปยังเผ่าของเจ้าทันที สมบัตินี้มีค่ามากเกินไป เกรงว่ามันจะดึงดูดคนไม่ดีเข้า”
กลุ่มของเลี่ยอวิ๋นฉงตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินซีถึงดีต่อพวกเขาเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เข้าใจ แต่พวกเขาก็ยังคงประทับใจกับมันมาก และตอบรับโดยแทบไม่ยั้งคิด
“ขอบคุณสหายเต๋าเฉินสวิน” เลี่ยอวิ๋นฉงและคนอื่น ๆ ประสานมือคารวะ
“ไปเถิด” เฉินซียิ้มก่อนจะหันหลังจากไป แล้วหายตัวไปในคลื่นมนุษย์อย่างรวดเร็ว
“สหายเต๋าเฉินสวินคนนี้เป็นคนดีจริง ๆ หากได้พบกันอีกครั้ง ข้าจะต้องเชิญเขามาที่เผ่ากิเลนเพลิงให้ได้ ข้าเชื่อว่าบรรพบุรุษของข้า คงจะต้อนรับเขาเป็นอย่างดี” เลี่ยอวิ๋นฉงอถอนหายใจยาวแรง ขณะเฝ้าดูแผ่นหลังของเฉินซีหายลับไป
ผู้บ่มเพาะอสูรคนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
พวกเขาไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่ต่อ จากนั้นจึงจากไปตามทางของตน
ไม่นานนัก พวกเขาก็เหินบินออกจากเมืองนาวาวิญญาณ และมาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ!” ในที่สุด เลี่ยอวิ๋นฉงก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาหยุดอยู่ที่ดวงดาวอันเงียบสงบดวงหนึ่ง ก่อนจะเปิดกล่องหยกที่เฉินซีมอบให้ ทันใดนั้นเขาก็ดูเหมือนถูกฟ้าผ่าทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน
ผู้บ่มเพาะอสูรตนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูด้วยความสงสัย มองเพียงปราดเดียว ร่างกายของพวกเขาก็แข็งทื่อ และเผยสีหน้าเหลือเชื่อไม่ต่างกัน
มันคือรากเต๋าบรรพชนระดับเจ็ด!
ทั้งหมดต่างตะลึงลานอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจสงบอารมณ์ได้เป็นเวลานาน