บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1749 เจ้าของกระบี่คนก่อน
บทที่ 1749 เจ้าของกระบี่คนก่อน
………………..
บทที่ 1749 เจ้าของกระบี่คนก่อน
ความประทับใจที่จักรพรรดิเจิ้นอู่มอบให้กับผู้อื่นนั้นมั่นคงดุจก้อนหินที่ก้นทะเล ไม่ว่าคลื่นใต้น้ำจะซัดสาดเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้ขยับเขยื้อนได้ มันมั่นคงราวขุนเขา และไม่ว่ากระแสลมจะพัดโหมอย่างไร ก็ไม่อาจสั่นคลอนมันได้เลย
นี่เป็นสภาวะจิตใจที่เกิดจากเคี่ยวกรำด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนนับไม่ถ้วน
ทว่าในขณะนี้ ดูเหมือนเขาจะตะลึงลาน สีหน้าของเขาดูยินดีแต่ก็เศร้าโศก อีกทั้งยังแปรเปลี่ยนไปมาไม่รู้จบราวกับถูกเข้าสิง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จ้าวจิ่วคุนรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ พลางสืบเท้าก้าวไปข้างหน้าและมองดู เขาเห็นรากเต๋าบรรพชนถูกวางแน่นิ่งอยู่ในกล่องหยก มันมีสีฟ้าเหมือนมหาสมุทร เปี่ยมล้นด้วยพลังงานของบรรพบุรุษที่ดูคล้ายภาพลวงตา ยิ่งกว่านั้น ประกายแสงก็สาดส่องออกมาจากมัน มันก็ดูศักดิ์สิทธิ์และไม่ธรรมดา
“รากเต๋าบรรพชนระดับแปด!” ทันใดนั้น จ้าวจิ่วคุนตาเบิกโพลง และร้องอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ใช่แล้ว มันคือรากเต๋าบรรพชนขั้นราชันระดับแปด!” จักรพรรดิเจิ้นอู่สูดหายใจเข้าลึก แล้วจึงทอดถอนใจด้วยอารมณ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด “ไม่ว่าจะอย่างไร ดูเหมือนครั้งนี้เราจะเป็นหนี้บุญคุณเขาแล้ว”
ด้วยศักดิ์ฐานะอย่างเขา ย่อมตระหนักได้ชัดเจนว่ารากเต๋าบรรพชนระดับแปดเป็นตัวแทนของสิ่งใด และไม่มีทางที่มันจะแลกเปลี่ยนกับสมบัติวิญญาณธรรมชาติด้วยซ้ำ
“เขา… เขา… เขา….” จ้าวจิ่วคุนตะลึงจนกล่าวไม่ออก เขาคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าจะมีใครในโลกนี้ที่เต็มใจมอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไป
“ตอนนี้เจ้าคงไม่โทษปู่อีกต่อไปแล้วกระมัง?” จักรพรรดิเจิ้นอู่ยิ้มพลางกล่าวหยอกล้อ
จ้าวจิ่วคุนรู้สึกเขินอายทันทีและรีบกล่าวว่า “หลานนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าแต่คนผู้นั้นคือใครกัน? แล้วเขาครอบครองรากเต๋าบรรพชนขั้นราชันระดับแปดได้อย่างไร?”
“จิ่วคุน เจ้าไม่ควรมองสิ่งต่าง ๆ อย่างผิวเผิน สิ่งที่เจ้าควรกังวลก็คือ เนื่องจากชายหนุ่มคนนั้นเต็มใจที่จะมอบรากเต๋าบรรพชนขั้นราชันระดับแปดได้ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ารากเต๋าบรรพชนที่เขาครอบครองอยู่นั้นพิเศษเพียงใด” ดวงตาของจักรพรรดิเจิ้นอู่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ และแวววาวด้วยสติปัญญา ดูเหมือนเขาจะคาดเดาบางอย่างได้
“เขาคงไม่ได้ครอบครองรากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้ากระมัง?” จ้าวจิ่วคุนใจสั่นสะท้าน
จักรพรรดิเจิ้นอู่ยิ้มกริ่มและกล่าวอย่างมีเลศนัย “ลองเดาดูสิว่าเขาเป็นใคร”
จ้าวจิ่วคุนตกตะลึง เขาขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนที่เขาจะตบหน้าตัวเองและร้องออกมาว่า “สหายคนนั้นคือเฉินซี ศิษย์จากเขาเทพพยากรณ์กระมัง?”
จักรพรรดิเจิ้นอู่ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธและกล่าวว่า “อย่าได้แพร่งพรายข่าวนี้ออกไป ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็ติดหนี้บุญคุณเขาสำหรับรากเต๋าบรรพชนระดับแปดที่เจ้าได้รับในครั้งนี้ หากข้าไม่สามารถชดใช้ให้เขาได้ เจ้าก็ต้องชดใช้คืน อย่าได้ลืมบุญคุณนี้เป็นอันขาด”
ในตอนท้าย น้ำเสียงของจักรพรรดิเจิ้นอู่ฟังดูจริงจังยิ่ง
…
ขณะนี้ เฉินซีได้เดินออกจากห้องที่เงียบสงบแล้ว และกำลังมุ่งหน้าออกจากโถงแลกเปลี่ยน ในขณะที่เฉียงอันติดตามอยู่ข้าง ๆ
เฉินซีพอใจมากที่ได้รับหญ้าปีกมายาแปรลักษณ์และกระบี่เปลื้องมลทินที่มีพลังที่น่าตกใจ
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะแม้ว่าภารกิจของเขาจะทำให้เกิดความปั่นป่วนในโลกอย่างมาก แต่มีเพียงจักรพรรดิเจิ้นอู่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ยอมรับภารกิจนี้จริง ๆ
แต่เฉินซีไม่ได้รีบร้อน ผ่านไปเพียงสามวันจนถึงตอนนี้ และเขามีโอกาสมากมายในอนาคต ที่สำคัญคือชายหนุ่มได้สั่งเฉียนอันให้แจ้งเขาทราบทันที หากมีคนยอมรับภารกิจ
“คุณชาย หรือท่านจะมอบรากเต๋าบรรพชนขั้นราชวงศ์ระดับเจ็ดให้เขาจริง ๆ?” เฉียนอันยังคงนิ่งเงียบตลอดทาง และดูเหมือนลังเลที่จะเอ่ยถาม แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่อาจระงับตัวเองได้อีกต่อไป จึงเอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้
แน่นอนว่าเขาเอ่ยถามผ่านกระแสปราณ
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรกังวล” เฉินซียิ้มพลางกล่าวเตือน
เฉียนอันรู้สึกเขินอายทันที พลันรีบโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “คุณชายน้อย อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่มีเจตนาอื่นใดแม้แต่น้อย”
“คุณชาย โปรดรอสักครู่” ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรบางอย่างได้ในทันใด ดังนั้นจึงตะโกนเรียกเฉินซี จากนั้นจึงยื่นแผ่นหยกไปและกล่าวว่า “คุณชาย นี่คือข้อมูลเกี่ยวกับกองโจรดาราปักษารัตติกาลที่ท่านขอให้ข้ารวบรวม โปรดรับมันด้วย”
เฉินซีตกตะลึง ถ้าเฉียนอันไม่เตือน เขาก็คงเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
“ขอบคุณ” เฉินซีประสานมือคารวะ ก่อนที่จะหันหลังกลับและจากไป ทำให้ตัวคนกลืนหายไปกับคลื่นมนุษย์ที่ไร้ขอบเขตอย่างรวดเร็ว
เฉียนอันมองดูเฉินซีจากไป แล้วจึงทอดถอนใจด้วยอารมณ์หลังจากผ่านไปพักใหญ่ “ภูมิหลังของนายน้อยคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…”
ยิ่งคลุกคลีกับเฉินซีมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเฉินซีนั้นลึกลับและไม่อาจหยั่งถึงได้ มันทำให้เขารู้สึกถึงความเคารพที่กลั่นออกมาจากใจ
“เฉียนอัน” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงสูงวัยก็ดังขึ้น และทำให้เฉียนอันตื่นจากการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“หัวหน้าโถงเผิง?” เฉียนอันรีบหันกลับไป และเห็นชายชราสวมชุดเทายืนอยู่นอกห้องโถงขณะที่มองมาทางเขา
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ในอนาคต… เจ้าจงรับผิดชอบกิจการในลานแสวงรางวัล” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า สายตาของเต็มไปการชื่นชม
เฉียนอันสั่นสะท้านไปทั้งตัว และรู้สึกไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สามารถระงับความตื่นเต้นในใจได้ในที่สุด แล้วจึงกล่าวว่า “ขอบคุณหัวหน้าโถงเผิง สำหรับความกรุณา”
“จงทุ่มเททำหน้าที่ของเจ้าซะ! และที่สำคัญที่สุด นับจากนี้…จงรับใช้คุณชายคนนั้นให้ดี” หัวหน้าโถงเผิงตบไหล่เขา ก่อนจะหันหลังกลับและจากไป
ในขณะนี้ จักรพรรดิเจิ้นอู่ จ้าวจิ่วคุน และคนอื่น ๆ ก็เดินออกมา หัวหน้าห้องโถงเผิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายพวกเขา และไม่นานเขาก็นำกลุ่มของจักรพรรดิเจิ้นอู่ไปยังห้องรับรองพิเศษที่จัดเตรียมเป็นพิเศษ
เฉียนอันได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เขาทั้งรู้สึกตื่นเต้นและยินดีในใจจนอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “คุณชายคนนั้นเป็นเหมือนพรสำหรับข้าจริง ๆ เพียงแค่ไม่กี่วัน เขาทำให้ชะตาของข้าเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ในอนาคต ข้าจะต้องทุ่มเททำงานให้เต็มที่ และจะต้องสร้างความสัมพันธ์กับนายน้อยคนนั้นให้ได้ เขาจะนำโชคลาภมาให้ข้าอย่างแน่นอน!”
……
หลังจากกลับไปยังบ้านซึ่งเช่าไว้ อันดับแรก เฉินซีรีบเก็บซ่อนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้รับมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเริ่มพินิจแผ่นหยกที่อยู่ในมือ
กองโจรดาราปักษารัตติกาลคือกลุ่มโจรที่น่าเกรงขามที่ออกอาละวาดไปทั่วทั้งสิบสามเอกภพ รวมถึงเอกภพสมุทรทักษิณา เอกภพสระเมฆา เอกภพนพตันตริ…. พวกมันเลี้ยงชีพโดยการปล้นชิงผู้บ่มเพาะที่สัญจรไปมา พฤติการณ์ของพวกมันโหดเหี้ยมและก่อกรรมทำชั่วทุกรูปแบบ ซึ่งได้ว่าเป็นวายร้ายที่นำเภทภัยมาสู่ผู้คน
หัวหน้าของกองโจรดาราปักษารัตติกาลมีชื่อว่า ‘อีแร้งเนตรมาร’ ต้นกำเนิดของมันนั้นลึกลับ การบ่มเพาะของมันอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล พฤติกรรมของมันมั่นคงและมีประสบการณ์โชกโชน อีกทั้งยังเจ้าแผนการและคำนวณอย่างถี่ถ้วน
รองหัวหน้าคือ ‘นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย’ ผู้สืบเชื้อสายของเผ่าผสานวิญญาณ เมื่อเจ็ดพันสามร้อยปีก่อน มันถูกขับไล่ออกจากเผ่า เนื่องเพราะมันปล้นชิงทรัพย์สมบัติของคนร่วมเผ่า พฤติกรรมของมันโหดร้ายและไร้ความปรานี อีกทั้งยังครอบครองการบ่มเพาะที่จุดสูงสุดของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
หัวหน้าสามคือ ‘บรรพชนโลหิตเขียว’ ผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่าโลหิตสามปีศาจ….
หัวหน้าสี่คือ ‘ฉางเฮิ่น’ผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่ามังกรเขาม่วง….
หัวหน้าห้าคือ ‘กีฏนงคราญ’ ผู้สืบเชื้อสายมาจากเผ่ากีฏทะลวงเกราะ….
ขณะที่อ่านบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจว่าทำไมกองโจรดาราปักษารัตติกาลจึงหยิ่งผยองมาก ผู้นำทั้งห้าคนนี้ล้วนแต่เป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ด้วยเหตุนี้ มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่จะสามารถทำลายล้างพวกมันได้
แต่เป็นที่น่าเสียดาย กองโจรดาราที่เจ้าเล่ห์เหล่านี้มักเคลื่อนตัวผ่านกาลอวกาศอยู่ตลอดเวลา และพวกมันไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ อีกทั้งยังออกปฏิบัติการอย่างเป็นความลับ ดังนั้นในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าที่ซ่อนของพวกมันอยู่ที่ไหน ซึ่งยากจะที่จะระบุเส้นทางของพวกมัน แม้ว่าจักรพรรดิจะออกโรงด้วยตนเองแล้วก็ตาม
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือ กองโจรดาราปักษารัตติกาลเคยมีผู้นำเจ็ดคน แต่หัวหน้าหกและเจ็ดถูกสังหารโดยจักรพรรดิไปเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นจึงเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น
แผ่นหยกยังมีข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมที่กองโจรดาราปักษารัตติกาลก่อขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายการอยู่หนาแน่นซึ่งมากกว่าพันรายการ อาจกล่าวได้ว่า พวกมันได้ก่อกรรมทำเข็ญมากมายจนเกินกว่าที่จะระบุได้
“บรรพชนโลหิตเขียวที่ข้าพบเมื่อวันก่อน อาจจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไป แต่มันก็ดีเช่นกัน หากพวกมันกล้ามาหาเรื่องข้า ข้าจะกำจัดเนื้อร้ายนี้ออกไปจากโลกซะ และถือว่าการผดุงคุณธรรมแทนฟ้า” เฉินซีเก็บแผ่นหยกออกไป ขณะที่ร่องรอยของเจตนาฆ่ากระจายไปทั่วหว่างคิ้ว เขาเกลียดไอ้สารเลวที่ก่อกรรมทำเข็ญเช่นนี้เข้ากระดูกดำ และถ้าเขาเจอไอ้สารเลวแบบนั้น เขาจะไม่แสดงความเมตตาใด ๆ
ท่าทีของเหล่าไป๋ในโถงแลกเปลี่ยนในวันนี้ ทำให้เฉินซีพึงพอใจมาก ตั้งแต่ต้นจนจบ เหล่าไป๋ไม่ได้กล่าวอะไรเลยแม้แต่คำเดียว และนี่ก็ผิดปกติเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ เมื่อเหล่าไป๋กล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน นอกจากทำให้เฉินซีรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยแล้ว เฉินซียังถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างไม่มีเหตุผล เขารู้สึกว่านี่คือเหล่าไป๋ตัวจริง และหากเหล่าไป๋นิ่งเงียบอยู่ตลอดเวลา เฉินซีคงจะรู้สึกค่อนข้างอึดอัดแทน….
“กระบี่เล่มนี้มีอันใดผิดปกติหรือ?” เฉินซีดึงกล่องกระบี่ทองสัมฤทธิ์โบราณออกมา จากนั้นจึงเปิดมันพร้อมกับถามคำถามนี้
เหล่าไป๋ยังคงเงียบ และจ้องมองไปที่กระบี่โบราณที่วางอยู่แน่นิ่งภายในกล่องกระบี่ โดยที่พินิจมันอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่นาน มันก็หัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “กระบี่เปลื้องมลทิน? ช่างเป็นกระบี่ที่วิเศษอะไรขนาดนี้! มันหลอมสร้างมาจากสมบัติวิญญาณธรรมชาติจริง ๆ หากข้าเดาไม่ผิด การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้าของกระบี่เล่มนี้ อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับการหล่อหลอมสัจหฤทัยสูตรครั้งที่แปดที่เจ้ากำลังบ่มเพาะ”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เหล่าไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์ “อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เจ้าของกระบี่นี้ยังขาดอยู่เล็กน้อย และไม่สามารถค้นหามหาวิถีกระบี่ต่อไปได้ นับว่าคนผู้นั้นยังด้อยกว่าเซวียนนัก”
“เจ้าทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร” หัวใจของเฉินซีสั่นไหว และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เหล่าไป๋สามารถมองเห็นได้มากมายจากกระบี่เพียงเล่มเดียว
“นี่เป็นความสามารถโดยกำเนิดที่ท่านปู่ของเจ้าเกิดมาพร้อมกับมัน คนอื่นไม่สามารถเรียนรู้ได้ แม้ว่าพวกเขาต้องการก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะเรียนรู้มัน เพราะมันเป็นไปไม่ได้” เหล่าไป๋กล่าวอย่างพึงพอใจอีกครั้ง และมองไปที่เฉินซีด้วยท่าทีภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกเสียเวลากับเจ้าวิหคเฒ่าตัวนี้อย่างอดไม่ได้ เขาโบกมือเพื่อขับไล่เหล่าไป๋ออกไป แล้วพินิจกระบี่อีกครั้ง จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ววางมันลง ก่อนจะนั่งสมาธิกับพื้น
ปัจจุบันเฉินซีได้บรรลุขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว และไม่มีทางที่การบ่มเพาะของเขาจะพัฒนาขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการขัดเกลาดวงจิตแห่งเต๋าแทน
ตราบใดที่การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเขาดีขึ้น มันก็เพียงพอที่จะทำให้การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง และอาจช่วยพัฒนาพลังฝีมืออีกด้วย
ณ ปัจจุบัน การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีได้บรรลุถึงความสมบูรณ์แบบในการหล่อหลอมสัจหฤทัยสูตรครั้งที่หนึ่ง ทารกดวงใจที่เขาควบแน่นนั้นเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในหัวใจ ทั้งร่างกายของมันเป็นผลึกและโปร่งแสง ซึ่งดูศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
เดิมทีเฉินซีตั้งใจที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขัดเกลาการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเขา และมุ่งมั่นที่จะบุกทะลวงเข้าสู่การหล่อหลอมครั้งที่สองโดยเร็วที่สุด
ในเวลานั้น การบ่มเพาะของเขาจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งอย่างแน่นอน!
………………..