บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1753 ง้าววิหคเพลิงเหินหาว
บทที่ 1753 ง้าววิหคเพลิงเหินหาว
บรรยากาศที่นี่พิกลนัก ทุกผู้ล้วนเหม่อลอยจากความตกใจ
อันที่จริง พวกเขาหาทราบไม่ว่าจักรพรรดิฉางเล่อและชายวัยกลางคนร่างกำยำข้างกายเคยไปยังอารามไท่ชูเพื่อเข้าพบ ขอคำชี้แนะจากนายท่านแห่งอาราม
แต่ภายหลัง พวกเขาไม่อาจพบนายท่านแห่งอาราม แต่ได้พบเหล่าไป๋แทน หลังจากได้รับคำชี้แนะจากเหล่าไป๋ ทำให้สามารถปลดปัญหาที่เผชิญในการบ่มเพาะลงได้ พวกเขาจึงย่อมรู้สึกขอบคุณ และถือมันเป็นผู้อาวุโสมากภูมิ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นว่าบุตรตนไปล่วงเกินเหล่าไป๋ พูดจาดูหมิ่น จักรพรรดิฉางเล่อจะไม่มีโทสะได้อย่างไร?
หนึ่งผู้อาวุโสที่กระทั่งจักรพรรดิอย่างเขายังปฏิบัติด้วยอย่างนอบน้อมยำเกรง ถูกบุตรตัวเองหยามหมิ่นเช่นนี้ มันไม่ต่างจากตบหน้าเขาเลยสักนิด
แต่น่าเสียดายที่จนบัดนี้ พวกเหวินซินอวี่ก็ยังไม่ตระหนักรู้ หัวใจของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความตกตะลึงและหวาดผวา
เมื่อสังเกตเห็นว่าเหล่าไป๋ยังไม่คลายโทสะและคิดพูดต่อ เฉินซีก็รีบร้อนหยุดเหล่าไป๋ไว้ “พอแล้ว เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหานะ”
เหล่าไป๋แค่นเสียงหึ “หากข้าทำตัวอย่างในอดีต คงสับไอ้หนูงี่เง่านั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว เจ้านั่นก็ด้วย! เขาคิดจะฆ่าบรรพชนผู้นี้ไปดองสุรา! อภัยไม่ได้!” เหล่าไป๋ว่าพลางชี้ไปยังชายผู้หนึ่ง
สายตาคมปลาบดุจอัสนีของจักรพรรดิฉางเล่อหันมองตามไปทันที
ชายผู้นั้นเสียขวัญจนสั่นเทิ้มทั้งร่าง ไม่ต้องให้ผู้ใดบอก เขาก็คุกเข่าลงดังตุบ โขกหัวตัวเองซ้ำ ๆ
“ใจเสาะ!” เหล่าไป๋พูดไม่ออกทันทีที่เห็นเช่นนี้ และหมดความสนใจทันที
“พอแล้ว พวกเจ้าไปจากที่นี่เสีย” จักรพรรดิฉางเล่อทราบแล้ว่าโทสะของเหล่าไป๋จางลงยามเห็นเหตุนี้ เขาจึงโบกมือไล่พวกเหวินซินอวี่ไปเสีย ตามคำกล่าวว่าพ้นสายตา เท่ากับพ้นจากใจ
“เจ้าตรงนั้นน่ะ! หยุดตรงนั้นเลย!” เหล่าไป๋พลันถลึงตาแผดเสียงเมื่อสังเกตเห็นเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูตั้งใจย่องหนี
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยผิดไปแล้วขอรับ ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ โปรดเมตตาอภัยให้ข้าด้วยเถิด….” เจ้าหน้าที่ดูประหนึ่งต้องอัสนีเฉียบพลัน คุกเข่าลงกับพื้นขณะตบหน้าตนเองซ้ำ ๆ ดูชอกช้ำดุจสิ้นบุพการี อ้อนวอนไม่หยุดปาก
เขาหรือจะคาดคิดว่าสัตว์ขนเรียบตัวนี้จะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่จ้าวเอกภพแห่งเอกภพสมุทรทักษิณายังต้องปฏิบัติกับวิหคนี้อย่างนอบน้อม
หากรู้แต่แรก มีหรือจะกระทำการวางก้ามอย่างเมื่อครู่?
เหล่าไป๋ตั้งใจเหยียดหยามล้อเลียนเจ้าหน้าที่ผู้นี้ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลัวถึงเพียงนี้ มันก็พูดไม่ออกขึ้นมาทันใด ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเหลืออด “เมื่อครู่เจ้าอยากให้เราไสหัวไปมิใช่หรือ? ทีนี้ถึงตาเจ้าไสหัวไปได้แล้ว”
“สหายเต๋า” จักรพรรดิฉางเล่อเมินเรื่องทั้งหมดนี้ไปสิ้น เขาประสานกำปั้นให้เฉินซีแล้วกล่าวยิ้ม ๆ “ขออภัยกับเรื่องเมื่อครู่ด้วย หวังว่าจะลืมเลือนไม่ถือสา”
เฉินซีคำนับตอบ “ผู้ไม่รู้ย่อมสมควรอภัย สหายเต๋าไม่ต้องห่วงหรอก”
จักรพรรดิฉางเล่อพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “การประมูลจะเริ่มแล้ว เราทั้งสองขอตัวก่อน”
กล่าวจบ เขาก็ทักทายพูดคุยกับเหล่าไป๋ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันเดินจากไปกับชายวัยกลางคนร่างบึกบึน
“ฮึ! รังแกพวกเด็กน้อยไม่รู้ความช่างน่าเบื่อจริง ๆ บรรพชนผู้นี้กระทั่งคิดฉวยโอกาสขอสินชดเชยจากจักรพรรดิฉางเล่อนั่นอีก….” เหล่าไป๋พึมพำ
“พอใจกับสิ่งที่มีเถิด” เฉินซีเหลือบมองมันอย่างขบขันยิ่ง
ระหว่างนั้น เฉียนอันเหมือนฟื้นจากความฝัน ทว่าสายตาที่มองเฉินซีและเหล่าไป๋เปลี่ยนไปแล้ว มันมีทั้งความตกใจ สงสัย และความเทิดทูนจากใจอันเปี่ยมล้น
เขาตระหนักชัดนานแล้วว่าหนึ่งคนหนึ่งวิหคนี้ไม่ธรรมดาเพียงไร แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะทำให้จ้าวเอกภพของเอกภพสมุทรทักษิณาปฏิบัติอย่างนอบน้อมเพียงนี้ได้ มันเกินจินตนาการไปโดยสิ้นเชิง
เหตุเอะอะที่นี่ถูกห้องประมูลสมุทรทักษิณาสังเกตพบ และผู้จัดการระดับสูงผู้หนึ่งก็รีบเร่งมาขออภัยเฉินซีและเหล่าไป๋ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยตนเอง กว่าจะโล่งใจยอมจากก็หลังเห็นว่าพวกเขาจะไม่ติดใจเอาความ
ก่อนแยกตัวไป เขากระทั่งสั่งเจ้าหน้าที่สาวงามสองนางมารับใช้เฉินซีกับเหล่าไป๋เป็นการส่วนตัว นี่ไม่ใช่การปฏิบัติดูแลที่คนทั่วไปจะได้รับ
เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการระดับสูงคนนี้ต้องได้คำสั่งบางอย่างจากจักรพรรดิฉางเล่อ และตระหนักชัดว่าต้องรับรองเฉินซีและเหล่าไป๋ให้ดีที่สุด
บรรยากาศในห้องรับรองพิเศษนั้นไม่ธรรมดาเลย ทุกสิ่งที่ตกแต่งภายในถูกคัดสรรอย่างบรรจง เรืองรองด้วยรัศมีเจิดจรัส
ในกำแพงฝั่งห้องประมูลมีการติดตั้งบานกระจก ทำให้เฉินซีและเหล่าไป๋สามารถมองเห็นทุกสิ่งที่นั่น และประมูลสมบัติในห้องประมูลได้
ทว่าภายนอกไม่สามารถมองเข้ามาเห็นเหตุการณ์ในห้องรับรองพิเศษได้ ถือว่าเป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวอันดียิ่ง
ทันทีที่เฉินซีนั่งลงบนเก้าอี้ การประมูลก็เปิดฉากขึ้น หญิงงามผู้ดูสูงส่งผู้หนึ่งเดินขึ้นบนเวที อธิบายกฎการประมูลอย่างสังเขป ก่อนจะนำสมบัติชิ้นแรกออกมา
มันดึงความสนใจของเฉินซีได้ในฉับพลัน
มันเป็นง้าวสั้นสีแดงสด เรืองรองด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีเพลิง ขณะที่คมง้าวดูประหนึ่งวิหคเพลิงร่างระบำกลางเวหา งามสง่าเจิดจรัส เรืองประกายคมกริบชวนตะลึง
เมื่อเฉินซีพินิจดี ๆ เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าแท้จริง นี่คือสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นหนึ่ง!
ปกติแล้ว สมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งจะถูกนำมาเปิดฉากการประมูล ถือเป็นการ ‘เอาฤกษ์เอาชัย’ และเช่นกัน สมบัติล้ำค่าอีกชิ้นจะปรากฏขึ้นเป็นชิ้นสุดท้ายในการประมูล
เห็นได้ชัดว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นนี้คือสมบัติล้ำค่าอันมีบทบาทเป็น ‘ตัวประเดิมฤกษ์’
“ง้าวสั้นนี้มีนามว่าวิหคเพลิงเหินหาว เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติซึ่งมีแก่นแท้แห่งเพลิงโดยกำเนิด อำนาจยิ่งใหญ่เกินคาดหยั่ง” หญิงงามบนเวทีอธิบายรวบรัด
แตกต่างจากการประมูลทั่วไป ผู้บ่มเพาะที่เข้าร่วมงานประมูลนี้ได้ล้วนเป็นตัวตนยิ่งใหญ่จากต่างตระกูลนิกาย ดังนั้นไม่ต้องแนะนำมาก พวกเขาก็จะทราบกันเองว่าง้าววิหคเพลิงเหินหาวลึกล้ำเพียงไร
“สมบัติวิญญาณธรรมชาติสายต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั่วไป แต่กลับไม่ถูกนำมาเป็นตัวปิดประมูลรอบสุดท้าย น่าตกใจจริง ๆ”
หลายคนอุทานอย่างประหลาดใจ
เฉินซีพินิจมันอย่างระมัดระวังอยู่นาน ก่อนจะไม่สนใจมันอีก สมบัตินี้หายากจริงแท้ แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหมาะสมกับเขา
“การประมูลสมบัตินี้ง่ายมาก ราคาขั้นต่ำคือสามสิบล้านผลึกศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นสหายเต๋าก็สามารถใช้สมบัติแลกเปลี่ยนมันได้ ผู้ให้ราคาสูงสุดคือผู้ชนะ” หญิงงามเอ่ย
เมื่อถึงจุดนี้ บรรยากาศอันคุกรุ่นในกาลก่อนก็สงบลงเล็กน้อย
เพราะราคานี้น่าตกตะลึงพอแล้ว หากพวกเขายังแข่งต่อ กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายยังต้องคิดหนัก
ทว่าท้ายที่สุด ง้าววิหคเพลิงเหินหาวนี้ก็ถูกหนึ่งผู้ยิ่งใหญ่แลกไปโดยใช้แก่นมธุรสเต๋าเลิศสวรรค์อันล้ำค่าหายากยิ่ง
แก่นมธุรสเต๋าเลิศสวรรค์เพียงหนึ่งแลกผลึกศักดิ์สิทธิ์ได้หลายล้าน และการจะพบก็ขึ้นกับวาสนาเท่านั้น เมื่อยามนี้แก่นมธุรสเต๋าเลิศสวรรค์ถึงหนึ่งขวดถูกใช้แลกสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นราคามหาศาลทะลวงฟ้า ทำให้ผู้เข้าประมูลคนอื่น ๆ ไม่กล้าประมูลต่อในทันที
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจ ว่าเหตุใดเฉียนอันจึงบอกเขาว่าการหาสมบัติดี ๆ สักชิ้นในการประมูลนี้โดยอาศัยเพียงผลึกศักดิ์สิทธิ์จึงยากเย็นนัก ดูเหมือนเฉียนอันจะพูดถูก
ผลึกศึกดิ์สิทธิ์เป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งสำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไป ยิ่งมีมากยิ่งดี ทว่าในสายตาตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่นี่ มันเป็นเพียงจำนวนที่ไม่อาจบอกได้ว่าล้ำค่า ดังนั้นการใช้จำนวนของมันมาแลกสมบัติล้ำค่าเกินใดเทียมจึงยากนัก
ไม่นาน สมบัติชิ้นที่สองก็ถูกนำมาจัดแสดงบนเวที
มันเป็นวัตถุเทวะในกล่องหยกใบหนึ่ง รูปร่างเหมือนไส้เดือนขดตัว ขณะที่ด้านข้างมีหนามแหลมดุจกระบี่จำนวนมากงอกเงย ยิ่งกว่านั้น มันยังดูประหนึ่งก่อตัวจากของเหลวสีทองเจิดจรัส เผยปราณคลุมเครืออย่างยิ่ง
ร่างของเฉินซีชะงักทันทีที่เห็นวัตถุเทวะชิ้นนี้ชัด ๆ ปรากฏว่ามันคือหนึ่งในสองวัตถุเทวะที่เขายังไม่มี หนามลายทองคำ!
“สมบัตินี้มีนามว่าหนามลายทองคำ….”
ก่อนที่หญิงงามจะทันอธิบายเสร็จ เสียงหัวเราะร่าก็กึกก้องในห้องประมูล
“ไม่ใช่ว่านี่คือหนึ่งในวัตถุเทวะที่เจ้าของประกาศนั่นตามหาอยู่หรือ?”
“ฮ่า ๆ! มิคาดเลยว่าห้องประมูลสมุทรทักษิณาจะสามารถยิ่ง ไม่ได้เอามันไปแลกรากเต๋าบรรพชน แต่เอามาประมูลที่นี่แทน หรือพวกเขาจะตั้งใจเพิ่มมูลค่ามันโดยการประมูลที่นี่?”
“ข้ารู้ว่ามีผู้เฒ่ามากมายกำลังร้อนใจหาหนามลายทองคำมาช่วยบุตรหลานแลกรากเต๋าบรรพชน ห้องประมูลของพวกเจ้าแผนการเฉียบขาดจริง ๆ จุดประสงค์เบื้องหลังการประมูลสมบัตินี้ไม่บริสุทธิ์นิดหน่อยนะ”
เสียงหารือดังขึ้นทั่วทิศ เห็นได้ชัดว่ากระทั่งผูุ้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่นี่ยังรับรู้เรื่องทุกสิ่งที่เกิดในเมืองนาวาวิญญาณช่วงนี้
ขณะนี้ กระทั่งเฉินซีก็อึ้งไป เขาเม้มปากอย่างจนใจเล็กน้อย จะโทษห้องประมูลหรือก็ไม่ได้ เพราะเป็นความผิดข้าเองที่ประกาศแลกเปลี่ยนเช่นนั้นออกไป…
“ในเมื่อสหายเต๋าทุกท่านรู้จักมันดี เช่นนั้นก็ประเสริฐ ข้าจะไม่เล่ารายละเอียดโดยไม่จำเป็น ราคาขั้นต่ำของสมบัตินี้คือสิบห้าล้านผลึกศึกดิ์สิทธิ์ เช่นเคย สมบัติล้ำค่าอื่นก็แลกมันได้ ผู้ให้ราคาสูงสุดชนะ” หญิงงามแย้มยิ้ม พูดช้า ๆ อย่างดูไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ
“ยี่สิบล้าน”
“สามสิบล้าน!”
……
ปรากฏว่าเหตุที่ตามมานั้นยิ่งดุเดือดกว่าการประมูลสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นแรกเสียอีก เกินความคาดหมายของผู้เข้าร่วมประมูลไปมาก
ทว่าคิ้วของเฉินซีขมวดแน่นเข้าหากัน เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าต้องจ่ายหนักเพียงไหนจึงได้สมบัตินี้มา?
ขณะนี้เขาอดรู้สึกไม่ชอบใจการกระทำของห้องประมูลมิได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโก่งราคาค้ากำไรทางอ้อม ขณะที่เฉินซีไร้ทางเลือกนอกจากหลั่งเลือดจ่ายราคามหาศาล น่าโมโหจริง ๆ
ทว่าเฉินซีก็ไม่อาจทำอันใดได้ เขาตระหนักดีว่าการจะได้มันมา เขาน่าจะต้องจ่ายราคามหาศาล
แต่เหตุการณ์ต่อมาทำให้เฉินซีผงะไป
หนึ่งเสียงหนักหนาดุจระฆังพลันกึกก้องในห้องประมูล “ทุกท่าน ข้าตั้งใจจะประมูลสมบัตินี้ให้ได้ และเต็มใจแลกมันกับศิลาเต๋าสมุทรศักดิ์สิทธิ์หนึ่งก้อน!”
ปรากฏว่านั่นคือเสียงของจักรพรรดิฉางเล่อ
แต่แล้วเฉินซีก็ผงะจังงังเมื่ออีกเสียงดังก้องขึ้นติด ๆ กัน “ฮ่า ๆ ๆ! พี่เหวิน ข้าก็ต้องการสมบัติชิ้นนี้เช่นกัน มิทราบว่าเหล็กจิตปรภพเพลิงวารีชิ้นนี้จะชนะประมูลได้หรือไม่?”
ปรากฏว่าเสียงนี้เป็นของจักรพรรดิเจิ้นอู่
เฉินซีนั้นกล่าวได้ว่าเคยติดต่อกับจักรพรรดิทั้งสองทั้งในที่ลับที่แจ้ง แต่ขณะนี้ทั้งสองกลับทุ่มสุดตัวเพื่อให้ได้หนามลายทองคำนี้มา
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีงุนงงขึ้นมาเล็กน้อยโดยพลัน พวกเขาคิดจะทำอะไร?