บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1758 เรืองรองใต้นภาพร่างพราว
บทที่ 1758 เรืองรองใต้นภาพร่างพราว
บุคคลที่ไล่ตามสตรีผู้นั้นมามีรูปร่างสูง ท่าทางเย็นชา ดวงตาเรืองรองเช่นตะวันจันทรา ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
เขาก็คือผู้นำคนที่สี่ของกองโจรดาราปักษารัตติกาล ฉางเฮิ่น
เขาโจมตีอย่างไร้ปรานี รัศมีศักดิ์สิทธิ์ฟาดออกจากฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นถาโถม สกัดหญิงผู้นั้นไว้จนไม่อาจสะบัดหลุด
“ขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าส่งสมบัติมาจะดีที่สุด หาไม่ ก็มีแต่ตาย” ฉางเฮิ่นหัวเราะเย็นเยียบ
“แค้นนัก! หรือพวกเจ้ากองโจรดาราปักษารัตติกาลไม่กลัวต้องทัณฑ์สวรรค์กันเลยหรือ?” หญิงสาวกรีดเสียงแหลมอย่างหวาดหวั่นระคนสิ้นหวัง
“ฮึ! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรพชนผู้นี้ก็จะไร้ปรานีล่ะ!” ฉางเฮิ่นพลันแผดเสียง ง้างมือขย้ำเข้ามาดุจมังกรคำรนขยี้เมฆา รัศมีศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังสอดประสานถล่มลง
เมื่อเฉินซีมาถึง นี่ก็คือสิ่งที่เขาเห็น
ชายหนุ่มไม่ได้อำพรางตน ทะลวงมิติมาปรากฏข้างกายหญิงสาวในทันที
หากเขามาไม่ทัน สตรีผู้นี้คงมีอันเป็นไปอย่างน่าอนาถแน่แท้
“ขอบคุณสหายเต๋า ขอบคุณสหายเต๋า!” หญิงสาวตะลึง ก่อนจะเผยสีหน้าสุดปรีดา รีบเข้ามาหาเฉินซีเหมือนอยากจะก้มหัวขอบคุณ
ทว่าทันใดนั้นเอง รอยยิ้มเย็นเยียบก็เผยขึ้นเฉียบพลันจากมุมปากของเฉินซี มือแกร่งพลันยื่นมือออกไปคว้าคอสตรีผู้นั้นทันที!
สิ่งนี้เกินคาดของหญิงสาวไปมากนัก การถูกโจมตีทีเผลอนี้ทำให้นางไม่อาจหลบเลี่ยงได้ จึงถูกจับตัวได้ในทันที
พริบตาต่อมา ใบหน้าของนางก็ซีดขาว เค้นยิ้มกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้า… เจ้าจะทำอะไร?”
มิใช่เพียงนาง กระทั่งฉางเฮิ่นก็ผงะไป ดูประหลาดใจเล็กน้อย
กร๊อบ!
เฉินซีออกแรงบีบคอหญิงสาว ยกตัวนางขึ้นดุจไก่ตัวน้อย ขณะเดียวกัน มือซ้ายก็ยกขึ้นปัดผ่านมือของหญิงสาว ทำให้เกิดเสียงกระดูกแหลกขึ้นทันที
ฟิ่ว!
กระดูกมือของสตรีผู้นั้นถูกระเบิดเป็นเสี่ยง พร้อมกับแสงสีดำสนิทสายหนึ่งซึ่งบางดุจขนวัวก็พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนาง แทงเข้าใส่ดวงตาของเฉินซี
ทว่านิ้วของเฉินซีคีบมันไว้ได้กลางอากาศ ไม่อาจขยับเขยื้อนต่อได้อีก
แท้จริงแล้ว เส้นแสงสีดำสนิทนั้นคือแมลงสีดำตัวจ้อยร่อยตัวหนึ่ง หากไม่มองดี ๆ มันก็จะดูเหมือนเข็มเหล็กซึ่งเรืองรัศมีน่าสะพรึงกลัว
“หากเข้าใจไม่ผิด เจ้าก็คือหัวหน้าคนที่ห้าของกองโจรดาราปักษารัตติกาล กีฏนงคราญ ถูกหรือไม่?” เฉินซีชำเลืองสตรีผู้นั้นด้วยแววตาเย็นเยือกจนอีกฝ่ายอดร่างสะท้านไม่ได้
สีหน้าของนางยากมองยิ่งนัก กัดฟันถามออกมาว่า “ในเมื่อเจ้ารู้แต่แรก เหตุใดจึงมาช่วยข้า?”
เฉินซีกล่าวเสียงเรียบ “หากไม่ทำเช่นนั้น การจับตัวเจ้าก็ไม่ง่ายเพียงนี้”
สีหน้าของกีฏนงคราญบูดบึ้งอย่างสมบูรณ์ นางไม่คิดเลยว่ากับดักที่ตนกับฉางเฮิ่นบรรจงสร้างจะโดนเป้าหมายมองออกตั้งแต่ต้น นอกจากนั้น เขายังฉวยโอกาสจับตัวนางด้วย
แปะ! แปะ! แปะ!
จู่ ๆ ฉางเฮิ่นก็เริ่มปรบมือจากไกล ๆ เอ่ยชมว่า “สหายเต๋าฉลาดรอบรู้จริง ๆ สุดยอด! สุดยอด!”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่แลกหมัด มิตรภาพก็ไม่เกิด ในเมื่อเจ้ามองทะลุมันได้ ไยไม่ปล่อยนางเล่า แล้วเราจะปล่อยเจ้าไป? ถือเสียว่าผูกมิตรกับเรา เจ้าคิดเช่นไร?”
ฉางเฮิ่นหน้าง้ำ “เจ้าตั้งใจจะสู้หรือ?”
“จะตีความเช่นนั้นก็ได้” เฉินซีพยักหน้าส่ง ๆ
สายตาคมปลาบดุจอัสนีของฉางเฮิ่นจับจ้องเฉินซีอย่างเยียบเย็นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะคลี่ยิ้มเฉียบพลัน “ป่านนี้แล้ว เจ้ายังไม่ฆ่านาง เจ้าน่าจะหาบางสิ่งอยู่ เช่นนี้เป็นไร? เมื่อครู่เป็นความผิดเรา เราจะรอมชอมหากเจ้าปล่อยนาง ดีหรือไม่?”
“ข้ามิได้แสวงลาภยศ” ขณะเดียวกัน เฉินซีก็มองไปรอบ ๆ พลางกล่าวเสียงเย็น “ทุกท่าน ในเมื่อมากันแล้ว เหตุใดต้องอำพรางซุกซ่อน?”
“เจ้าหนุ่มนี่ช่างรอบคอบเสียจริง แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าจะหนีได้อยู่อีกหรือ?” หนึ่งเสียงเฉยชาหมองหม่นดังขึ้น ขณะที่สามบุคคลพลันปรากฏจากท้องนภาพร่างพราวไกลออกไป ปรากฏว่าพวกเขาก็คือนายใหญ่แห่งกองโจรดาราปักษารัตติกาล อีแร้งเนตรมาร หัวหน้าคนที่สอง นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย และหัวหน้าคนที่สาม บรรพชนโลหิตเขียว
“เจ้าหนู เราพบกันอีกแล้ว” บรรพชนโลหิตเขียวแสยะยิ้ม
“เจ้าเด็กนี่เกินความคาดหมายของข้าจริง ๆ ทำให้ข้าอดอยากชักชวนเข้ากองโจรเราไม่ได้เลย” นักพรตเต๋าหรานเสวี่ยกล่าวช้า ๆ
ทันทีที่ปรากฏตัว พวกเขาก็ยืนกระจายตามจุดต่าง ๆ ร่วมมือกับฉางเฮิ่นผนึกทางหนีของเฉินซีไว้ทั้งหมดในทันที
เฉินซียังคงเยือกเย็นสำรวม กวาดสายตามองรอบทิศพลางกล่าว “ดี มากันหมดแล้ว”
วาทะของเขาชวนให้ขบคิด
“ปล่อยนางไป แล้วหนนี้เราจะละเว้นเจ้า แม้เราจะไร้ปรานี แต่เราก็ไม่เคยตระบัดสัตย์ นี่เป็นเรื่องที่เจ้าน่าจะทราบดีอยู่แล้ว” อีแร้งเนตรมารกล่าวเสียงแผ่วเบา “มิเช่นนั้น…”
“มิเช่นนั้นอะไร?” เฉินซีถาม
“ไอ้หนูนี่บุ่มบ่าม ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ!”
“ดูเหมือนเจ้าจะวอนตายนะ”
คนอื่น ๆ ก็กล่าวเสียงต่ำด้วยโทสะสุดขีดเช่นกัน มิคาดจริง ๆ ว่าแผนที่ดูสมบูรณ์แบบจะกลับกลายเป็นเช่นนี้
ตาเดียวของอีแร้งเนตรมารหรี่ลง เรืองโรจน์เย็นเฉียบ จับจ้องเฉินซีอยู่นาน ก่อนจะเผยรอยยิ้มมีเลศนัย “ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ประเมินเจ้าต่ำเกินไป ทว่าให้ข้าบอกเจ้าเถิดว่าต่อให้วันนี้มีจักรพรรดิมา เจ้าก็ไม่อาจพ้นความตาย!”
“โอ้?” เฉินซีเลิกคิ้ว เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “งั้นก็ลองได้ตามสบาย”
กร๊อบ!
สิ้นคำ ชายหนุ่มก็ออกแรง หักคอสตรีในกำมือ ระเบิดวิญญาณของนางเป็นเสี่ยง!
มันรวดเร็วเกินไป
เร็วจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว
หลังจากนั้น เฉินซีก็เหวี่ยงซากของนางไปพ้น ๆ เสียงดังโครม ก่อนจะกล่าวกับผู้คนรายล้อมอย่างเฉยชา “หนนี้ พวกเจ้าก็ล้างแค้นให้สหายได้แล้ว”
เสียงทุ้มราบเรียบ ดูเหมือนกระทำเรื่องสุดแสนธรรมดา
“เจ้า!”
“วอนตายแท้ ๆ!”
อีแร้งเนตรมาร นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย บรรพชนโลหิตเขียว และฉางเฮิ่นต่างเดือดดาล ไหนเลยจะคาดคิดว่าเจ้าเด็กตรงหน้าจะฆ่าสหายของพวกเขาลงในพริบตา?
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาเดือดดาลอย่างสมบูรณ์ จิตสังหารร้ายกาจพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
“ลงมือ!” นักพรตเต๋าหรานเสวี่ยดุร้ายไร้ปรานีที่สุด และไม่อาจยั้งมือตนเองได้มาเนิ่นนาน เขาแผดเสียงสนั่นขณะชูธงอันหนาแน่นด้วยปราณผีขึ้นมา
ขณะเดียวกัน บรรพชนโลหิตเขียวชักกระบี่กระดูกออกมาเล่มหนึ่ง มันสร้างจากกะโหลกศีรษะมากมาย เรืองรองรัศมีสีเลือดสาดย้อมทั่วทิศ ชวนผวาเป็นอย่างยิ่ง
อีกฝั่งหนึ่ง ร่างของฉางเฮิ่นพลุ่งพล่านด้วยแสงสีน้ำเงิน ผิวกายปกคลุมด้วยชั้นเกล็ดมังกร เขาเดี่ยวงอกเงยบนศีรษะ ดูคล้ายมังกรแต่ก็ไม่ใช่ ดุจสัตว์ประหลาดที่คนก็มิใช่ สัตว์ร้ายก็ไม่เชิง ยิ่งกว่านั้น ปราณในกายยังโถมทวีหลายเท่าตัวในพริบตา
ตู้ม!
อึดใจต่อมา พวกเขาก็ร่วมมือกับนักพรตเต๋าหรานเสวี่ย รุมโจมตีเฉินซีจากทุกทิศทาง
หัวหน้าทั้งหลายของกองโจรดาราปักษารัตติกาลต่างมีการบ่มเพาะในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ออกอาละวาดไปทั่วทิศ ฆ่าคนละเลงเลือดมาหลายพันปี
ขณะเดียวกัน การที่ยังอยู่รอดปลอดภัยได้จนบัดนี้พิสูจน์ได้ว่าพวกเขามิได้เพียงมีอำนาจต่อสู้ร้ายกาจ ยังมากเล่ห์ โหดร้าย และเจ้าแผนการ
ขณะนี้พวกเขาออกไม้ตายทันทีที่จู่โจม ยิ่งกว่านั้น ยังร่วมมือกันอย่างสามัคคี ดูเหมือนคิดกำจัดเฉินซีให้สิ้นซาก
จริงอยู่ พวกเขาเป็นโจรดุร้ายไร้ปรานีอย่างยิ่ง วิธีต่อสู้เหมือนมีประสบการณ์โชกโชน ไม่มีการยั้งมือแม้แต่น้อย หมายชีวิตกันตั้งแต่เริ่ม
หากไม่มีประสบการณ์มากพอ เพียงเผชิญปราณกดดันลำพังก็คงถูกข่มขวัญจนสิ้นท่าแล้ว
ทว่าทั้งหมดนี้มิได้ยากเย็นสำหรับเฉินซีเลย
ขณะที่นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย บรรพชนโลหิตเขียว และฉางเฮิ่นร่วมมือโจมตี เฉินซีก็ลงมือเช่นกัน
เคร้ง!
หนึ่งกระบี่อันเรืองรัศมีน้ำเงินเข้ม อาบไล้ด้วยปราณบรรพกาลคำรนขณะพุ่งมาอยู่ในมือเฉินซี
กระบี่เปลื้องมลทิน!
หนึ่งกระบี่ในตำนานอันมีที่มาเลิศล้ำ มีอำนาจยิ่งใหญ่เกินคาดหยั่ง!
เพียงพริบตา บรรยากาศรอบกายก็แปรเปลี่ยนฉับพลัน ทุกอณูรูขุมขนในร่างเผยเจตจำนงกระบี่ทะยานสรวง ดูประหนึ่งจักรพรรดิกระบี่โปรดหล้าจากเบื้องบน
วูบ!
ปราณกระบี่หนาแน่นไพศาลสายหนึ่งโถมขึ้นสู่ฟ้า ฉีกกระชากมิติ ฟาดฟันใส่แดนดินด้วยอำนาจไร้เทียมทาน
เพียงพริบตา ฟ้าดินก็หม่นรัศมี หมู่ดาวคร่ำครวญ คลื่นกระเพื่อมสีม่วงสาดซัดทั่วทิศ
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง หมอกทมิฬถูกขยี้เป็นเสี่ยง ธงถูกสับขาดสองท่อน และตัวนักพรตเต๋าหรานเสวี่ยผู้ควบคุมมันก็ถูกฟาดฟันอกเปิดเป็นช่อง แผดเสียงอย่างเจ็บปวดไม่หยุดปากพลางกระอักเลือด
กระบี่กระดูกระเบิดเป็นเสี่ยง แขนของบรรพชนโลหิตเขียวถูกสะบั้น กระเด็นไปกลางอากาศขณะโลหิตพรั่งพรู
ขณะเดียวกัน แม้ฉางเฮิ่นจะปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกร สามารถรับปราณกระบี่นี้ไว้ได้ แต่ก็ถูกฟาดรุนแรงจนจักรวาลในร่างเจียนระเบิดแหลก โลหิตทะลักไหลจากเจ็ดทวาร
เหตุนี้ชวนผวาโดยแท้จริง
เพียงหนึ่งกระบี่ กลับทำให้สามบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้อาละวาดในโลกหล้าแสนนานสาหัส!
มันทำให้อีแร้งเนตรมารผู้อยู่พินิจศึกจากไกล ๆ ตกใจเสียจนร่างเกร็งนิ่ง เผลอร้องออกมาอย่างผงะ “นะ นะ นี่….” เขาตะลึงเสียจนพูดไม่เป็นคำ
พวกเขาหารู้ไม่ว่าเฉินซีสามารถเล่นงานตัวตนยิ่งใหญ่จากเอกภพจักรวรรดิอย่างตี้อวิ๋นชิว ประมือสูสีกับผู้อาวุโสอย่างกงเหย่หนานลี่มาตั้งแต่ยังอยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณแล้ว
ขณะนี้ชายหนุ่มแปรสภาพดูดซับรากเต๋าวิภูจักรวรรดินั่นไปนานแล้ว และความแข็งแกร่งยังโถมทะยานทวีคูณจนน่าตกใจยามบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ประกอบกับสัจธรรมที่การบ่มเพาะพลังดวงใจของเฉินซีผ่านเข้าสู่ขั้นที่สองของสัจหฤทัยสูตร ความแข็งแกร่งจึงพัฒนาไปอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจะสู้เฉินซีได้อย่างไร?
“แย่แล้ว!”
“เราถูกต้มแล้ว!”
“เผ่น!”
เพียงหนึ่งกระบี่นี้ก็ทำให้นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย บรรพชนโลหิตเขียว และฉางเฮิ่นขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย เพราะสัญชาตญาณที่สั่งสมผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน จึงหันหลังหนีกันอย่างไร้ลังเล
วูบ! วูบ! วูบ!
ทว่าทันทีที่พวกเขาจะหนีนั่นเอง สามปราณกระบี่อันเรืองรองก็ข้ามมิติมาดุจคมเคียวเทพมรณะเข้าใส่พวกเขา
“ระวัง!” ไกลออกไป อีแร้งเนตรมารแผดเสียงสุดลำคอ ดวงตาเบิกกว้างแทบถลน
………………..