บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1759 จักรพรรดิเมี่ยวเฟิง
บทที่ 1759 จักรพรรดิเมี่ยวเฟิง
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ก้อนโลหิตก้อนแล้วก้อนเล่าระเบิดออกดุจดอกไม้ไฟกลางท้องนภาอันพร่างพราว เหตุอันน่าสะพรึงกลัวทว่างดงามนี้ส่งกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งสะท้านถึงหัวใจ
เพียงพริบตา นักพรตเต๋าหรานเสวี่ย บรรพชนโลหิตเขียว และฉางเฮิ่นก็ถูกกำจัดลงตามกัน พวกเขาตกตายโดยไม่เหลือซาก เผชิญจุดจบอันน่าสะพรึงยิ่ง
แม้จะเป็นในวาระสุดท้าย พวกเขาก็ยังไม่คาดคิดว่าเป้าหมายหนนี้ซึ่งเป็นเพียงบุคคลขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นต้น จะมีอำนาจต่อสู้ท้าทายสวรรค์เพียงนี้!
อีแร้งเนตรมารเห็นเรื่องทั้งหมด ร่างของเขาหนาวเยือก ริมฝีปากสั่นสะท้าน แสดงชัดว่าในใจเขาตกตะลึงเพียงไร
เขากล่าวมาแต่แรกว่าพวกเขาควรสืบเรื่องเกี่ยวกับเป้าหมายก่อนลงมือ น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งหลายล้วนตามืดบอดไปกับความปรารถนา และมาถึงจุดจบเช่นนี้
ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาควรโศกเศร้าหรือเดือดดาล ขณะนี้อีแร้งเนตรมารเผยความเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด
“ไอ้หนู เจ้าต้องชดใช้!” ฉับพลัน อีแร้งเนตรมารก็ปลดผ้าปิดตาซ้ายสีดำออก หันกลับมามองเฉินซี
นั่นมันนัยน์ตาอะไรกัน?
มันเป็นสีเขียวดุจมรกต เต็มไปด้วยประกายลึกล้ำงดงาม ยิ่งกว่านั้นยังเจือด้วยอำนาจลึกลับอันคลุมเครือ ย้อมบริเวณรอบข้างเขาเป็นสีเขียวสด กวนมิติสะท้านเทิ้มไม่สิ้นสุด
นี่คืออำนาจแห่งเนตรซ้ายของอีแร้งเนตรมาร โจรร้ายผู้มีที่มาลึกลับ และเป็นนายใหญ่ของกองโจรดาราปักษารัตติกาลผู้ก่อกรรมทำเข็ญนับไม่ถ้วนมาช้านาน
ขณะเดียวกัน ตาซ้ายของเขาซึ่งไม่เคยถูกผู้ใดพบเห็นก็ถูกปกคลุมด้วยม่านปริศนา เรียกกันว่าเนตรมาร
เมื่อเห็นเนตรซ้ายสีเขียวมรกตอันแปลกประหลาดของอีแร้งเนตรมาร หัวใจของเฉินซีก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ ขณะนี้เขากระทั่งรู้สึกเหมือนมีผู้มองทะลุความลับ ณ ก้นบึ้งแห่งหัวใจ รู้สึกอึดอัดไปทั้งกาย
ขณะที่เขากำลังจะจู่โจมบุคคลผู้เต็มไปด้วยปริศนานี้เอง
เปรี๊ยะ!
ทว่าอึดใจนี้เอง ดวงตาซ้ายของอีแร้งเนตรมารก็ระเบิดเป็นเสี่ยงเฉียบพลัน โลหิตเขียวเข้มหลั่งริน เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจไม่น้อย
ขณะเดียวกัน ตัวเขาก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา สองมือกุมศีรษะ ดูรวดร้าวสาหัสจนทั่วร่างกระตุกเกร็ง
“เจ้า… เจ้า… ที่แท้เจ้าก็คือ… ผู้ช่วงชิง! มิน่าเล่า มิน่าเจ้าจึงแย่งกะโหลกจ้าววิญญาณอาถรรพ์กับข้า… ช่าง… แค้นนัก!!” อีแร้งเนตรมารแผดเสียงสนั่นด้วยความตะลึงระคนเดือดดาล เขาเจียนบ้ารอมร่อและเหมือนสังเกตเห็นบางอย่างอันไม่อาจนิยาม จึงแผดเสียงไม่หยุดปาก
ร่างของเขาดูเหมือนเริ่มแผดผลาญ ประหนึ่งหลอมละลายสู่ความไม่มี ทำให้เสียงของเขาฟังดูรวดร้าวทรมานสุดขีดและกระท่อนกระแท่น
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในใจตะลึงประหลาดใจเล็กน้อย หรือเนตรมารของเจ้านี่จะระเบิดเป็นเสี่ยงเพราะข้า จึงทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?
“ฮ่า ๆ ๆ! ต่อให้ข้าต้องตาย เจ้าก็ชะตาไม่ต่างจากข้านัก! ฮ่า ๆ ๆ….” ท่ามกลางเสียงแผดหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ร่างของอีแร้งเนตรมารถูกแผดผลาญสู่ความไม่มี เหลือเพียงเสียงของเขาที่กึกก้องในท้องนภาอันจรัสจ้า
หลังประจักษ์เรื่องทั้งหมดนี้ เฉินซีก็อดเงียบเสียงครุ่นคิดหนักมิได้
ยามนี้เอง เขาจึงเข้าใจว่าอีแร้งเนตรมารคือคนในห้องรับรองพิเศษลำดับสามหมายเลขสิบเก้าที่ประมูลแย่งกะโหลกจ้าววิญญาณอาถรรพ์กับเขา
ปรากฏว่าคนผู้นี้จงใจวางอุบายดักเขา และกระทั่งมีเจตนาฆ่าตัวเขามานานแล้ว ซึ่งจุดประสงค์ของอีแร้งเนตรมารย่อมเป็นการชิงกระดูกต้นกำเนิดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์
สิ่งนี้ทำให้เขาคิดออกได้ไม่ยากว่าคนเหล่านี้มาซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่นานแล้ว เพราะเป้าหมายของคนเหล่านี้ก็คือเขาเอง
เนตรประหลาดนั้นเห็นอะไรจากข้า? เหตุใดจู่ ๆ เขาจึงตกตายสาบสูญจากโลกหล้าไปเช่นนี้?
หากอีแร้งเนตรมารไม่ตาย บางทีเฉินซีคงคร้านเกินสนใจเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไร้ทางเลือก นอกจากต้องพินิจข้อมูลจากปัจฉิมวาจาของอีแร้งเนตรมารอย่างจริงจัง
ถึงขนาดที่เฉินซีต้องหวนนึกถึงเตาหลอมแห่งชะตากรรมขึ้นมา แล้วนึกถึงภัยพิบัติที่เหล่าไป๋กล่าวถึง….
ทันใดนั้น เฉินซีก็เลิกคิ้ว มองไปยังท้องนภาอันพร่างพราวไกลออกไป
ขณะนี้เองที่หมู่เมฆอันเรืองรองทะยานสู่ฟ้า ประหนึ่งดวงตะวันเจิดจรัสเคลื่อนผ่าน สาดส่องแสงเจิดจรัสโรจน์รุ่ง
หมู่เมฆประคองร่างทรงอำนาจร่างหนึ่งท่ามกลางรัศมีศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ทำให้ผู้อื่นไม่อาจเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้ชัดเจน ทว่าปราณทรงพลังของคนผู้นั้นยิ่งยงสูงส่งเหนือโลกหล้า ทำให้ฟ้าดินหม่นแสงยามเผชิญหน้า
ม่านตาของเฉินซีหดตัวทันใด หากเข้าใจไม่ผิด นี่ก็คือจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงจากเกาะนภาเมฆินทร์แห่งเอกภพสมุทรทักษิณา!
ระหว่างการประมูลในตลาดมืด เฉินซีจำได้ชัดเจนว่าจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงประมูลชนะสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็คือกระบี่เต๋าแผ่ไพศาล
ขณะนั้น เหล่าไป๋เคยค่อนขอดจักรพรรดิผู้นี้ว่าเสียเงินซื้อโลงไปกับสมบัติวิญญาณธรรมชาติ ไม่คุ้มราคาเสียเลย
ทว่าเฉินซีมิคาดเลยว่าจักรพรรดิผู้นี้จะมาปรากฏตัวที่นี่
“อัศจรรย์ กำจัดหัวหน้าทั้งห้าของกองโจรดาราปักษารัตติกาลได้ด้วยตัวคนเดียว กล่าวได้แล้วว่าขจัดภัยให้กับแดนเทพโบราณ หากผู้บ่มเพาะได้รับทราบ คงสรรเสริญยอยศสหายน้อยไปตราบนานแน่แท้” จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงปรบมือชื่นชม ขณะเดียวกันก็มาอยู่ตรงหน้าเฉินซีอย่างรวดเร็ว
เพราะเหตุนี้ เฉินซีจึงได้เห็นอีกฝ่ายชัด ๆ เขามีใบหน้าหล่อเหลาเช่นชายหนุ่ม สวมชุดคลุมนักพรตสีเหลืองส้ม ท่าทางกระฉับกระเฉง ดูไม่เหมือนผู้อาวุโสขอบเขตจักรวรรดิเกินนับขวบปี มองเช่นไรก็เหมือนชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” เฉินซีกุมกำปั้นคารวะ
“ฮ่า ๆ สหายน้อยไม่ต้องถ่อมตัวหรอก ในความคิดข้า อำนาจต่อสู้ของเจ้าเพียงพอถือได้ว่าสะท้านโลกาแล้ว” จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงไม่หวงคำชมแม้แต่น้อย หากเป็นผู้น้อยคนอื่น ๆ คงรู้สึกปลาบปลื้มภูมิใจนัก
ทว่าเฉินซีกลับขมวดคิ้ว พลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ ผู้อาวุโสก็เห็นเหตุการณ์มาแต่แรก”
สีหน้าของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย
ทันใดนั้นเอง เฉินซีก็ฟันหนึ่งกระบี่ออกมา ใช้เชือดเฉือนกาสร กระบวนท่าโจมตีอันรุนแรงที่สุดในเคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัยออกมาใส่จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงอย่างดุเดือดทันที
ขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็ระเบิดรัศมีศักดิ์สิทธิ์แผดจ้า ทะยานมิติหนีไปอย่างสุดกำลัง
หืม? สีหน้าของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงแย่ลง เขายกมือขึ้นวาด แสงสีเขียวสายหนึ่งปรากฏขึ้น ล้างปราณกระบี่ของเฉินซีไปได้อย่างง่ายดาย
เฉินซียังคงเงียบกริบ เผ่นหนีอย่างสุดกำลัง ดูเหมือนจะถือจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงเป็นสัตว์ประหลาดน่าสะพรึง
“สหายน้อย หากเจ้าไม่หยุด ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานีเชียว!” เห็นเช่นนี้ สีหน้าของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงก็แย่ลงอีก น้ำเสียงของเขาเจือความเย็นเยียบเล็กน้อย เท้าของเขาก้าวย่างบนเวหา เจียนประชิดเฉินซีได้แล้ว!
เพียงความเร็วการเคลื่อนย้ายมิติของพวกเขาลำพังก็แสดงให้เห็นชัดเจน ว่าความต่างชั้นระหว่างบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลและจักรพรรดิใหญ่โตเพียงไร
เฉินซีสังเกตเห็นมันชัดเจน หัวใจของเขาบีบตัวอย่างช่วยไม่ได้ เขานำไผ่ม่วงชิ้นนั้นออกมาอย่างเงียบเชียบ หยุดฝีเท้ากะทันหัน ก่อนจะหันมองจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงผู้ไล่ตามมา กล่าวขึ้นเสียงเย็น “หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าก็คือผู้บงการเบื้องหลังกองโจรดาราปักษารัตติกาล ถูกหรือไม่?”
จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงหยุดฝีเท้าทันทีเมื่อเห็นเฉินซีหยุดหนี ทว่ายามได้ยินวาทะของเฉินซี จิตสังหารก็แผ่วพลิ้วรวดเร็วในดวงตา
อึดใจต่อมา เขาก็ระเบิดหัวเราะ “ที่แท้สหายน้อยก็สงสัยข้า เจ้าไม่ผิดหรอก ข้าผิดเองที่ดันมาอยู่ในบริเวณที่เจ้าทำศึก”
เขากล่าวอย่างผึ่งผายตรงไปตรงมา
มุมปากของเฉินซียกยิ้มเย้ยเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขากล่าวขึ้นเสียงเรียบ “หากแค่นั้น ข้าคงไม่สงสัยเจ้าหรอก แต่ก่อนหน้านี้ อีแร้งเนตรมารพูดไว้ว่า กระทั่งจักรพรรดิมายังช่วยข้ามิได้ในวันนี้”
“ขณะนั้น ข้าก็สงสัยอยู่ว่าอีแร้งเนตรมารไปมาดมั่นเพียงนั้นจากเหตุใด และทันทีที่ข้าเห็นเจ้าปรากฏ ข้าก็เข้าใจทันที หากมองว่าเจ้าคือผู้บงการเบื้องหลัง จักรพรรดิคนอื่น ๆ ก็จะถูกเจ้าเบี่ยงออกไป ถูกหรือไม่?”
“ปิดด่านบ่มเพาะ? ใครจะรู้ว่าเจ้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่จริงหรือไม่?” เฉินซีไม่สะท้าน เขากล่าวเสียงเย็น “อีกอย่าง ห้องประมูลสมุทรทักษิณากำลังประมูลสมบัติล้ำค่าชิ้นสุดท้ายอยู่ในขณะนี้ จักรพรรดิผู้อื่นก็กลัวจะพลาดมันไปทั้งสิ้น แต่เจ้า จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงกลับมาที่นี่อย่างไม่มีปี่ขลุ่ย มันจะไร้เหตุผลไปหน่อยกระมัง”
สีหน้าของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงแย่ลง กล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “สหายน้อย หากยังเสียมารยาทเช่นนี้ อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานีนะ!”
ไม่ว่าผู้ใด จักรพรรดิซึ่งถูกยั่วยุไม่จบสิ้นเช่นนี้ล้วนโมโหกันทั้งสิ้น หากมีผู้ใดไม่ทราบสถานการณ์มาประสบ คงด่าเฉินซีที่ไม่รู้จักดูกาลเทศะ ล่วงเกินผู้แข็งแกร่งกว่าเป็นแน่แท้
ทว่ารอยยิ้มหยันที่มุมปากของเฉินซีกลับยิ่งทวีความกว้างขึ้น “ก็ดี งั้นข้าขอถามจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงได้หรือไม่ ว่าไฉนจึงเผยตัวมาพบข้าทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักหรือพานพบกันมาก่อน?”
จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงเงียบไป เขาพลันถอนใจแล้วกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าเด็กนี่นะ คุยกันด้วยเหตุผลไม่ได้แล้ว เหตุที่ข้าเผยตัวมาก็ย่อมเพื่อ….”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาพลันก้าวเท้าพลิกฝ่ามือ ฟาดลงมาใส่เฉินซี
เปรี้ยง!
นิ้วของเขาประหนึ่งเสาค้ำสวรรค์ ฝ่ามือพลุ่งพล่านไปด้วยพลังบัญชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ร้ายกาจ แปรเปลี่ยนเป็นหมู่เมฆเรืองรอง ร้ายกาจกดดันถึงขีดสุด
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ใช้เวลาแทบจะหนึ่งในหมื่นของชั่วพริบตา อย่าว่าแต่เฉินซีเลย กระทั่งจักรพรรดิคนอื่น ๆ ยังน่าจะตั้งตัวไม่ทัน
ชั่วขณะนี้ กาลเวลาดุจหยุดนิ่ง มุมปากของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงปรากฏเค้ารอยยิ้มโหดร้ายชั่วช้าขึ้นบาง ๆ ชวนพรั่นพรึงนัก เยี่ยงหมาป่าในคราบแกะเผยเขี้ยวเล็บ!
ขณะเดียวกัน เฉินซีรู้สึกราวตนถูกตรึงร่างแน่นิ่งไม่อาจขยับเขยื้อน มีเพียงสีหน้าของเขาที่ยังสุขุม ดูน่าตะลึงไม่น้อยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
เปรี้ยง!
หนึ่งเสียงสนั่นฟ้าดินกึกก้อง ดวงดาราในรัศมีล้านลี้สั่นสะท้านประหนึ่งจะโรยร่วง หมู่อุกกาบาตแหลกสลายเป็นเสี่ยง นอกจากนั้น สุญตายังแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นโกลาหล กวาดกระหน่ำไปทั่วทิศ เป็นเหตุการณ์อันชวนตกตะลึงยิ่ง
ทว่าร่างของเฉินซียังคงยืนนิ่งกับที่ ไม่ขยับเขยื้อนแต่ต้นจนจบ ถึงขนาดที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย!
………………..