บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 176 การฝึกฝนภายในป่า
บทที่ 176 การฝึกฝนภายในป่า
บทที่ 176 การฝึกฝนภายในป่า
ฟิ้ว!
ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ใสกระจ่าง ซึ่งเต็มไปด้วยมวลเมฆสีขาวดั่งก้อนสำลี มีเรือเหาะสมบัติลำหนึ่งแหวกคลื่นอากาศใต้ท้องฟ้าขณะที่มันทะยานไปในระยะไกล
เฉินซีนอนอยู่บนหัวเรือในขณะที่เขาอ่านคัมภีร์ค่ายกลทั้งสิบสามของโจวซวี่เยี่ยนอย่างสบาย ๆ
เขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของค่ายกลใหญ่ทั้งสิบสามรูปแบบที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เต๋ายันต์อักขระนี้แล้ว และได้รับการเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ทำให้ความสามารถในการอนุมานของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อรวมเข้ากับการทำความเข้าใจที่ศิลาสำนึกกระบี่ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา จึงทำให้เขาได้เข้าใจถึงวิธีผสานกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดของค่ายกลกระบี่หมื่นบรรจบที่ลึกซึ้งอยู่บ้าง
ในระหว่างการเดินทางฝึกฝนครั้งนี้ เฉินซีตั้งใจที่จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามและชื่นชมรูปแบบต่าง ๆ ของสังคมในโลกมนุษย์ ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถขัดเกลาดวงจิตแห่งเต๋า และเสริมสร้างความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากมายท่ามกลางสวรรค์และโลก
“เฉินซี เราจะกลับไปที่ห้วงทะเลทรายมรณะจริง ๆ หรือ?” หลิงไป๋ยืนอยู่ที่หัวเรืออย่างภาคภูมิ แขนของเขาไขว้กันไว้ที่หน้าอก เสื้อผ้าสีขาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และเพลิดเพลินไปกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้าของเขาจนพอใจ ส่วนไป๋คุยนอนขดตัวอยู่ข้างหลิงไป๋ ขณะที่มันกอดและเคี้ยวสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ด้วยความพึงพอใจ มันกินอย่างเอร็ดอร่อยในขณะที่เสียงแตกดังก้องอยู่ในอากาศ
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเฉินซีนั่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ หลิงไป๋และไป๋คุยจึงต้องอยู่ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เท่านั้น แม้ว่าพื้นที่ภายในนั้นจะกว้างใหญ่ แต่ก็ปราศจากความมีชีวิตชีวา จึงทำให้ทั้งสองเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่ในตอนนี้ การที่เฉินซีออกเดินทางอีกครั้ง ก็ไม่ต่างอะไรกับการกอบกู้อิสรภาพให้กับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาในยามนี้เป็นดั่งมังกรที่หวนคืนสู่มหาสมุทร หรือนกที่โบยบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป
“แน่นอนว่า ปราณหยางนพเก้าล้ำลึกนั้นมีประโยชน์ต่อการช่วยให้ข้าบ่มเพาะไปถึงขอบเขตเคหาทองคำอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง” เฉินซีเก็บหนังสือและครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ว่าแต่หลิงไป๋ เจ้าพอรู้อะไรเกี่ยวกับห้วงทะเลทรายมรณะบ้าง”
อันที่จริง เฉินซีเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของห้วงทะเลทรายมรณะเสียทั้งหมด เมื่อหลายปีก่อน เขาได้หลบหนีเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะขณะถูกสมาชิกตระกูลซูไล่ล่า จากนั้นเขาก็ได้พบกับหลิงไป๋ที่อยู่ในสุสานกระบี่แดนนิพพาน แต่ครั้งนั้นเขาได้เข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะเพียงไม่กี่พันลี้ และไม่ถือว่าเป็นส่วนลึกของห้วงทะเลทรายมรณะด้วยซ้ำ
เมื่อกล่าวถึงห้วงทะเลทรายมรณะ ใบหน้าที่หล่อเหลาของหลิงไป๋ก็ดูซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งมีทั้งความเกลียดชัง ความหวาดกลัว และความข้องใจ… ผ่านไปนานอยู่พอสมควร ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างช้า ๆ “เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน อาจารย์ของข้า ได้พาข้าลงมายังห้วงทะเลทรายมรณะแห่งนี้และเข้าร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่างเทพเจ้ากับปีศาจ ในเวลานั้น ห้วงทะเลทรายมรณะได้กลายเป็นสถานที่แห่งความตายไปแล้ว และมันก็เต็มไปด้วรอยแยกมิติและพายุมิติที่ไร้ขอบเขต สภาพแวดล้อมของมันเลวร้ายมาก จนเป็นสถานที่แห่งการทำลายล้างและหายนะ”
ลงมาหรือ?
ดูเหมือนว่าหลิงไป๋และอาจารย์ของเขาไม่ได้มาจากราชวงศ์ซ่ง…
เฉินซีดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในห้วงความคิด
หลิงไป๋เองก็ไม่ได้สังเกตถึงสิ่งนี้ ขณะที่เขาก็จมอยู่ในความทรงจำของตัวเองเช่นกัน น้ำเสียงของเขาก็ไม่ต่อเนื่องราวกับว่าเขากำลังละเมอ “ท่านอาจารย์ได้มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะในครั้งนั้น เพราะเขามาตามคำร้องขอให้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างเทพกับปีศาจ สิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้ระหว่างเทพกับปีศาจนั้น แท้จริงแล้วคือการต่อสู้ระหว่างโลกแห่งการบ่มเพาะและมิติปีศาจ เนื่องจากพายุมิติที่อยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะมีรอยแยกมิติมากมาย หรือมีกระทั่งอุโมงค์มิติที่นำไปสู่โลกอื่นท่ามกลางพายุเหล่านั้น ปีศาจสวรรค์เหล่านั้นที่มาจากมิติปีศาจ ใช้หนึ่งในอุโมงค์มิติเหล่านั้นเพื่อมาที่ห้วงทะเลทรายมรณะ”
“เจ้าคงไม่รู้ว่า ปีศาจสวรรค์นั้นน่ากลัวขนาดไหน พวกมันเป็นศัตรูคู่อาฆาตของผู้บ่มเพาะ พวกมันแผดเผา เข่นฆ่า และแย่งชิงอย่างป่าเถื่อน อีกทั้งยังสังเวยวิญญาณของคนตายในขณะที่กลืนกินทุกชีวิตเพื่อขัดเกลา ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปจะถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นเลือดที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และไม่เหลือแม้แต่ใบหญ้า ความเกลียดชังระหว่างพวกมันกับพวกเราเหล่าผู้บ่มเพาะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีวิธีเดียวที่จะแก้ไข นั่นคือการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกกำจัด!”
“อาจารย์ของข้าพ่ายแพ้ในการต่อสู้ในครั้งนั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ยังมีปีศาจสวรรค์และผู้บ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้มตายลงที่นั่นและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ซึ่งในหมู่ผู้ที่ล้มตายมีทั้งผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์และปีศาจระดับจักรพรรดิอันน่าสะพรึงกลัว ดังนั้น การต่อสู้ที่เต็มไปด้วยการนองเลือดและความโหดร้ายเป็นสิ่งที่ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจนจนถึงทุกวันนี้”
เมื่อเฉินซีได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรงและก็เงียบไปเป็นเวลานาน การต่อสู้ของเทพและปีศาจ ซึ่งมีทั้งปีศาจสวรรค์และเซียนสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้… ทุกคำพูดดูเหมือนจะมีพลังงานพุ่งตรงไปที่หัวใจของเขา ทำให้เขาไม่อาจหักห้ามใจจากความรู้สึกที่ไม่สบายใจได้ ราวกับว่าเขาได้เห็นการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน และฉากแห่งการทำลายล้างที่ทำให้สวรรค์และโลกต้องตกอยู่ในความมืดมิด
“อาจารย์ของเจ้าก็ล้มตายภายใต้มือของปีศาจสวรรค์หรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม
หลิงไป๋ตกตะลึงก่อนที่จะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ มิฉะนั้นมันจะทำร้ายเจ้า”
เฉินซีเข้าใจได้ในทันทีว่าการตายของอาจารย์ของหลิงไป๋นั้นต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นหลิงไป๋จะไม่พูดแบบนี้ออกมาอย่างแน่นอน และเขาไม่เคยกลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา
“ตอนนี้เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปีศาจสวรรค์โจมตีแล้ว แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งมันอันตรายยิ่งนัก ดังนั้นเจ้าต้องคอยระวังตัว และจะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของเจ้าไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำก่อนจะไปถึงที่นั่น” หลิงไป๋กล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง
เฉินซียิ้มเบา ๆ “ยิ่งอันตรายมากเท่าใด มันก็ยิ่งสามารถฝึกฝนความแข็งแกร่งของข้าได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ข้าจะฟังคำแนะนำของเจ้าและพัฒนาความแข็งแกร่งของข้าก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ”
ห้วงทะเลทรายมรณะตั้งอยู่ด้านหลังของทุ่งหญ้าพเนจรและอยู่ห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรเป็นระยะทางหลายแสนลี้ แม้ว่าเฉินซีจะเดินทางด้วยเรือเหาะสมบัติของเขา แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปถึงที่นั่นโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้ตั้งใจที่จะรีบร้อนไปยังที่นั่น หลังจากที่เขาพูดคุยกับหลิงไป๋ได้สักพัก เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหา เขาจึงตัดสินใจหยุดบิน และไม่เข้าไปเข้าเมือง แต่กลับเดินตรงไปผ่านป่าอันรกทึบซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเข้าไป แม้ว่าป่าแห่งนี้จะไม่ถือว่าปลอดภัยสักเท่าไร เนื่องจากสัตว์อสูรต่างก็ท่องไปรอบ ๆ อย่างอิสระ แต่เมื่อเทียบพวกมันกับมนุษย์แล้ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์อสูรเหล่านี้รับมือได้ง่ายกว่าเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางผ่านภูเขาและป่าจะทำให้เขาสามารถล่าสัตว์อสูรเพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งของเขาได้ และอาจถือว่าเป็นวิธีในการบ่มเพาะที่ดี
…
ภายในภูเขาและป่าที่ทอดยาวออกไปนับพัน
เฉินซีเดินทางไปข้างหน้าในตอนกลางวัน และนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะขณะที่เฝ้ามองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีในตอนกลางคืน เมื่อพบกับสัตว์อสูรที่ประเมินตัวเองสูงเกินไปก็จะฆ่ามัน เพื่อที่เนื้อสด ๆ ของพวกมันจะถูกเปลี่ยนเป็นอาหารอันแสนโอชะในปากของเขา
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
“โฮก!” ในป่าโบราณที่บดบังท้องฟ้าและแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา เสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยวของสัตว์ร้ายดังออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นร่างสีดำขนาดมหึมาของมันก็ล้มทับต้นไม้ที่มีความสูงกว่าสิบต้นจนหักโค่น ก่อนจะกระแทกตึงลงกับพื้น อีกทั้งร่างกายของมันยังเต็มไปด้วยรอยแผลนับไม่ถ้วน เลือดหนาข้นไหลรินลงมาทั่วร่างราวกับน้ำตกอย่างรวดเร็ว จนเปียกโชกพื้นดินภายในรัศมีสิบสี่จั้ง
“เยี่ยมมากเฉินซี เจ้าได้หลอมรวมกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดในคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบแล้วหรือ?”
“ข้ายังอยู่อีกห่างไกลนัก ตอนนี้ข้าเชี่ยวชาญเพียงผิวเผินเท่านั้น”
เมื่อร่างของสัตว์อสูรขนาดมหึมาตกถึงพื้น มีร่างหนึ่งลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และบนไหล่ของร่างนั้นเป็นคนตัวเล็กที่ใบหน้าหล่อเหลา ที่สวมชุดสีขาวปลิวไสวไปตามสายลม
ร่างนี้สูงโปร่งและยืนอย่างผ่าเผยด้วยหลังที่ตั้งตรงเหมือนหอกที่เจาะทะลุท้องฟ้า และกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาและไร้การควบคุมของเขา มีร่องรอยของเจตนาฆ่าที่เยือกเย็นและเฉียบแหลมอยู่ภายใน
คนผู้นี้ย่อมคือเฉินซี นับตั้งแต่เขาออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ก็เป็นเวลาถึงครึ่งเดือนแล้ว ในระหว่างวันเหล่านี้ เขาเดินทางไปตามทิศทางที่แน่นอน ขณะที่ต้องผ่านความยากลำบากในการใช้ชีวิตในป่า หมั่นฝึกฝนและขัดเกลาเต๋ากระบี่ของเขาด้วยสัตว์อสูรตลอดเวลา จนวันเวลาล่วงเลยไปอย่างมาก
แน่นอนว่าสัตว์อสูรที่มีพละกำลังมหาศาลก็อยู่ในป่าที่อุดมสมบูรณ์เช่นกัน และพวกมันเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญทักษะที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งอีกด้วย การต่อสู้กับพวกมันไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย และท่ามกลางการต่อสู้ที่เหี้ยมโหดมากมายเหล่านี้ การบ่มเพาะเต๋ากระบี่ของเฉินซีก็ได้มีความก้าวหน้าในด้านทักษะ ความเร็ว และมีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ
การฆ่าฟันอันเหี้ยมโหดที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุดนี้ทำให้กลิ่นอายของเฉินซี มีร่องรอยของการฆ่าฟันอย่างเยือกเย็น ซึ่งทำให้หัวใจของใครก็ตามที่พบเจอต้องรู้สึกหนาวสั่น ราวกับว่ามีสัตว์ดุร้ายซ่อนอยู่ในร่างกายของเขา และเมื่อเขาต่อสู้มันจะเผยเขี้ยวเล็บอันแหลมคมออกมาทันที
“ชึ้บ!” หลิงไป๋เริ่มชำแหละซากศพของสัตว์อสูรบนพื้นอย่างชำนาญ และกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เฉินซี คราวนี้เราจะกินอะไรกันดี? เนื้อย่าง? หรือโจ๊กเนื้อ?”
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ในขณะที่เดินผ่านป่า สัตว์อสูรที่เขาฆ่าตลอดทางนั้นแตกต่างกันไป มีทั้งที่เหาะเหินไปในอากาศ คลานไปตามพื้นดิน หรือเวียนว่ายอยู่ในน้ำ ยิ่งไปกว่านั้น วัตถุวิญญาณล้ำค่าจำนวนมากต่างก็เติบโตอยู่ในป่า พวกมันล้วนได้รับการปรุงทีละอย่างด้วยศิลปะการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของเฉินซี จนกลายเป็นอาหารโอชะที่หลากหลาย ทำให้หลิงไป๋และไป๋คุยรับประทานอย่างพึงพอใจ อีกทั้งยังเพลิดเพลินอย่างเต็มที่
แน่นอนว่า การกินอย่างเดียวแต่ไม่ทำงานนั้นย่อมไร้ค่าโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหลิงไป๋จึงสวมบทบาทเป็นคนแล่เนื้ออย่างรวดเร็ว คอยชำแหละซากศพของสัตว์อสูรและรวบรวมวัตถุวิญญาณสำหรับปรุงอาหาร และเขาก็ขยันขันแข็งในการทำงานเป็นอย่างมาก
“เจ้าได้กินไปเยอะแล้ว เมื่อไรจะทะลวงผ่านได้สักที” เฉินซีเหลือบมองเจ้าตัวตะกละคนนี้และกล่าวอย่างหมดหนทาง ตั้งแต่จี้อวี๋ใช้วิชาสลายวิญญาณเพื่อหลอมรวมหลิงไป๋เข้ากับกระบี่ไผ่ทองคำนิลจนถึงตอนนี้ แม้ว่าเขาจะกินสมบัติวิเศษ เม็ดยา และวัตถุวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ความแข็งแกร่งของหลิงไป๋ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ ขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น ดังนั้น พอคิดถึงเพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เฉินซีรู้สึกพูดไม่ออก
“ใกล้แล้วล่ะ! แต่หากยอมให้ข้ากินเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มันจะยิ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าที่จะทะลวงข้ามผ่านสองขอบเขตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของข้าในตอนนี้คือกระบี่ไผ่ทองคำนิล ดังนั้นจะพึ่งพาการบ่มเพาะด้วยการหายใจเอาปราณวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องรับการสนับสนุนจากสมบัติหายากบางอย่าง ซึ่งมันก็ยากพอ ๆ กับการขึ้นไปบนสวรรค์”
หลิงไป๋ตอบด้วยรอยยิ้มและไม่ได้แหงนหน้าขึ้นมอง “เอาเป็นว่า ให้ข้ากลืนกินเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้ไหม ข้าจะทะลวงผ่านสองขอบเขตอย่างต่อเนื่องในคราเดียว และความแข็งแกร่งของข้าจะเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติอย่างแน่นอน หากข้าไม่ทรมานผู้ที่รังแกเจ้าจนมันตาย แล้วข้าจะสมควรแก่การที่กลืนกินเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ได้อย่างไร”
“อย่าได้แม้แต่จะคิด!” เฉินซีปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ช่างเป็นเรื่องตลก! เจดีย์บำเพ็ญทุกข์เป็นสมบัติอมตะ แม้ว่ามันจะได้รับความเสียหายและดวงจิตของวัตถุโบราณของมันก็ได้สลายไปแล้ว ตราบใดที่มันได้รับการซ่อมแซม พลังของมันก็สามารถกำจัดสิ่งกีดขวางทั้งหมดได้อย่างแน่นอน
หลิงไป๋เม้มริมฝีปากและพูดอย่างขมขื่น “ดูเหมือนในใจเจ้า ข้าจะเทียบไม่ได้กับสมบัติอมตะที่เสียหายด้วยซ้ำ!”
“ไสหัวไปซะ!” เฉินซีด่าทอด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นสีหน้าของเขาก็จริงจังและเอ่ยถามว่า “จริงสิ ไป๋คุยหายไปไหนแล้ว?”
“โอ้ เจ้าตัวตะกละนั่นน่ะหรือ? เขาออกไปหาอาหารเองได้สักพักแล้ว เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง มันจะกลับมาอย่างแน่นอน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องห่วงไป” หลิงไป๋ชำแหละซากศพของสัตว์อสูรเสร็จแล้ว และเขาก็ใช้แท่งเหล็กเสียบไม้อย่างอดทนก่อนจะส่งต่อให้แก่เฉินซี “รีบย่างเนื้อซะ หากมันกลับมาแล้ว พวกเราจะไม่ได้กินอะไรเลย หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่า ท้องของมันนั้นเป็นดั่งหลุมลึกที่ไร้ก้นบึง!”
เฉินซีกลอกตาไปที่หลิงไป๋ “เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่การเคลื่อนไหวของเฉินซีก็ไม่ได้ชักช้า เขาจุดไฟและทาเครื่องปรุงก่อนที่จะวางแท่งเหล็กที่เสียบเนื้อไว้เหนือกองไฟ และเริ่มย่างเนื้ออย่างชำนาญ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเนื้อเริ่มสุก กลิ่นหอมของมันก็ฟุ้งไปรอบ ๆ และแม้กว่าครึ่งจะถูกยัดเข้าไปในท้องของหลิงไป๋แล้ว แต่ไป๋คุยก็ยังไม่ได้กลับมา
นั่นทำให้เฉินซีหมดความอยากอาหารในทันที และคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน เนื่องจากปกติไป๋คุยจะไม่ออกไปไหนเป็นเวลานานนัก หรือว่าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดบางอย่างขึ้น? ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ญาณศักดิ์สิทธิ์อันมหาศาลก็แพร่กระจายจากร่างกายของเขาไปยังทุกทิศทุกทางทันที
“หืม?” ในขณะที่ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้แผ่ขยายออกไปหลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของเฉินซีก็กลายเป็นเคร่งขรึม และเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นจ้องมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของไป๋คุยอยู่ที่นั่น และยังมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่ดุร้ายเป็นอย่างยิ่งอยู่อีกด้วย
หลังจากเดินทางผ่านภูเขาและป่าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบครึ่งเดือน นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีได้พบกับกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่ดุร้ายเช่นนี้ และกลิ่นอายรุนแรงนั้น ทำให้เขารู้สึกถึงความกลัวที่ก่อขึ้นในใจ
เฉินซีไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป จากนั้นจึงรีบใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานของเขา พาหลิงไป๋พุ่งทะยานราวกับสายฟ้าฟาดไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
สถานที่นี้เป็นภูเขาสูงราวสองลี้ มีต้นไม้สูงตระหง่านหนาแน่นปกคลุมโดยรอบ แต่บนยอดเขากลับแห้งแล้งโดยสิ้นเชิง ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าเลยสักต้น ยิ่งกว่านั้น หินบนภูเขายังมีสีแดงเข้มราวกับเลือด เหมือนว่ามันถูกสร้างขึ้นจากเลือดสด ๆ และกลิ่นอายหนาแน่นที่เปล่งประกายระยิบระยับก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
บนยอดเขา มีสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่มีปีกสีเลือดหกคู่ ใบหน้าที่ดุร้ายและโหดเหี้ยม กรงเล็บทั้งสี่ที่เหมือนใบมีดและตะขอ รูม่านตาสีเขียวหยกแวววาวคู่หนึ่งของมันมีขนาดใหญ่เหมือนระฆังทองแดง อีกทั้งยังเปล่งประกายอันโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนเป็นอย่างยิ่ง
ปีกสีเลือดทั้งหกคู่มีขนาดร้อยยี่สิบจั้ง และปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่ละเอียดและแหลมคม เมื่อมันกางปีกออก ก็ปกคลุมภูเขาไปมากกว่าครึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น บนหัวของมันยังมีตุ่มนูนอยู่คู่หนึ่ง ซึ่งดูเหมือนกับเขาสองข้างกำลังจะงอกออกมา
“ค้างคาวมังกรโลหิตหกปีก!” เมื่อเฉินซีมาถึง หลิงไป๋ที่ยืนบนไหล่ของเขาก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ