บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1760 ปลิดชีพจักรพรรดิ
บทที่ 1760 ปลิดชีพจักรพรรดิ
ภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่วุ่นวาย เฉินซียืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อเปรียบเทียบสองเหตุการณ์นี้ มันสร้างผลกระทบต่อสายตาอย่างมาก
ขณะนี้ เขาไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยด้วยซ้ำ
แต่ในระยะไกล จักรพรรดิเหมี่ยวเฟิงถูกเหยียบย่ำใต้กีบเท้าของกวางขาวตัวใหญ่ที่งดงามเป็นพิเศษ หน้าอกถูกกีบเท้าของกวางขาวขยี้อย่างแรง ทำให้เลือดไหลออกมา และไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้จริง ๆ!
เหตุการณ์นี้ดูน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม
จักรพรรดิผู้ครอบครองพลังที่จะเผาผลาญท้องฟ้า ต้มมหาสมุทรจนแห้งเหือด และพลิกคว่ำโลกา แท้จริงแล้วกลับถูกกวางขาวตัวหนึ่งบดขยี้อยู่ในขณะนี้!
กวางขาวตัวนั้น แน่นอนว่าเป็นมฤควิญญาณขาวจากอารามไท่ชู
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาถูกจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงไล่ล่า เฉินซีได้หักไม้ไผ่ม่วงชิ้นนั้น และมฤควิญญาณขาวก็มาตามที่คาดไว้
มันเร็วกว่าที่เฉินซีคาดไว้ด้วยซ้ำ เนื่องเพราะในขณะที่เฉินซีกำลังเผชิญหน้าและสนทนากับจักรพรรดิเมี่ยวเฟิง มฤควิญญาณขาวก็มาถึงแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีระบุได้ทันทีว่า ความแข็งแกร่งของมฤควิญญาณขาวตัวนี้ เหนือกว่าจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงมาก!
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเฉินซีจึงนิ่งสงบเมื่อเผชิญกับการโจมตีอย่างกะทันหันของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิง
ยามนี้ เมื่อเห็นจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงถูกเหยียบย่ำใต้กีบเท้ามฤควิญญาณขาว จนหน้าอกฉีกขาดหลังจากปะทะกันเพียงครั้งเดียว เฉินซีก็ไม่อาจสงบจิตใจได้อีกต่อไป
เพราะมฤควิญญาณขาวนี้มักดูอบอุ่นและบริสุทธิ์มาก แต่ใครจะคาดคิดว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่มันเผยออกมานั่นจะน่าพรั่นพรึงปานนี้!?
“ไม่น่าแปลกใจเลย ผู้ที่สามารถติดตามเคียงข้างเทพธิดาได้นั้น ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงแม้จะเป็นสัตว์เทวะก็ตาม” เฉินซีทอดถอนใจด้วยอารมณ์อันซับซ้อน…
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่? ดูเหมือนข้าจะไม่เคยทำให้เจ้าขุ่นเคืองเลย!?” จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก
แม้ในช่วงคับขันนี้ แต่เขาก็ยังคงสงบมาก ทว่าวามเจ็บปวดที่เสียดแทงไปทั่วร่างกายนั้น ก็ทำให้ใบหน้าของเขาซีดลงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่าน้ำ เลือดยังไหลรินออกจากหน้าอก ทำให้เขาดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง
“แม้เจ้าจะไม่ได้ทำให้ข้าขุ่นเคือง แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทำร้ายแขกของอารามไท่ชูของข้าได้” เสียงของมฤควิญญาณขาวนั้นอบอุ่นเหมือนที่แล้วมา แต่กีบเท้าของมันยังคงฝังอยู่ในหน้าอกจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงราวกับใบมีดคมกริบ ทำให้มันมีกลิ่นอายที่คุกคามอย่างอธิบายไม่ได้
เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า เด็กน้อยที่เขาต้องการสังหารในครั้งนี้ กลับเป็นแขกของปรมาจารย์แห่งอารามไท่ชูจริง ๆ
หากเขารู้เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ แล้วเขาจะกล้ากระทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
“สหายเต๋า ผู้ไม่รู้ย่อมไม่คิด คราครั้งนี้ข้ากระทำการโดยหุนหันพลันแล่นจริง ๆ และข้ายินดีชดใช้ให้ ข้าเพียงหวังว่าท่านจะปล่อยข้าไปสักครั้ง” หลังจากที่หายจากอาการตกใจ จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงรีบร้องขอความเมตตา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาสามารถเป็นจักรพรรดิได้ เขาจึงต้องเผชิญกับคลื่นลมมานับไม่ถ้วนและคุ้นเคยกับความเป็นความตาย เขาตระหนักดีว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ยืดได้หดได้นั่นจะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ส่วนศักดิ์ศรีเกียรติภูมิอันใดนั้น ล้วนไม่ค่าอันใดเมื่อเผชิญกับความตาย
ก่อนที่มฤควิญญาณขาวจะได้กล่าว เฉินซีก็กล่าวขึ้นว่า “ไว้ชีวิตเขาไม่ได้!”
ขณะที่กล่าว สืบกายพุ่งทะยานไปข้างหน้า และมาถึงข้างกายมฤควิญญาณขาว เมื่อมองลงไปที่จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงซึ่งสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่รู้จบ เฉินซีก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เมื่อเทียบกับความชั่วร้ายที่กองโจรดาราปักษารัตติกาลได้กระทำ เจ้าซึ่งเป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ย่อมมีความผิดมากที่สุด”
จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “น้องชาย ถ้าข้ากระทำอย่างที่เจ้ากล่าวจริง ๆ ข้าคงลงมือเมื่อตอนที่เจ้ากำลังจัดการอีแร้งเนตรมารและคนอื่น ๆ เมื่อครู่นี้ แล้วไฉนข้าถึงต้องรอจนถึงตอนนี้”
เขารีบหายใจเข้าครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ถึงขนาดที่ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่า เจ้าจะไม่สามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดายเป็นแน่แท้ หากข้าลงมือในขณะนั้น”
น่าเสียดายที่เฉินซีไม่เชื่อวาจานี้ เพราะนับตั้งแต่ที่จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงจู่โจมเขาอย่างกะทันหันเมื่อครู่นี้ มันได้พิสูจน์แล้วว่าจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงตั้งใจที่จะสังหารเขาอย่างชัดเจน
“ฮ่า ฮ่า! อย่าหน้าซื่อใจคดมากนัก หากข้าเดาไม่ผิด เหตุผลที่เจ้าไม่ลงมือในตอนนั้น เป็นเพราะเจ้าต้องการยืมมือข้าเพื่อกำจัดกองโจรดาราปักษารัตติกาล”
เฉินซีกล่าวอย่างเย็นชา “เหตุผลที่เจ้าทำเช่นนี้ไม่ใช่ใดอื่น นอกจากเจ้ากังวลว่าพวกมันจะเปิดเผยตัวตนของเจ้า ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจากความอับอายไปชั่วนิรันดร์ และกลายเป็นศัตรูร่วมกันของแดนเทพโบราณทั้งหมด”
จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “น้องชาย งั้นบอกข้าทีว่าทำไมข้าถึงไม่กำจัดพวกมันเมื่อนานมาแล้ว และข้าก็บังเอิญรอจนถึงตอนนี้ เพื่อยืมเมื่อเจ้าสังหารสารเลวพวกนั้น?”
เฉินซีไม่ได้ปกปิดท่าทางเหยียดหยามแต่อย่างใด พลันกล่าวว่า “มันง่ายมาก เจ้าบรรลุเป้าหมายด้วยความมั่งคั่งที่เจ้าได้รับกองโจรดาราปักษารัตติกาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเจ้าชนะการประมูลบรรทัดชะตาเต๋าแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีคุณค่าอีกต่อไป ใช่หรือไม่?”
จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงเงียบไป คราวนี้เขานิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ ทว่าทันใดนั้น เขาหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “จักรพรรดิอย่างข้าจะสนับสนุนกองโจรเพื่อสะสมความมั่งคั่ง เพียงเพื่อจะซื้อสมบัติวิญญาณธรรมชาติเพียงชิ้นเดียวเหรอ? น้องชาย เจ้าไม่ได้ดูถูกข้ามากเกินไปเหรอ?”
“เป็นเพราะเจ้ายากจนเกินไปจริง ๆ การบ่มเพาะของเจ้าตกอยู่ในภาวะคอขวดเมื่อหมื่นปีก่อน และเจ้าติดอยู่ที่ดาวดวงที่สามของขอบเขตมหาราชเทวามาเป็นเวลานานมากแล้ว เพื่อประโยชน์ในการทะลวงขอบเขต เจ้าจึงใช้ทรัพย์สมบัติที่เก็บออมมาตลอดหมื่นปีจนหมดสิ้น และเจ้ายังหยิบยืมสมบัติจำนวนมากจากจักรพรรดิองค์อื่น ๆ และมันเป็นหนี้จำนวนมหาศาล
“เมื่อใดที่จนตรอก แม้แต่จักรพรรดิอย่างเจ้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพึ่งพาวิธีการลึกลับบางประการเพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง” มฤควิญญาณขาวกล่าวขึ้นกะทันหัน ดวงตาที่ลึกล้ำของมันดูเหมือนจะมองเห็นความลับทั้งหมดในหัวใจของจักรพรรดิเมี่ยวเฟิง และทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปทันที ทั้งยังไม่อาจสงบจิตใจได้อีกต่อไป
“เจ้า…. เจ้า….” เขาทั้งประหลาดใจ สับสน และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
“เจ้าอยากรู้ว่าทำไมข้าถึงรู้ทั้งหมดนี้? มันง่ายมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้บ่มเพาะมากมายที่มุ่งหน้าไปยังอารามไท่ชูเพื่อไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ข้า และหลายคนเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า ดังนั้นข้าจึงเคยได้ยินเรื่องเจ้ามาบ้าง” มฤควิญญาณขาวกล่าว
แค่วาจาเหล่านี้เพียงอย่างเดียวก็เหมือนกับฟางเส้นสุดท้าย และทำให้จักรพรรดิเหมี่ยวเฟิงพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง
เขาแผดตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “แล้วถ้าข้าทำมันล่ะ? พวกเจ้าจะเข้าใจจึงความเจ็บปวดที่ไม่สามารถก้าวหน้าได้หรือ? เจ้ารู้ไหมว่าข้าผ่านเวลานับหมื่นปีมาได้อย่างไร?
“เจ้าไม่เข้าใจ!
“หนึ่งในพวกเจ้าเป็นบริวารเต๋าของปรมาจารย์อารามไท่ชู และอีกคนเป็นแขกของปรมาจารย์อารามไท่ชู อุปสรรคใด ๆ ที่เจ้าทั้งสองเผชิญในการบ่มเพาะ ล้วนแต่สามารถคลี่คลายได้ทันที ในขณะที่ข้า… เป็นเพียงผู้ที่ถือกำเนิดบนเกาะนภาเมฆินทร์ ผู้บ่มเพาะอิสระโดยไม่มีนิกายหรือตระกูลใด ๆ แล้วใครจะเป็นผู้ชี้แนะแก่ข้า เมื่อข้าเผชิญกับปัญหาคอขวดในการบ่มเพาะ? ใครจะสามารถช่วยข้าเอาชนะอุปสรรคที่ข้าเผชิญได้”
ยิ่งกล่าวก็ยิ่งช้ำใจ จักรพรรดิเหมี่ยวเฟิงแทบสูญเสียการควบคุมตัวเอง เสียงที่โศกเศร้าและโกรธเกรี้ยวของเขาก็ก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“พวกเจ้าจะเข้าใจความเจ็บปวดและความสูญเสียที่ข้าประสบในช่วงเวลาหมื่นปีนี้ได้อย่างไร? ถ้าข้าไม่พึ่งพาตัวเองเพื่อคว้ามัน แล้วข้าจะครอบครองความสำเร็จในปัจจุบันได้อย่างไร”
มฤควิญญาณขาวนิ่งเงียบ และไม่ได้ขัดจังหวะอีกฝ่าย
เฉินซีหัวเราะอย่างเย็นชาแทน “เจ้ารู้ว่าไม่มีความหวัง ดังนั้นเจ้าจึงร่ำร้องขอความเห็นใจ?”
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น กระบี่เปลื้องมลทินในมือก็เฉือนศีรษะของจักรพรรดิเหมี่ยวเฟิงจนขาด ทำให้เลือดสาดกระเซ็นออกมา ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความโกรธแค้น และยังไม่กล้าเชื่อว่าเฉินซีจะฆ่าตน
“เฉินซี เจ้า….” มฤควิญญาณขาวรู้สึกงุนงง และดูเหมือนมันจะไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซีจะสังหารจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
“จวบจนถึงบัดนี้ ข้าค่อย ๆ ก้าวไปทีละขั้นจากโลกใบเล็กในภพที่ต่ำกว่า และข้าเข้าใจว่าการดิ้นรนเพื่อบางสิ่งบางอย่างดีกว่าเขา มันไม่ใช่การเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจอย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่ใช่เหตุผลที่จะปกปิดความชั่วช้าที่กระทำและร้องขอความเห็นใจ” เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส
ใช่แล้ว ตลอดเส้นทางการบ่มเพาะของเขา เฉินซีอาศัยความหมั่นเพียรและต่อสู้อย่างห้าวหาญโดยตลอด เขาต้องเผชิญกับอันตรายและการต่อสู้นองเลือดมานับไม่ถ้วน เพื่อที่จะย่างกายไปทีละก้าว เพื่อจะบรรลุความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้
ในทางกลับกัน จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงถือกำเกิดในดินแดนเทพโบราณโดยตรง ดังนั้นหากในแง่ของความยากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญ ก็ไม่มีทางจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงจะเทียบเคียงเฉินซีได้
มฤควิญญาณขาวอดไม่ได้ที่จะตะลึง แม้วาจาจะเหล่านี้จะกล่าวไม่ใส่ใจ แต่มันต้องหลั่งเลือดและน้ำตามามากเพียงใด?
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียดายที่จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงได้ทุ่มเงินจนหมดเพื่อประมูลบรรทัดชะตาเต๋าเทวะในห้องประมูลสมุทรทักษิณา เขาไม่มีสมบัติล้ำค่าและหายากอื่น ๆ นอกเหนือจากสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นนี้
หลังจากนั้น มฤควิญญาณขาวก็ไม่ลังเลเลยที่จะพาเฉินซีทะยานไปในอวกาศ
เหตุการณ์ตรงหน้าเขาเปลี่ยนไป จากนั้นชายหนุ่มก็มาถึงป่าไผ่ม่วงที่ปกคลุมไปด้วยหมอก
ดาวสีม่วงบนท้องฟ้าเปล่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ป่าไผ่ม่วงเองก็เงียบสงบและงดงาม ทุกสิ่งเต็มไปด้วยรัศมีที่บริสุทธิ์และสงบสุข
การกลับมาที่สถานที่แห่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกอุ่นใจและสงบ ความกังวลและความคิดที่ฟุ้งซ่านในใจของเขาดูเหมือนจะหายไป
มฤควิญญาณขาวนำทางไปข้างหน้า ในขณะที่มันกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ตอนนี้ท่านอาจารย์ต้องการเพียงวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้ารวบรวมมา ก่อนที่ท่านอาจารย์จะเริ่มกลั่นยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชา”
จิตวิญญาณของเฉินซีสดชื่นขึ้นมาทันที และรู้สึกถึงความหวังอย่างห้ามไม่ได้
ทั้งสองเดินไปตามถนนหินปูน แล้วรีบรุดไปยังอารามอารัมภะ
“เฉินซี เจ้ากลับมาแล้วเหรอ? มอบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ให้กับลู่เอ๋อร์ จากนั้นเจ้าสามารถเริ่มปฏิบัติตามเงื่อนไขประการที่สามได้ จงจำไว้ว่า อย่าได้ให้ใครเข้าไปในอารามขณะที่ข้ากำลังกลั่นยา” ทันทีที่เขาเข้าไปในอาราม เสียงของเทพธิดาก็ดังขึ้นเบา ๆ และน้ำเสียงที่ไม่แยแสของนางก็มีกลิ่นอายที่สง่างามเป็นพิเศษ
นางดูราวกับว่าคาดหวังให้เฉินซีประสบความสำเร็จ
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าคงต้องรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
ขณะที่กล่าว เขาก็วางวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่รวบรวมไว้ในถุงเก็บของ และมอบให้มฤควิญญาณขาว มฤควิญญาณสีขาวคาบถุงไว้ในปาก ก่อนที่มันจะหันหลังกลับ แล้วก้าวยาว ๆ ออกไป
เงื่อนไขประการที่สามที่เขาสัญญาไว้กับเทพธิดานั่น คือการรับหน้าที่เฝ้าอารามไท่ชูเป็นเวลาห้าปี ด้วยคำสั่งของเทพธิดา เขาจะขัดขวางทุกคนไม่ให้เข้าไปในอารามไท่ชู ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม
เฉินซีมุ่งหน้าไปยังป่าไผ่สีม่วงอันกว้างใหญ่นั้นโดยตรง แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น หลังจากนั้น เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และหยิบบรรทัดชะตาเต๋าเทวะออกมา
นี่เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่ไม่ธรรมดา ซึ่งทำให้จักรพรรดิหลายคนต้องเสนอราคาอย่างดุเดือด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ และถ้าจักรพรรดิเมี่ยวเฟิงไม่ได้ใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีจนหมด ก็คงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะชนะการประมูล
ทว่าบัดนี้ สมบัตินี้กลับตกอยู่ในมือของเฉินซีแล้ว เรื่องราวในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน และยากที่จะคาดเดาได้จริง ๆ
โอม~
เฉินซีโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา และทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นแปลก ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวที่เรียบเนียนเหมือนกระจกของบรรทัดชะตาเต๋าเทวะ