บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1761 วานรตาทอง
บทที่ 1761 วานรตาทอง
ประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์และเจิดจรัสโปรยปรายลงมา
บรรทัดชะตาเต๋าเทวะดูเหมือนตื่นขึ้นจากหลับใหล ทั้งยังแผ่ปราณมงคลที่พร่างพราวและพลุ่งพล่าน
ในไม่ช้า แสงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถักทอเข้าหากันและมาบรรจบที่ใจกลางของบรรทัดหยก จากนั้นจึงก่อตัวเป็นร่างของชายตัวเล็กที่น่าตื่นตา ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น พร้อมกับท่องคัมภีร์เต๋าด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมสง่างาม
ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกอย่างชัดเจน ว่าประสาทสัมผัสของเขาที่มีต่อมหาเต๋านั้นกระจ่างขึ้น และโลกทั้งใบก็ดูแตกต่างออกไป
ไผ่ม่วงที่แวววาวราวกับหยก ลำธารใสที่ไหลรินกระจ่าง ไอหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว แม้แต่ดาวสีม่วงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหรือใบไม้ที่ร่วงหล่นกองอยู่บนพื้นล้วนพลุ่งพล่านด้วยกลิ่นอายของเต๋าอย่างลึกซึ้ง
มหาเต๋านั่นไร้ชื่อและปราศจากรูปร่าง มันซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่ง แต่ก็ยากที่จะเข้าใจ
ขณะนี้เฉินซีกลับสามารถสังเกตเห็นร่องรอยของมหาเต๋าได้อย่างชัดเจน แม้กลิ่นอายของเต๋านั้นจะเรียบง่ายและธรรมดามาก แต่ถ้าเป็นในอดีต ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เฉินซีจะ ‘มองเห็น’ มันได้ชัดเจนปานนี้
โอม!
นับตั้งแต่เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทวา มหาเต๋าที่เฉินซีครอบครองนั่นได้แปรสภาพเป็นกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์ พลังนี้เป็นเหมือนอาชาที่พยศและไม่ยอมสยบ ซึ่งเขาต้องอาศัยเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระจึงจะสามารถควบคุมมันได้อย่างไร้ที่ติ
ทว่าในขณะนี้ เฉินซีไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งพวกมันด้วยตัวเองเลย ก่อนที่พลังของกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะอ่อนโยนเหมือนฝูงแกะ พวกมันโคจรในลักษณะที่เป็นระเบียบและเผยความลึกล้ำทุกรูปแบบ ในขณะที่พวกมันเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้งและสาดส่องแสงเต๋าออกมา
ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมโยงที่เป็นเอกลักษณ์ระหว่างแสงเต๋าเหล่านี้กับร่างเล็ก ๆ บนบรรทัดชะตาเต๋าเทวะ และพวกมันก็สอดผสานกันจากระยะไกล
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ความเข้าใจของเขาที่มีต่อกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ยามนี้เขาสังเกตเห็นว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่าเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ในอดีตนั้น กลับสามารถเข้าใจได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น มันแสดงให้เห็นความลึกซึ้งและความจริงทุกประเภทแก่เขาอย่างไม่หยุดยั้ง
“ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้!” เฉินซีอุทานด้วยความประหลาดใจ
“แท้จริงแล้วมันกลับให้ผลเช่นนั้น นี่มหัศจรรย์เกินไปแล้ว! มันเป็นเพียงสมบัติวิญญาณธรรมชาติ แต่ก็มีความสามารถในการอนุมานมหาเต๋า และเผยสัจธรรมของมัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่สมบัติธรรมดา ๆ สามารถเปรียบเทียบได้ และอาจกล่าวได้ว่าหายากด้วยซ้ำ”
ในที่สุดเขาก็มีความเข้าใจ คนตัวเล็กเท่ากำปั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางบรรทัดด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างามและเคร่งขรึมนั่น สามารถอนุมานเต๋าสวรรค์และเปลี่ยนมันให้เป็นรูปธรรม ทำให้เฉินซีสามารถสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงในมหาเต๋าได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจความเป็นจริงและความลึกซึ้งของมัน
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่เฉินซีดูดซับความลึกซึ้งเหล่านี้ มันก็เหมือนกับการหลอมรวมกับฟ้าดินหรือกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมหาเต๋า และเขาสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งเหล่านี้ในลักษณะที่ชัดเจนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในอดีต เฉินซีศึกษามันอย่างอุตสาหะ และเข้าใจมันมากขึ้นก็ต่อเมื่อการบ่มเพาะของตนก้าวหน้า แต่ยามนี้ เขาสามารถมองเห็นแก่นแท้ของมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้าใจอย่างถ่องแท้และหลอมรวมเข้ากับมันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ความเข้าใจของเขาลึกซึ้งยิ่งขึ้น หากเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา!
มันรู้สึกเหมือนกับอักขระที่ซับซ้อนได้เปลี่ยนเป็นอักขระที่เรียบง่ายและชัดเจน มันทำให้ความลับและจุดที่คลุมเครือทั้งหมดไม่มีที่ซ่อน ซึ่งปรากฏชัดต่อหน้าเขา
นี่คือกระบวนการเปลี่ยนความซับซ้อนให้กลายเป็นความเรียบง่าย ซึ่งมหาเต๋านั่น… เป็นสิ่งที่สูงสุดและเรียบง่ายจนถึงขีดจำกัดมาโดยตลอด!
ณ เวลานี้ เฉินซีก็รู้แจ้งในที่สุด “ไม่น่าแปลกใจที่จักรพรรดิเมี่ยวเฟิงต้องเผชิญกับปัญหาคอขวด และไม่อาจบรรลุความก้าวหน้ามานับหมื่นปี ถึงยอมเสี่ยงทุกอย่างและฝากความหวังทั้งหมดไว้กับบรรทัดด้ามนี้”
เพราะสมบัติวิญญาณธรรมชาตินี้มหัศจรรย์เกินไปจริง ๆ และมันเหนือล้ำเกินจินตนาการของเฉินซี
เมื่ออยู่ในความครอบครอง การทำความเข้าใจเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะง่ายขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีต ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถเข้าใจความเป็นจริงและความลึกซึ้งที่แท้จริงของมหาเต๋าได้!
นี่คือสรรพคุณอันลึกซึ้งของบรรทัดชะตาเต๋าเทวะ และนี่คือความแตกต่างระหว่างสมบัติวิญญาณธรรมชาติกับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์อย่างชัดเจน แม้ว่าดูเหมือนมันจะไม่มีความสามารถในการรุก แต่ความสามารถในการอนุมานมหาเต๋าและแสดงความเป็นจริงของมันนั่น ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องปรารถนาในตัวมัน
เฉินซีรู้สึกว่าเมื่อมีบรรทัดชะตาเต๋าเทวะอยู่ในความครอบครองของเขาแล้ว มันจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเขาที่จะทำความเข้าใจต่อมหาเต๋าในภายภาคหน้า และจะทำให้เขาทะลวงความเข้าต่อมหาเต๋าได้ง่ายขึ้น!
……
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เฉินซีเริ่มบ่มเพาะในป่าไผ่ม่วงตามลำพัง ในเวลาเดียวกัน เขารับบทเป็นผู้พิทักษ์ที่ป้องกันไม่ให้ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เข้าไปในอารามไท่ชู
สถานที่แห่งนี้เงียบสงบมาก ต้นไผ่ม่วงส่งเสียงดังกรอบแกรบ น้ำในลำธารส่งเสียงติงตัง ไอหมอกลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ และบริเวณโดยรอบก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ที่สงบเงียบ
มันเหมือนกับสรวงสวรรค์ที่แยกตัวออกจากโลก และไม่มีอยู่ในโลก
เฉินซีสลัดความกังวลใจของเขาไปโดยสิ้นเชิง และเข้าสู่สภาวะที่ไร้กังวลโดยสมบูรณ์ ทำให้สภาพจิตใจของเขาสงบสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เขาเข้าสู่แดนเทพโบราณ เขาก็อยู่ไม่สุขมาโดยตลอด ทั้งถูกไล่ล่าหรือถูกพัดพาเข้าสู่วังวนความขัดแย้งทุกรูปแบบ และไม่เคยได้หยุดพักอย่างสุขสงบเลย
ทว่าตอนนี้ ในที่สุดเขาหยุดพักผ่อนและพักฟื้นได้ ดังนั้นแม้แต่สภาพจิตใจของเขาก็ยังได้รับการบรรเทาด้วยตัวมันเอง ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังคว้าโอกาสนี้เพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและกำหนดเส้นทางสู่เต๋าของเขา ซึ่งนี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการบ่มเพาะในทำนองเดียวกัน
นี่คือความแตกต่างระหว่างการถือกำเนิดและการหลุดพ้น
เมื่อใครหลุดพ้น ย่อมหมายถึงการทำสมาธิ ซึ่งเป็นการสรุปความเข้าใจทั้งหมด ดังนั้นจึงสามารถก้าวต่อไปบนเส้นทางสู่เต๋าได้
กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าใครจะถือกำเนิดหรือหลุดพ้นก็ตาม การบ่มเพาะทั้งสองอย่างก็ได้ผลลัพธ์เดียวกันผ่านวิธีการที่แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะขัดเกลาการบ่มเพาะ ทำความเข้าใจต่อมหาเต๋าทั้งหมด ลับคมเต๋าแห่งกระบี่ของเขา เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ… ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เฉินซีกำลังทำอยู่ตอนนี้
มันไม่น่าเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชีวิตของการบ่มเพาะที่เงียบสงบ และเฉินซีก็พอใจกับมันมาก
ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรยไปตามฤดูกาลที่ผลัดเปลี่ยนไป
สองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับเทพเจ้าที่มีอายุขัยชั่วนิรันดร์ เวลาสองปีก็เป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น และไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับพวกเขาเลย
ตลอดระยะเวลาสองปีนี้ ไม่มีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น และทุกอย่างก็สงบสุขเหมือนเมื่อก่อนนี้
ในทางกลับกัน การบ่มเพาะตลอดสองปีนี้ ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ในทางกลับกัน การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ได้บรรลุถึงระดับสองของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ และอานุภาพของเต๋าแห่งกระบี่ของเขาได้รับการพัฒนามามากกว่าครึ่ง เมื่อเทียบกับในอดีต
สำหรับการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าและการแปรสภาพปราณแท้ แม้ว่าพวกมันจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่พวกมันก็ได้รับการขัดเกลาและเสถียรมากขึ้น ทำให้มันมั่นคงและทรงพลังยิ่งขึ้น
โดยรวมแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อสองปีที่แล้ว พลังบ่มเพาะในปัจจุบันของเฉินซีได้รับการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดอีกครั้ง และไม่สามารถเปรียบเทียบกับอดีตได้เลย
ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลถูกแบ่งออกตามพรสวรรค์โดยกำเนิด ได้แก่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นทั่วไป บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกษัตริย์ บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นราชา บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นจักรพรรดิ และเฉินซีผู้เกินขอบเขตปกติของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ในทางกลับกัน หากในแง่ของความลึกล้ำของการบ่มเพาะ จะถูกแบ่งออกเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง ขั้นสุดยอด และขั้นไร้ที่ติ
สิ่งหนึ่งคือพรสวรรค์โดยกำเนิด ในขณะที่อีกสิ่งหนึ่งคือการบ่มเพาะ และพวกมันไม่สามารถถือว่าเหมือนกันได้
ขณะนี้ เฉินซีอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นต้น แต่พรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาคือบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นมหาราชเทวา และรากฐานที่มั่นคงอย่างยิ่งของเขาก็เพียงพอจะยืนหยัดเหนือผู้ที่มีการบ่มเพาะในขอบเขตเดียวกัน
ในทางกลับกัน การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ที่ระดับสองของขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ การบ่มเพาะในสัจหฤทัยสูตรที่บรรลุการหล่อหลอมครั้งที่สอง และเคล็ดกระบี่ลึกล้ำฤทัยที่เฉินซีครอบครองนั้น เพียงพอสำหรับเขาที่จะดูแคลนทุกคน และครอบครองพลังที่ไม่มีใครเทียบได้!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่เคยเหลือบแลผู้ที่อยู่ในขอบเขตการบ่มเพาะเดียวกัน และเขาสนใจที่จะต่อสู้กับขอบเขตมหาราชเทวา!
หากคนอื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาคงคิดว่าเฉินซีนั่นเสียสติไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่รู้ชัดเจน ว่าเป็นเพราะข้อกำหนดอันโหดร้ายเหล่านี้ที่เขากำหนดให้กับตัวเองมาตลอดเส้นทางการบ่มเพาะ ที่ทำให้เขาสามารถบรรลุความสำเร็จและครอบครองพลังอย่างในปัจจุบันได้
ถ้าเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป เขาคงภูมิใจมาก อย่างไรก็ตาม ประเด็นคืออะไร?
พลัง ณ ยามนี้เป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น
พลังที่แข็งแกร่งขึ้น คือสิ่งที่ผู้บ่มเพาะต้องไล่ตามด้วยความมุ่งมั่น!
…
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ไม่มีร่องรอยความเคลื่อนไหวใด ๆ ภายในอารามไท่ชู ไม่เพียงแค่เทพธิดาเท่านั้น แม้แต่ฮุ่ยฉง มฤควิญญาณขาว และจักรพรรดินีอวี้เชอก็ไม่เคยปรากฏตัว
ทว่าเฉินซีกลับไม่กังวล มันยังเร็วไปและยังเหลือเวลาอีกสามปี เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะได้รู้ว่ายาเม็ดนั่นกลั่นสำเร็จหรือไม่
…
ในวันนี้เฉินซีนั่งสมาธิบนก้อนหินในป่าไผ่ม่วง ทันใดนั้น ร่างสีทองก็กระโจนออกมาจากป่าไผ่ม่วงราวกับว่ามันถูกเหวี่ยงออกมาจากที่นั่น และตกลงตรงเบื้องหน้าเฉินซี
มันคือวานรวิญญาณทอง ดวงตาของมันใสและเป็นสีเข้ม ขณะที่ขนของมันนุ่ม สว่างไสวและเปล่งประกายสีทอง ทุกการเคลื่อนไหวให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติและปราดเปรียว
มันเป็นกังวลเล็กน้อย มันเกาแก้มและหูอย่างวิตกกังวลขณะยืนอยู่ที่นั่นพลางมองดูเฉินซี และดูเหมือนจะลังเลว่าควรจะปลุกเฉินซีให้ตื่นจากการทำสมาธิหรือไม่
“สหายเต๋าเกิดอันใดหรือ?” ทันใดนั้น เฉินซีก็ลืมตาขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นการมาถึงของวานรวิญญาณทองตั้งแต่แรกแล้ว
เฉินซีจำลิงตัวนี้ได้ว่าเป็นวานรตาทอง และมันมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครในโลก มันครอบครองพลังอิทธิฤทธิ์ทุกประเภท ทั้งยังสามารถได้ยินความล้ำลึกของโลก และสังเกตโชคลาภในสภาพแวดล้อมด้วยตาของมัน มันมีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้
ในทางกลับกัน เมื่อมันโกรธ ดวงตาสีเข้มของมันจะเปลี่ยนเป็นสีทองเหมือนสุริยันที่แผดเผา และความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของมันจะเปลี่ยนไปอย่างมาก มันน่าตกใจมาก
เมื่อเขามาถึงอารามไท่ชูเป็นครั้งแรก เล่าไป๋ก็เดาะลิ้นด้วยความชื่นชมและชมเชยลิงตัวนี้อย่างเต็มที่
วานรตาทองยิ้มกว้างจนถึงใบหู เมื่อเห็นเฉินซีตื่นขึ้น มันโบกไม้โบกมือ พลางกล่าวว่า”สหายเต๋า! สหายเต๋า! รีบไปดูซะ! มีแขกมาเยี่ยมท่านอาจารย์”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีแขกมาถึงสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูในช่วงสองปีที่ผ่านมา และตัวตนของทุกคนที่มาถึงที่นี่ล้วนไม่ธรรมดา
ในอดีตมันเป็นมฤควิญญาณขาวที่คอยต้อนรับแขกเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ตอนนี้มันได้ขังตัวเองอยู่หลังประตูที่ปิดสนิทพร้อมกับเทพธิดาองค์นั้น ดังนั้นหน้าที่ดังกล่าวจึงตกไปอยู่ในมือของเฉินซี
“แขกอยู่ไหนรึ?” เฉินซีลุกขึ้นยืนทันทีแล้วกล่าวว่า “ลิงน้อย พาข้าไปที่นั่น”
“เรียกข้าว่าเป่าน้อยก็ได้ นั่นคือสิ่งที่แม่นางฮุ่ยฉงเรียกข้า” วานรตาทองนั้นมีชีวิตชีวามาก มันยิ้มก่อนจะคว้ากิ่งไผ่ม่วง จากนั้นร่างของมันก็สั่นวูบก่อนที่จะกระโจนไกลออกไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ร่างของเฉินซีก็ทะยานวูบทันทีเช่นกัน และเขาติดตามเป่าน้อยไป ด้วยชายหนุ่มสงสัยว่าเป็นผู้ใดที่มาเยี่ยมเยียนกัน
แน่นอนว่า เขาหวังในใจว่าแขกคนนี้คือศิษย์พี่ใหญ่ของเขา อู๋เซวี่ยฉาน….
………………..