บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1765 ตระกูลเส้าเฮ่า
บทที่ 1765 ตระกูลเส้าเฮ่า
ร่มสำริดกางคลุมนภา เจิดจรัสเผยปรากฏการณ์ลึกล้ำสารพัน ยิ่งใหญ่เกินหยั่งวัด
สมบัติชิ้นนี้เลิศล้ำอย่างยิ่ง มันสามารถกำจัดสายฟ้าลงทัณฑ์จากเนตรทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างง่ายดาย ท้าทายสวรรค์โดยแท้
เปรี๊ยะ!
อัสนีอีกสายฟาดลงด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่า ทำให้ฟ้าดินหม่นแสง กระทั่งมิติยังไม่อาจขวางกั้น
ทว่ามันก็ถูกร่มสำริดกำจัดไปในพริบตา หนึ่งคลื่นลวงตากระเพื่อมบนพื้นผิวร่ม แม้จะเผชิญหน้าเหตุเช่นนี้ มันก็ยังคงนิ่งสงบ
ตู้ม!
ขณะนี้เนตรทัณฑ์สวรรค์ดุจถูกยั่วโมโห อัสนีไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านจากภายใน แปรเปลี่ยนเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาสีเทาทึบหลายต่อหลายเส้นสาดซัดผ่านมิติลงมา
ดุจกรงขังมหาเต๋าโรยลง!
เฉินซีเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วในสามภพ ขณะนั้น ในทะเลทรายเนตรสวรรค์ หากศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่และศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่ามาถึงไม่ทัน เฉินซีก็อาจมีอันเป็นไปในวันนั้นแล้ว
ทว่าเมื่อเทียบกับกาลก่อน สายฟ้าลงทัณฑ์ในขณะนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่า พันธนาการนี้ดุจขุมนรกอันถักทอด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชามากมายอันก่อจากสายฟ้าลงทัณฑ์ ดูน่ากลัวประหนึ่งจะล่ามโลกทั้งใบโดยแท้
วิ้ง!
ขณะเดียวกัน ร่มสำริดเริ่มหมุนวน สายปราณโกลาหลอันเก่าแก่พลันพวยพุ่งจากมัน ก่อวังวนโกลาหลขึ้น
หนึ่งเหตุชวนตะลึงบังเกิด กรงมหาเต๋าถูกวังวนนั้นดูดเข้าไป แหลกสลายพังทลายลงพร้อมเสียงครืนโครมสนั่นลั่นอย่างต่อเนื่อง
เฉินซีอดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ มันต้องมีอำนาจท้าทายสวรรค์เพียงใดจึงสามารถทำเช่นนี้?
“ร่มรวนชะตาสวรรค์!” ในที่สุดเยี่ยเหยียนก็เหมือนจะยืนยันได้ และอุทานออกมาอย่างตกใจ
เปรี้ยง!
พริบตานั้นเอง กรงมหาเต๋าก็ถูกป่นทำลายอย่างสมบูรณ์ ขณะที่ร่มสำริดแค่สั่นรุนแรงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับสู่สภาวะปกติ
ทว่าก่อนที่เฉินซีจะทันถอนหายใจโล่งอก เมฆลงทัณฑ์ทมิฬบนท้องฟ้าก็ยิ่งทวีความหนาดำคล้ำเข้ม และเนตรทัณฑ์สวรรค์ก็ยิ่งดำทะมึนชวนหวาดผวา
มันเหมือนจะบันดาลโทสะ สั่งสมกำลังตั้งใจจะขยี้ร่มสำริดให้สิ้น
“แม่หนูน้อย ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้เจ้าจัดการ” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงอันยิ่งใหญ่ทรงอำนาจก็ดังขึ้นในฟ้าดิน ซึ่งก็คือเสียงของเทพธิดา
เสียงของนางยังไม่ทันสิ้น ร่มสำริดก็พับตัวเองเก็บ หายไปจากบนฟ้าเหนืออารามไท่ชูอย่างเฉียบพลัน
เฉินซีผงะไปทันที นั่นมันเนตรทัณฑ์สวรรค์ แต่นางกลับอุ่นใจจนเก็บร่มไป? หรือนางจะคิดว่าแค่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลหนึ่งคนอย่างเยี่ยเหยียนจะเพียงพอสกัดเรื่องทั้งหมดนี้ได้?
“ฮึ!” เยี่ยเหยียนเหมือนอ่านความคิดเฉินซีออก และอดแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้
อึดใจต่อมา มือเรียวขาวของนางก็เคลื่อนขยับ ยันต์ลึกลับสีดำชิ้นหนึ่งทะยานสู่เวหา แผ่ปราณยิ่งใหญ่อันคลุมเครือน่าสะพรึงกลัว
มันดูเล็กจ้อยไม่สลักสำคัญ ทว่าทันทีที่มันปรากฏ เนตรทัณฑ์สวรรค์พลันสั่นสะท้านและหยุดทุกการกระทำลง
เปรี้ยง!
ไม่นานนัก เมฆลงทัณฑ์บนท้องฟ้าก็ระเบิดเปรี้ยง กลายเป็นซากเมฆาทมิฬน้อยใหญ่สลายไปรอบ ๆ ขณะเดียวกัน เนตรทัณฑ์สวรรค์ก็หายวับไป ไม่อาจหาพบได้อีก
“เฮือก!” เฉินซีอดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ ยันต์สีดำนั่นคือสิ่งใดแน่? มันหยุดทัณฑ์สวรรค์ได้ด้วยหรือ?
ชายหนุ่มตกตะลึงอีกครั้ง
“ฮึ!” เยี่ยเหยียนแค่นเสียงเย็น แต่หนนี้เต็มไปด้วยความย่ามใจ เหมือนกำลังล้อเลียนเฉินซีที่ไม่รู้ประสา
“น่าเสียดาย” แต่ไม่นาน นางก็ขมวดคิ้ว ดวงตาปรากฏเค้าความเสียดาย เห็นได้ชัดว่าการเสียยันต์สีดำลึกลับนั้นไปก็เป็นเรื่องแสนเจ็บปวดสำหรับนางเช่นกัน
…
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น ก็กล่าวได้ว่าเยี่ยเหยียนมีส่วนช่วยผ่านทัณฑ์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทำให้เทพธิดาไม่ต้องแบ่งสมาธิรับมือมัน
สิ่งนี้ทำให้ยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชาเลี่ยงการถูกทัณฑ์สวรรค์ทำลายลงไปได้สำเร็จ
ทำให้เฉินซีเปลี่ยนมุมมองต่อเยี่ยเหยียนอย่างมหาศาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยกโทษให้นางอย่างสมบูรณ์
เฉินซีจะไม่ลืมว่าสตรีผู้นี้เคยไล่ล่าข้ามจักรวาล แค่เพื่อจะกำจัดตน
แล้วเฉินซีจะลืมความแค้นในทันทีได้อย่างไร?
เมฆลงทัณฑ์สลายตัว เนตรทัณฑ์สวรรค์สาบสูญ ท้องนภาคืนสู่สีฟ้าสว่าง ยิ่งกว่านั้นหมู่ดาราสีม่วงกลางฟ้ายังเรืองรัศมีม่วงอ่อน
“หากไร้สิ่งใดเกินคาด การหลอมโอสถจะสำเร็จในสามปีจากนี้ เฉินซี จำไว้ว่าห้ามให้ผู้ใดเหยียบย่างเข้ามาในอารามไท่ชู หากประสบปัญหายากรับมือ ก็ขอให้เป่าน้อยจัดการได้” เสียงของเทพธิดาพลันลอยออกมา ก่อนจะคืนสู่ความเงียบงันไปอีกครั้ง
เฉินซีกุมกำปั้นคารวะอย่างเงียบเชียบ แสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว
“ผู้ใดคือเป่าน้อย?” เป็นเยี่ยเหยียนที่งุนงง
วูบ!
เงาร่างสีทองปรากฏขึ้นบนไผ่ทองต้นหนึ่ง พลางฉีกยิ้มให้ “แม่นางท่านนี้ เรียกเป่าน้อยทำไมหรือ?”
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าวานรเน่านี่!” เยี่ยเหยียนเดือดดาลทันทีที่พบว่าเป็นวานรซึ่งแอบมองนางเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพุ่งเข้าไปหมายจับตัวเป่าน้อยทันที
วูบ!
น่าเสียดาย นางเพิ่งเริ่มขยับ เป่าน้อยก็หายลับไร้ร่องรอยดุจภูตพราย
“วานรสมควรตายนั่น!” เยี่ยเหยียนหงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ ตระหนักดีว่านางไม่มีท่างไล่ตามเจ้าสัตว์แสนกลตัวจ้อยนั่นได้ทัน
ทว่าเหตุนี้กลับทำให้เฉินซีจมในภวังค์ความคิด และพินิจเป่าน้อยอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
“แย่แล้ว! แย่แล้ว! มีแขกมาอีกแล้ว!” เพียงพริบตา เป่าน้อยก็กลับมาพร้อมตะโกนโหวกเหวก “เฉินซี เจ้ารีบไปดูเร็ว เจ้านั่นวางท่าใหญ่โตมาก เหยียบย่างบนเมฆมงคล ติดตามด้วยอสูรนภาร้อยตน น่ากลัวมาก”
หืม? เยี่ยเหยียนผงะไป นางเหมือนจะเดาบางอย่างได้ ทำให้สีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจสงสัย “หรือจะเป็นเขา?”
“ผู้ใด?” เฉินซีซึ่งกำลังจะมุ่งหน้าไปได้ยินเข้า จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
ขณะนี้เยี่ยเหยียนเหมือนหมดอารมณ์มาต่อปากต่อคำ สีหน้าของนางพิกลเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวตัดบท “ไปดูกันก่อนเถอะ”
“เป่าน้อย เจ้านำทาง” เฉินซีเหลือบมองเยี่ยเหยียนแล้วหยุดลังเล
“ตามข้ามา” เป่าน้อยแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองพุ่งสู่ส่วนลึกของป่าไผ่ม่วงอย่างรวดเร็ว
เฉินซีและเยี่ยเหยียนตามเป่าน้อยไปทันที
ทว่าขณะที่ยังไปไม่ถึง จู่ ๆ เป่าน้อยก็หยุดเคลื่อนไหว นั่งลงบนก้อนหินข้างทาง เกาหูเกาแก้มเอ่ยขึ้น “เหตุใดเจ้านั่นจึงมาโดยไม่ได้รับเชิญกัน? หยาบคายยิ่งนัก”
เฉินซีและเยี่ยเหยียนผงะไป ก่อนจะหยุดเคลื่อนไหวเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่เสียงของวิหคเพียงหนึ่ง เพราะบ้างกระจ่างใส บ้างทุ้มต่ำ บ้างเสียดแหลม บ้างหนักแน่น พวกมันดังขึ้นในขณะเดียวกันดุจหมื่นวิหคคำนับปักษาเพลิง เป็นภาพยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
อสูรนภาบางตนซึ่งอยู่ในป่าไผ่ม่วงยังถูกชักนำให้ร้องประสานตามไปด้วย
เห็นเช่นนี้ ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ชอบใจเหตุการณ์ที่เห็นเล็กน้อยเพราะมันเอะอะเกินไป และเป็นเรื่องเกินอภัยหากไปรบกวนการหลอมโอสถของเทพธิดาในอารามไท่ชูเข้า
“เป็นเขาจริง ๆ ด้วย!” ใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ของเยี่ยเหยียนดำคล้ำ เย็นชาและไร้อารมณ์ขึ้นมาทันที
ในที่สุดเฉินซีก็เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งทะยานมาจากฟ้าแสนไกล แปรเปลี่ยนเป็นชายผู้หล่อเหลาโดดเด่นคนหนึ่ง
คนผู้นั้นสวมอาภรณ์สีทอง ครอบมงกุฎขนนก รูปลักษณ์หล่อเหลา ริมฝีปากแดง ซี่ฟันขาว สองมือไพล่หลัง เผยบรรยากาศเรียบง่ายสง่างาม
นอกจากนั้น รอบกายยังรายล้อมด้วยวิหคศักดิ์สิทธิ์นานา มีทั้งวิหคเพลิงนภา นางแอ่น กระเรียนขาว นกขมิ้น…. พวกมันล้วนเป็นวิหคมงคลสูงส่ง ดุจฝูงปักษาคารวะวิหคเพลิง ทำให้บรรยากาศของชายชุดทองยิ่งดูเลิศล้ำ
ทว่าเฉินซีกลับขมวดคิ้ว บรรยากาศของคนผู้นี้ดูยิ่งใหญ่ เจิดจรัสและเป็นมงคล แต่กลับสังเกตเค้าความชั่วร้ายจากมันได้
“ฮ่า ๆ ๆ! แม่นางเยี่ยเหยียน ที่แท้เจ้าก็มาถึงก่อนแล้ว” ชายผู้นั้นสาวเท้าเข้ามาหัวเราะร่าให้เยี่ยเหยียน ประหนึ่งสุดแสนดีใจ เมินเฉินซีไปอย่างสิ้นเชิง
“คุณชายผู้นี้อดเป็นกังวลมิได้น่ะสิ หากเรื่องสำคัญเช่นนี้ลุล่วง ตระกูลเยี่ยของเจ้า ตระกูลเส้าเฮ่าของเรา และนิกายอำนาจเทวะก็จะเป็นหนึ่งครอบครัวใหญ่นะ” ชายชุดทองยังคงเมินเฉยท่าทีเย็นชาของนาง สองมือไพล่หลังเสสรวล กล่าวขึ้นช้า ๆ “อีกอย่าง นี่คืองานแต่งระหว่างน้องสาวของเจ้าและคุณชายผู้นี้ แล้วข้าจะให้พี่สาวของนางลำบากได้อย่างไร ข้าย่อมต้องมาจัดการกับมันเองอยู่แล้ว”
แต่งงาน? เฉินซีคิดในใจ หรือเจ้านี่คิดจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับฮุ่ยฉง?
“เจ้าไม่เชื่อใจข้าหรือ?” สีหน้าของเยี่ยเหยียนยิ่งเกินรับ
ชายชุดทองระเบิดหัวเราะขึ้นอีกครั้ง เดินเข้าไปหาเยี่ยเหยียนก่อนจะเชยคางนางขึ้นอย่างสนิทสนม มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ ขณะกล่าวช้า ๆ อย่างรักใคร่ลึกล้ำ “เยี่ยเหยียน เดิมทีคุณชายผู้นี้ตั้งใจจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธ คราวนี้… หรือเจ้าจะคิดแทรกแซงการแต่งงานของน้องสาวเจ้าอีก? มันจะเกินไปหน่อยนะ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน แต่กลับแฝงด้วยคำเตือนแผ่วบาง เมื่อผนวกกับท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ยมากตัณหา สีหน้าของเยี่ยเหยียนก็แย่ลงอย่างสมบูรณ์
แต่สุดท้าย นางก็สูดหายใจลึก ๆ แล้วออกแรงปัดมือของอีกฝ่ายให้พ้นตัว กล่าวเสียงเย็นขณะสะกดโทสะในอก “เส้าเฮ่าอวี่ ชักจะเหิมเกริมไปแล้วนะ!”
“เหิมเกริม? เดิมทีคุณชายผู้นี้ตั้งใจจะรับทั้งเจ้าและน้องสาวเจ้าเป็นภรรยา แต่ข้าในยามนี้แต่งงานกับเพียงน้องสาวเจ้า นี่ถือว่าเหิมเกริมได้ด้วยหรือ?” เส้าเฮ่าอวี่ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง แล้วเดินต่อไป “เข้าพบนายท่านแห่งอารามกับคุณชายผู้นี้สิ ว่าไปแล้ว ข้าก็ไม่ได้พบฮุ่ยฉงมาหลายปี สงสัยจริงว่าแม่หนูนั่นจะงามเช่นเจ้าในยามนี้หรือไม่ ตั้งตารออยู่ทีเดียวล่ะ”