บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1769 วานรอสูร
บทที่ 1769 วานรอสูร
โครม!
แม้จักรพรรดิเซวี่ยอิ่งจะเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ทว่าในตอนนี้ เขากลับถูกฟาดด้วยกระบองเหล็กขนาดยาวสิบสองฉื่อจนร่างซวนเซกลางอากาศโดยฉับพลัน
สีหน้าของเขาแปรผันไปในทันที
ท่ามกลางช่วงเวลานั้น แม้แต่เฉินซี เยี่ยเหยียน จักรพรรดิคุนมู่ และเส้าเฮ่าอวี่ก็ยังตกตะลึง
ทั้งที่เป็นถึงจักรพรรดิ แต่กลับพ่ายให้การโจมตีด้วยกระบองเหล็กเพียงครั้งเดียวนี้อย่างนั้นหรือ?
พลังที่ซ่อนอยู่ภายใต้การโจมตีนี้รุนแรงเพียงไหนกัน?
ฉับพลันนั้นเอง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นอย่างชัดเจน ว่าผู้ที่เหวี่ยงกระบองเหล็กท่อนนั้น จริง ๆ แล้วก็คือลิงตัวหนึ่งที่มีขนเป็นประกายภายใต้รูปลักษณ์ที่ดูเฉลียวฉลาดและมีชีวิตชีวา วานรตาทอง เป่าน้อยนั่นเอง
ตอนนั้นเขาเหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังยิ่งกว่าสิ่งใด มือข้างหนึ่งของเขาถือกระบองเหล็กในขณะที่อีกข้างเท้าสะเอวเอาไว้ รอยยิ้มของเขาเบ่งบานขณะที่คำรามใส่เส้าเฮ่าอวี่เสียงโฮกฮาก “เจ้าหนู นี่ข้า บรรพบุรุษ ยังสั่งสอนเจ้าไม่พออีกหรือ?”
จักรพรรดิคุนมู่และจักรพรรดิเซวี่ยอิ่งลอบสบตากัน พวกเขาทั้งสองตระหนักดีว่าวานรตาทองตัวนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีทางเดียวที่พวกเขาจะจัดการอีกฝ่ายได้ นั่นก็คือการบุกเข้าไปโจมตีพร้อมกัน
“ตายซะ!”
“เราต้องจัดการกับลิงตัวนี้ก่อน!”
เมื่อจักรพรรดิทั้งสองเปิดการโจมตีพร้อมกัน บรรยากาศโดยรอบก็พลันตกภายใต้ความมืดมิด ห้วงมิติทั้งหลายกลืนกลับสู่ความโกลาหลครั้งใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้น รัศมีที่น่าพรั่นพรึงเกินกว่าจะพรรณนายังปกคลุมไปทั่วบริเวณอย่างขนัดแน่น เป็นสภาวะที่ชวนให้อกสั่นขวัญแขวนอย่างยิ่ง
ตึง!
จักรพรรดิคุนมู่สะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันนั้น เถาวัลย์สีดำจำนวนมากก็งอกออกมาจากภายในชั้นบรรยากาศอย่างบ้าคลั่ง พวกมันเหยียดยืดก่อนจะบิดเข้าหากันราวกับแส้ที่ตกลงมาจากสวรรค์ การเคลื่อนไหวที่ดุเดือดของมันฟาดลงยังร่างของเป่าน้อยอย่างรุนแรง
สิ่งนี้คือเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่ากระบวนท่าเถาวัลย์มายาเต๋าแห่งวิญญาณ ซึ่งเป็นวิชาที่ตกทอดภายในตระกูลโกวหมาง เมื่อเถาวัลย์สีดำสัมผัสกับร่างกายไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด พวกมันจะดูดซับวิญญาณ พลัง และแก่นแท้ภายในร่างกายของคนผู้นั้นอย่างดุเดือด แม้แต่วิญญาณเองยังไม่อาจหลีกพ้น เป็นพลังนี่ชวนให้ขยาดยิ่ง
แกร๊ง!
เมื่อเฉินซีและเยี่ยเหยียนเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็ต้องหลบเลี่ยงไปโดยสัญชาตญาณ พลังโจมตีนี้น่ากลัวเกินไป เกินกว่าที่ความสามารถที่มีตอนนี้จะเพียงพอในการต้านทาน
ตอนนั้นเอง เฉินซีรู้สึกเป็นห่วงเป่าน้อยขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้ เฉินซีเข้าใจว่าเจ้าเป่าน้อยดำรงอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้ว การที่อีกฝ่ายจัดการจักรพรรดิเซวี่ยอิ่งด้วยกระบองเหล็กเพียงท่อนเดียวคงไม่ทำให้เขาประหลาดใจได้ถึงเพียงนี้
ทว่าในยามนี้ เป่าน้อยจะเผชิญหน้ากับการโจมตีที่เต็มกำลังของจักรพรรดิทั้งสองได้อย่างไร?
ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม มันเวลาเดียวกับที่เขาตัดสินใจว่าจะเข้าสู่การต่อสู้เพื่อยืนหยัดอย่างสิ้นหวังเคียงข้างเป่าน้อย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย จู่ ๆ ขนบนร่างกายของเป่าน้อยก็ลุกชัน
โฮก!
เป่าน้อยกระแทกเสียงคำรามซึ่งสั่นสะท้านไปทั้งฟ้าดิน ฉับพลัน ร่างเล็ก ๆ แสนปราดเปรียวก็เปล่งประกายไปด้วยลำแสงสีทองอร่าม
เพียงพริบตา ร่างกายเล็กจ้อยนั่นก็ขยายตัวจนสูงขึ้นราว ๆ ร้อยจั้ง หัวและแขนงอกออกมาเป็นสามหัวหกแขน ไม่เพียงเท่านั้น ขนทั่วร่างกายเปล่งแสงสีทองเจิดจ้า กล้ามเนื้อมัดแล้วมัดเล่าค่อย ๆ พองตัวขึ้นราวก้อนหิน ทั่วทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวราวสัตว์พิศวง
เป่าน้อยบัดนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เขาเหมือนกับวานรเทพในยุคบรรพกาลที่หลุดพ้นมาสู่กาลปัจจุบัน เป็นพลังที่น่าเกรงขามอย่างถึงขีดสุด
สิ่งที่น่าตกใจที่สุด ก็คือระดับการบ่มเพาะของเป่าน้อยได้เข้าสู่ขอบเขตมหาราชเทวาอย่างรวดเร็ว!
มันเป็นสถานการณ์ที่ยากเกินกว่าจะอธิบายให้จบสิ้นในเวลาอันสั้น หากกลับเกิดขึ้นบนความรวดเร็วที่เกินจะตามทัน
ท่ามกลางเสียงคำรามกรรโชก กระบองเหล็กในมือของเป่าน้อยใหญ่โตขึ้นราวกับเสาที่มีไว้เพื่อค้ำฟ้าดิน มันเหวี่ยงไปยังการโจมตีที่พุ่งเข้ามาด้วยความรุนแรง เป็นการโจมตีที่ดุร้าย หากก็เถรตรงอย่างยิ่ง
ตู้ม!
ตู้ม!
แรงระเบิดที่มาพร้อมกับเสียงดังตึงปะทุขึ้น เถาวัลย์สีดำที่ปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าถูกกระแทกอย่างแรงให้แตกเป็นเศษเสี่ยงก่อนจะกระจายไปตามสายลมรอบ ๆ
อีกด้านหนึ่ง แสงกระบี่สีแดงเลือดส่งเสียงกึกก้องก่อนจะสลายเป็นผุยผงราวแก้วแสนเปราะบาง ธุลีของมันโปรยปรายราวสายฝนที่ตกสู้พื้นดินโดยรอบ
เฉินซีรู้สึกงุนงงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่น้อย หัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรงไปกับมัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเหล่าไป๋จึงบอกว่าวานรตาทองเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่เอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่แท้พวกมันก็เป็นสัตว์ประหลาดชวนพิศวง!
เยี่ยเหยียนเผลอลืมหายใจไปชั่วขณะ นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าลิงตัวเหม็นจอมถ้ำมองจะกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายและแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
“ฆ่ามัน! ฆ่ามันซะ!” เส้าเฮ่าอวี่ทั้งโกรธและตกใจในเวลาเดียวกัน เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงในใจของตนนั้นโกรธเกรี้ยวหรือหวาดกลัวกันแน่ หากเขาก็เลือกที่จะคำรามออกไปราวคนเสียสติ
จักรพรรดิคุนมู่และจักรพรรดิเซวี่ยอิ่งตระหนักดีโดยไม่จำเป็นต้องให้เส้าเฮ่าอวี่เตือน ว่าพวกเขาไม่มีทางจะทำอะไรลิงตัวนี้ได้หากไม่ทุ่มการโจมตีอย่างเต็มกำลัง
ฟึ่บ!
จักรพรรดิคุนมู่สร้างผนึกที่แสนลึกล้ำขึ้นบนฝ่ามือ ภาพของพฤกษาพรรณที่สูงตระหง่านสะท้อนออกมาจากร่างกาย มันเปล่งประกายไปด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ ใบที่เขียวขจีเป็นประกายระยับราวเกลียวแห่งโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่แกว่งไกวจากแดนสวรรค์
ภาพของต้นไม้นี้คือร่างต้นกำเนิดของเทพแรกกำเนิดโกวหมาง ทุกกิ่งก้านสาขาของมันเปี่ยมไปด้วยพลังที่สามารถบดขยี้เต๋าทั้งหลายและทำลายล้างโลกได้
วิ้ง!
แสงแดงฉานกระจายขึ้นไปบนท้องฟ้าจากร่างของจักรพรรดิเซวี่ยอิ่ง มันในบัดนี้ราวกับได้กลายร่างเป็นมหาสมุทรสีเลือด ไม่เพียงเท่านั้น รอบ ๆ กายยังปรากฏซึ่งแสงจากสายฟ้าสีเงินขาวที่กะพริบพร่าง ชั่วขณะหนึ่ง สายฟ้านั้นก็วิ่งตรงเข้าไปโอบล้อมกระบี่ที่อยู่ในมือ
ฉับพลัน กระบี่เล่มดังกล่าวคล้ายตื่นขึ้นจากการหลับใหลอันยาวนาน พลังของมันปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุด สีแดงอย่างโลหิตนั้นก็เจือจางลงและกลายเป็นสีเงินวาวราบกับทองคำขาว รัศมีที่ส่องสว่างไปรอบ ๆ เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่ทำให้ทั้งแผ่นดินสั่นสะเทือน
สิ่งนี้คือวิชาสัประยุทธ์หิรัณยเทพ! พลังสังหารของมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนบนสากลโลก มันเป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงซึ่งสืบทอดมาจากเทพทองรู่โซวซึ่งมีพลังเหลือคณานับ
แน่นอนว่าเมื่อจักรพรรดิทั้งสองทุ่มการโจมตีอย่างสุดกำลัง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมไม่ธรรมดายิ่ง
ทันใดนั้น ข้อจำกัดภายในสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูก็ตื่นขึ้นสู่ความตระหนก ดวงดาวสีม่วงบนท้องฟ้าเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างพร่างพราว
เหมือนกับน้ำตกสีม่วงที่ไหลลงมาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
ฉับพลัน สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจก็อุบัติขึ้น พลังของข้อจำกัดนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ในการต้านทานคลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นจากการโจมตีอย่างครั้งก่อนหน้า หากแต่มันกลับก่อตัวเป็นเจตจำนงและไหลเข้าไปในร่างกายของวานรตาทองเป่าน้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลให้รัศมีอันสง่างามของเจ้าลิงร่างยักษ์ปะทุออกมาอย่างไร้สิ้นสุด เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่เหี้ยมเกรียมและองอาจ ราวกับว่าตราบใดที่เป่าน้อยต้องการ เขาก็สามารถบดขยี้ฟ้าดินลงไปแทบจะในทันที!
ประหนึ่งว่าเป่าน้อยนั้นได้กลายเป็นนายแห่งสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูไปโดยสมบูรณ์ ข้อจำกัดและพลังทั้งหลายที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน
โครม!
ราวกับว่าเขาจะสามารถกวาดล้างโลกได้อย่างไรอย่างนั้น
เหตุการณ์นี้น่าประหวั่นเกินไป มันทำให้ทั้งจักรพรรดิคุนมู่และจักรพรรดิเซวี่ยอิ่งต่างก็ตกใจเสียจนมุมปากกระตุก เจ้าสัตว์ต่ำต้อยเหตุใดจึงน่ากลัวเพียงนี้? ขณะที่จักรพรรดิเซวี่ยอิ่งตั้งใจจะเบี่ยงกระบี่เพื่อหลบการโจมตี เป่าน้อยก็กระโจนผ่านอากาศและฟาดกระบองเหล็กลงมาอีกครั้ง
มันเป็นการโจมตีที่เรียบง่าย หยาบกระด้างและดุดัน ทว่ารัศมีของมันกลับสะเทือนขวัญไปทั่วแผ่นดิน
โครม!
เพียงการฟาดกระบองครั้งเดียว กระบี่ที่อยู่ในมือของจักรพรรดิเซวี่ยอิงก็แตกเป็นเสี่ยง มันส่งเสียงครวญครางโหยหวนในขณะที่จักรพรรดิเซวี่ยอิ่งเองก็ปะทะเข้ากับการโจมตีที่รุนแรงนั้นจนเลือดพุ่งกบปาก กระแทกลงกับพื้นดังโครมไม่ต่างดาวที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้า
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเทพธิดาจึงได้บอกให้ข้าขอความช่วยเหลือเป่าน้อยหากประสบกับเภทภัย ที่แท้ลิงตัวนี้ก็สามารถใช้พลังของข้อจำกัดที่มีอยู่ในสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูทั้งหมดได้… ในที่สุดเฉินซีก็กระจ่างแจ้ง แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความประหลาดใจขณะที่เฝ้าดูเป่าน้อยแสดงความกล้าหาญอันไร้เทียมทานออกมา
สำหรับเยี่ยเหยียนนั้น นางตาค้างจนพูดไม่ออกไปนานแล้ว
“กล้าดียังไง เจ้าสัตว์เดรัจฉาน!” หัวใจของจักรพรรดิคุนมู่สั่นไหว ดวงตาแผดผลาญด้วยไฟโทสะในขณะที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิเซวี่ยอิ่ง
ร่างของจักรพรรดิคุนมู่ชาวาบครั้นสัมผัสได้ถึงอันตราย เขาไม่สนใจที่จะให้การช่วยเหลือจักรพรรดิเซวี่ยอิ่งอีกต่อไปแล้ว ฉับพลันนั้น เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นลำแสงด้วยความตั้งใจที่จะท่องออกไปในอวกาศและหลีกเลี่ยงการโจมตีที่จะเกิดขึ้น
กระนั้นเพียงขณะหนึ่ง ร่างของเขาก็ต้องแข็งทื่อ ห้วงมิติโดยรอบกลายเป็นเหมือนปราการอันแข็งแกร่งกักขังเขาเอาไว้!
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันนี้ทำให้จักรพรรดิคุนมู่หวาดผวากระทั่งวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
บัดซบ! เสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นในใจ พลังทั้งหลายถูกโคจรไปด้วยร่างกายด้วยพยายามจะเสาะแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อจะหลบเร้น
ตึง!
ตอนนั้นเอง กระบองเหล็กของเป่าน้อยก็พุ่งผ่านท้องฟ้าและหยุดตรงหน้าเขา แม้ว่าจักรพรรดิคุนมู่จะพยายามใช้เคล็ดวิชาใดก็ตามเพื่อปัดป้องมันให้พ้นตัว แต่การปะทะที่เกิดขึ้นนั้นกลับทำให้กระดูกสั่นสะท้านแตกหัก เลือดแดงฉานไหลออกจากทั่วทุกอณูร่างกาย
หลังจากนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นพับคล้ายไม่อาจแข็งขืนต้านทาน
ในพริบตา จักรพรรดิทั้งสองต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาถูกกระบองเหล็กบดขยี้จนสิ้นสภาพ!
เหตุนี้นับว่าเป็นเหตุการณ์อันน่าทึ่งซึ่งทำให้คนทั้งโลกต้องตกตะลึง เป็นไปไม่ได้เลยที่วานรตาทองจะมีพลังอันชั่วร้ายถึงเพียงนี้
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะนึกประหลาดใจ เป่าน้อยน่าเกรงขามเกินไป ถึงขนาดที่ไม่สามารถนึกภาพของลิงตัวน้อยแสนปราดเปรียวที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นวานรยักษ์จอมดุดันเช่นนี้ได้
พลังที่ถูกปลุกขึ้นมานั้นแตกต่างไปจากเดิมจนเฉินซีสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ส่วนเยี่ยเหยียนนั้น… นางยังคงตกตะลึง…
“เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”
ตอนนี้เองเส้าเฮ่าอวี่แทบจะสิ้นสติด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า จิตใจราวกับพังทลายลงไปอย่างสมบูรณ์
นั่นคือจักรพรรดิถึงสองคนเชียวนะ! เหตุใดจึงได้ถูกลิงต้อยต่ำตัวหนึ่งบดขยี้!?
หากข่าวนี้แพร่งพรายออกไป คงจะไม่มีผู้ใดเชื่ออย่างแน่นอน
“เจ้าหนู!” เป่าน้อยชี้กระบองเหล็กไปยังร่างเส้าเฮ่าอวี่ “ข้าบรรพชนเจ้าไม่ได้เตือนเจ้าก่อนที่จะไล่เจ้าออกไปหรอกเรอะ?”
ร่างกายของเส้าเฮ่าอวี่สั่นสะท้าน มันเปียกโชกไปด้วยความหวาดหวั่น เขาค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นพร้อมกับกัดฟันแน่น “ว่าอย่างไรนะ? นี่เจ้ากล้าฆ่าคุณชายอย่างข้าจริง ๆ น่ะหรือ?”
“ยอกย้อนเรอะ!? วอนเสียแล้ว!” ขณะที่เป่าน้อยตะโกน มันก็กวาดกระบองเหล็กไปตามแนวนอนเพื่อโจมตีเส้าเฮ่าอวี่ เสียงของชายผู้ต้องแรงกระแทกส่งเสียงโหยหวนขณะที่ร่างกระเด็นกระดอนออกไป
หวด!
หลังจากนั้น ร่างของเขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้น หากบั้นท้ายแหลกสลายสิ้น กระดูกก้นกบละเอียดเป็นผุยผง ไม่อาจลุกขึ้นได้อีก
เมื่อประกอบกับผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงและรูปร่างอันบวมอืดนั้น มันไม่เพียงแต่ทำให้ดูน่าเวทนาเท่านั้น หากยังน่าสมเพชเกินกว่าจะหาใดเทียม
เมื่อมาถึงจุดนี้ จักรพรรดิคุนมู่ จักรพรรดิเซวี่ยอิ่ง และเส้าเฮ่าอวี่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาสูญเสียซึ่งรัศมีอันยิ่งใหญ่ที่โอบล้อมร่างกายไปโดยสิ้นเชิง
ตอนนี้เอง แม้แต่เฉินซีก็ยังทนมองคนทั้งสามไม่ได้ สภาพของพวกเขานั้นน่าสังเวชเกินไป แน่นอน แรงของวานรตาทองเป่าน้อยนั้นยากจะกะเกณฑ์ ส่งผลให้ในทุกการฟาดฟันนั้นเปี่ยมไปด้วยความดุดันและหยาบกระด้างอย่างถึงขีดสุด
“เฉินซี เจ้าว่าเราควรจะฆ่าพวกเขาหรือปล่อยพวกเขาไปดีเล่า” ทันใดนั้น เป่าน้อยก็หันกลับมาถามเฉินซีด้วยรอยยิ้ม
………………..