บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1770 แผ่นหยกเปื้อนเลือด
บทที่ 1770 แผ่นหยกเปื้อนเลือด
ทันทีที่เป่าน้อยกล่าวจบ ทั่วทิศก็เงียบกริบในทันใด
จักรพรรดิคุนมู่ จักรพรรดิเซวี่ยอิ่ง และเส้าเฮ่าอวี่ผู้ถูกขยี้กับพื้น กระอักเลือดไม่จบสิ้นหยุดเสียงโหยหวน เบิกตากว้างเหมือนไม่อยากเชื่อหูตน
วานรตัวหนึ่งจะเชือดพวกเขา? มันทำได้จริง ๆ หรือ?
จากเจตนาของเฉินซี ย่อมสุดยินดีสังหารกลุ่มของเส้าเฮ่าอวี่ทั้งสาม แต่เขาก็ไร้หนทางนอกจากต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่ตระกูลเส้าเฮ่าจะส่งยอดฝีมือมาเพิ่มยามทั้งสามถูกสังหาร!
เยี่ยเหยียนลังเลเหมือนมีบางอย่างอยากพูด สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไม่ชัดเจน นางฟื้นจากความตกใจแล้ว และตระหนักดีว่าหากเส้าเฮ่าอวี่และจักรพรรดิทั้งสองตกตายในอารามไท่ชู เช่นนั้นอารามไท่ชูก็จะกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตระกูลเส้าเฮ่าในทันที
ขณะเดียวกัน เฉินซีและเป่าน้อย วานรตาทองย่อมกลายเป็นดั่งขวากหนามในสายตาตระกูลเส้าเฮ่า
ทว่าหากไม่ฆ่า… ก็จะเป็นปัญหาเช่นกัน!
ดังนั้นขณะนี้เยี่ยเหยียนจึงพูดไม่ออก ตัดสินใจไม่ได้เช่นกันว่าจะใช้วิธีใดคลี่คลายปัญหา
“ไม่ฆ่าหรือ?” เป่าน้อยผิดหวัง สุดแสนอิดออดใจ
เส้าเฮ่าอวี่และคณะได้ยินเช่นนี้ก็ร่างสะท้าน สาปแช่งในใจ หรือวานรสมควรตายนี่คิดฆ่าพวกเราจริง ๆ? โอหังนัก! โอหังเกินไปแล้ว!
“ช่างเถอะ ข้าจะขังพวกเขาไว้ในสวนผลาญอสุภะแล้วกัน” สุดท้าย เป่าน้อยก็ยังทำตามคำสั่งของเฉินซี พลิกมือยกคนทั้งสามขึ้นดุจลูกเจี๊ยบตัวจ้อย แล้วร่างสูงร้อยจั้งของมันก็แหวกมิติจากไป
สวนผลาญอสุภะ!
แค่ได้ยินชื่อก็เพียงพอให้คาดเดาได้แล้วว่านั่นต้องเป็นสถานที่โหดร้ายอย่างยิ่งแน่นอน
ชั่วขณะนี้ ศึกก็ปิดฉากลงเสียที
การต่อสู้นี้เอะอะอึกทึกยิ่ง แต่กลับไม่ทำให้เทพธิดาในอารามไท่ชูมีปฏิกิริยาใด ๆ ไม่อาจทราบว่านางไม่รู้จริง ๆ หรือยอมรับเรื่องทั้งหมดกันแน่
…
ทั่วทิศมีม่านหมอกโรยจับ ป่าไผ่ม่วงคืนสู่ความเงียบสงบเก่าแก่
“หนนี้ ขอบคุณมากนะ” ข้างกันนั้น เยี่ยเหยียนเงียบอยู่นาน ท้ายที่สุดก็สูดหายใจลึก และกล่าวกับเฉินซีด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หลังเผชิญเหตุก่อนหน้านี้ ทัศนคติต่อเฉินซีก็เปลี่ยนไปมาก ถึงขนาดที่นางเกิดความรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
“ขณะนี้ ข้อตกลงแต่งงานถูกข้าทำลายแล้ว หรือเจ้าไม่กลัวบทลงโทษของนิกายอำนาจเทวะ?” เฉินซีหันมองนางด้วยสายตาเหมือนจมในภวังค์ความคิด
เยี่ยเหยียนส่ายหัว “ข้าย่อมไม่อาจกลับนิกายอำนาจเทวะได้อีกแล้ว”
มิเพียงนางไม่อาจหวนคืนนิกายอำนาจเทวะ กระทั่งกลับตระกูลเยี่ยเองยังไม่น่าทำได้
“เจ้าเสียใจหรือไม่?” เฉินซีถาม
“ไม่เลย ข้ากลับรู้สึกเหมือนปลดภาระลงจากบ่าเสียที” เยี่ยเหยียนแย้มยิ้ม พูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ในอดีต ข้าติดค้างน้องสาวข้ามากเหลือเกิน ยามนี้ได้ทำบางสิ่งเพื่อนาง ข้าก็ตายตาหลับได้แล้ว”
เฉินซีอดพูดไม่ได้ “แต่เจ้าก็ต้องตระหนักเช่นกันว่า แม้ข้อตกลงแต่งงานจะถูกทำลาย แต่เมื่อตระกูลเยี่ยของเจ้า ตระกูลเส้าเฮ่าและนิกายอำนาจเทวะหมายมั่นให้มีงานแต่งนี้ งานหนักของเจ้าก็น่าจะสูญเปล่านะ”
เยี่ยเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ข้าไม่รู้จะทำเช่นไรดี”
เฉินซีถอนใจ “บางทีเจ้าอาจขอความเห็นจากนายท่านแห่งอารามยามนางออกจากการปิดด่านก่อนก็ได้นะ ท้ายที่สุด ฮุ่ยฉงก็เป็นศิษย์ของนายท่านแห่งอารามอยู่ดี”
เยี่ยเหยียนนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า เนิ่นนานจากนั้น นางก็เหมือนตัดสินใจบางอย่างได้ และหันหลังเดินออกจากป่าไผ่ม่วงไปอย่างกะทันหัน
“เจ้า… จะไปไหน?” เฉินซีขมวดคิ้ว
“ไปตระกูลกงเหย่ หากไร้สิ่งใดเกินคาดคิด ข้าก็จะกลับมาในไม่ช้า” เยี่ยเหยียนตอบกลับเรียบ ๆ
พริบตานั้น เฉินซีเข้าใจทุกอย่างแล้ว เยี่ยเหยียนตั้งใจใช้โอกาสนี้มุ่งหน้าสู่ตระกูลกงเหย่เพื่อช่วยเขาเจรจา
เนื้อหาการเจรจานั้นง่ายมาก ใช้วิญญาณของกงเหย่เจ๋อฟูและชีวิตของนักพรตเต๋าเซวี่ยและเคล็ดวิชากำจัดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตรา!
ขณะนี้ เยี่ยเหยียนเป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งของนิกายอำนาจเทวะในนาม และตัวนางเองก็เป็นทายาทของตระกูลเยี่ยอันยืนยงเช่นกัน เป็นความรู้ทั่วไปที่ตระกูลกงเหย่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายอำนาจเทวะอย่างยิ่ง ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นการเหมาะสมที่สุดหากให้เยี่ยเหยียนจัดการเรื่องนี้
“ขอบคุณมาก” เมื่อเขาทราบเรื่องทั้งหมด เฉินซีก็สะเทือนใจไม่น้อย กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“หวังว่าข้าจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยดีกว่านะ” เยี่ยเหยียนยิ้มน้อย ๆ แล้วร่างก็หายไปจากป่าไผ่ม่วง
…
จากวันนั้นไป สรรพสิ่งก็หวนสู่ความสงบ
เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนก้อนหิน นอกจากการบ่มเพาะ นาน ๆ หนเขาก็จะนึกถึงความคืบหน้าในการหลอมยาเม็ดแห่งโชคชะตาและวิชชา
เขาสงสัยว่าเหล่าไป๋ได้เคล็ดวิชาเกินจินตนาการใด ๆ จากการค้นคว้ากระดูกต้นกำเนิดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์หรือไม่
สงสัยไปว่าสองปีกว่าแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ อู๋เซวี่ยฉานจะมาที่นี่ยามใด
ยิ่งกว่านั้น ยังสงสัยว่าเยี่ยเหยียนเกลี้ยกล่อมตระกูลกงเหย่สำเร็จหรือไม่
กาลเวลาเคลื่อนผ่านทีละน้อย หกเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้อ!
วันนี้เฉินซีฟื้นจากภวังค์สมาธิ ผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่
แปลกแท้! ผ่านไปเกินครึ่งปีแล้ว แต่นางก็ยังไม่กลับมา หรือจะไปเผชิญอุบัติเหตุใดเข้า? เฉินซีขมวดคิ้ว เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน เฉินซีก็อดรู้สึกเป็นห่วงน้อย ๆ มิได้เมื่อยังไร้ข่าวคราวจากเยี่ยเหยียน
“เฉินซี! มามะ เล่าให้ข้าฟังถึงยามที่เจ้าอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ณ ภพเซียนหน่อย คราวก่อนเจ้าหยุดตรงนี้ ข้ากระสับกระส่ายนอนไม่ได้เพราะความค้างคา หนนี้เจ้าต้องเล่าให้จบนะว่าล้มศิษย์ชั้นสูงจากนิกายอำนาจเทวะเหล่านั้นเช่นไร” เมื่อเห็นว่าเฉินซีตื่นแล้ว เป่าน้อยก็กระโจนลงมาจากไผ่ม่วงไกล ๆ แล้วร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นทันที
หกเดือนที่ผ่านมา เป่าน้อยและเฉินซีสนิทสนมกันอย่างยิ่ง ขอเพียงมีเวลา เป่าน้อยก็จะมากินดื่มและคุยเล่น ฟังเขาพูดถึงโลกภายนอกเป็นประจำ
วานรตัวนี้บ่มเพาะอยู่ในอารามไท่ชูมาแต่เล็ก ไม่เคยเหยียบย่างสู่โลกภายนอก ดังนั้นบางเรื่องราวที่เฉินซีเล่าจึงแปลกประหลาด เจิดจรัส น่าสนใจ และเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ มันชอบฟังเรื่องเหล่านี้จนแย้มยิ้มเบิกบาน เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเห็นเป่าน้อยเข้ามาหา เฉินซีก็อดยิ้มมิได้ “ในเมื่อเจ้าสนใจนัก เหตุใดจึงไม่ขออนุญาตนายท่านแห่งอารามออกไปเปิดโลกทัศน์เล่า? เรื่องบางอย่างต้องประสบเอง จึงน่าสนใจกว่าฟังข้าเล่านัก”
ดวงตาของเป่าน้อยเรืองประกาย ก่อนจะส่ายหัวด้วยสีหน้าหนักแน่น “ไม่ได้ ๆ! หากข้าไป ผู้ใดจะดูแลสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูให้เจ้านายล่ะ?”
เฉินซีตระหนักดีว่าวานรนี้หวั่นไหวในใจ ดังคำกล่าว ‘จิตใจอยู่ไม่สุขดุจวานร’ ที่มักใช้อธิบายสภาวะการบ่มเพาะยามจิตใจไม่สงบ เต็มไปด้วยความคิดไขว้เขว จึงร้อนรนไม่อยู่นิ่งดุจวานร
แม้ขณะนี้เป่าน้อยจะยังไม่แสดงอาการถึงขั้นนั้น แต่ก็เผยเค้าลางออกมาแล้ว เมื่อกาลเวลาผ่านไป หากเป่าน้อยยังไม่อาจสะบั้นความคิดฟุ้งซ่าน มันก็จะส่งผลกระทบต่อเส้นทางแสวงเต๋าอย่างแน่นอน
เมื่อตระหนักถึงตรงนี้ เฉินซีก็อดโทษตัวเองในใจมิได้ เพราะจากการสนทนากับเป่าน้อย เขากลับปลุกเจตนาท่องโลกหล้าของเป่าน้อยโดยไม่ตั้งใจ หากเทพธิดารู้เข้า ก็คงโทษเขาเช่นกัน
เฉินซีถอนหายใจ ทำได้เพียงเรียบเรียงความคิดเล่าย้อน “กาลก่อน หลังจากข้าได้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า….”
น้ำเสียงเรียบเย็นยามระลึกความหลังของตนขจรไปในป่าไผ่ม่วง ขณะที่เป่าน้อยนั่งลงข้างกาย ดวงตาเรืองประกาย หลงใหลไปกับเรื่องราว
อันที่จริง ประสบการณ์ของเฉินซีกล่าวได้ว่าเป็นตำนานสำหรับคนทั้งหลาย เพราะมันชวนตะลึงเกินคาดหยั่ง
เป่าน้อยไม่เคยประสบเรื่องในโลกภายนอก เป็นดั่งผืนกระดาษขาว ประสบการณ์ที่เฉินซีเผชิญมาจึงยิ่งดึงดูดใจสำหรับเป่าน้อย
มันหลงใหลไปกับเรื่องราว จมดิ่งลงในความเพลิดเพลิน
ขณะเดียวกัน เมื่อเฉินซีเล่าย้อนอดีต เขาก็อดนึกถึงมิตรสหายคนรักทั้งหลายในสามภพขึ้นมามิได้ รวมถึงบุตรธิดาของเขา ชั่วขณะนั้น อารมณ์พลันสั่นคลอนเล็กน้อย กระสับกระส่ายอย่างยิ่ง
จนไม่อาจทราบว่าเวลาผ่านไปเพียงไร จู่ ๆ เป่าน้อยก็สะดุ้ง ร้องขึ้นว่า “สตรีผู้นั้นกลับมาแล้ว”
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตื่นจากภวังค์ย้อนอดีต ลุกขึ้นพลางพูดอย่างโล่งใจทันที “ในที่สุดนางก็กลับมา”
ไม่นานนัก ร่างสง่างามของเยี่ยเหยียนก็ปรากฏในป่าไผ่ม่วง
ทว่าเห็นได้ชัดว่านางกลับมาอย่างหดหู่ ใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ซีดขาว เต็มไปด้วยความอ่อนล้าสุดขีด
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก” เยี่ยเหยียนส่ายหัว “แต่ว่า…” นางลังเลไม่พูดต่อ
หัวใจของเฉินซีดิ่งร่วง ตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ไม่ได้ดีนัก แต่สีหน้ายังคงสงบอย่างประหลาด “เกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือ?”
เยี่ยเหยียนพยักหน้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่เล็กน้อย “ยามมุ่งหน้าสู่ตระกูลกงเหย่ ข้าไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใดผิดแปลก แต่เมื่อกล่าวถึงเงื่อนไขของเจ้า พวกเขาก็แค่พูดคลุมเครือ ก่อนจะขอให้ข้ารอสักเดี๋ยว”
“เดิมที ข้าคิดว่ามันมีความคืบหน้า แต่ภายหลัง ข้าก็พบว่านักพรตเต๋าเซวี่ยถูก… สังหารไปแล้วยามกงเหย่เจ๋อฟูเผชิญอุบัติเหตุ”
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน เขานิ่งตะลึง หัวใจไม่อาจสงบได้อยู่เนิ่นนาน หากหลิวชิงรู้เรื่องนี้ แล้วนางจะ…
เฉินซีส่ายหัว ไม่กล้าคิดต่อไป
“นี่คือแผ่นหยกที่นักพรตเต๋าเซวี่ยเหลือไว้” เยี่ยเหยียนส่งแผ่นหยกเปื้อนเลือดชิ้นหนึ่งให้เฉินซี รำพึงเบา ๆ “ขออภัย ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้”
เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ รับแผ่นหยกมาถือไว้ เงียบไปเนิ่นนานจึงตอบกลับ “มันไม่ใช่ความผิดเจ้า นี่คือฝีมือตระกูลกงเหย่ หากจะมีผู้ใดต้องขอโทษ… ก็ต้องเป็นพวกเขา”
ความหมายของคำว่า ‘ขออภัย’ จากปากเขานั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ควรจะแปลว่า ‘ชดใช้’ มากกว่า
เยี่ยเหยียนแย้มยิ้ม แล้วริมฝีปากสีซีดของนางก็พลันมีโลหิตทะลักริน ยิ่งกว่านั้น สายตายังหม่นแสง ร่างเจียนล้มตึง
เฉินซีผงะไปทันที ช่วยนางนั่งลงกับพื้น ก่อนจะพูดว่า “เจ้าพักไปก่อน เราค่อยคุยกันทีหลังได้”
เยี่ยเหยียนไร้วาจา นางสูดหายใจลึก ๆ แล้วนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ เสถียรลมหายใจของตน
ขณะเดียวกัน สีหน้าของเฉินซีนิ่งเรียบถึงขีดสุด ขณะที่ส่วนลึกของดวงตาทมิฬเรืองรองด้วยประกายเย็นเยียบ
………………..