บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1771 สองปีต่อมา
บทที่ 1771 สองปีต่อมา
ตระกูลกงเหย่!
ขุมกำลังสูงสุดแห่งหนึ่งในเอกภพจักรวรรดิ
ก่อนที่เขาจะได้หวนพานพบกับเจิ้นหลิวชิง เฉินซีก็ทราบจากจักรพรรดินีอวี้เชอแล้วว่าตระกูลกงเหย่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนิกายอำนาจเทวะ มีตัวตนยิ่งใหญ่มากมายในตระกูลได้เป็นผู้อาวุโสในนิกายอำนาจเทวะ
ขณะนั้น เนื่องจากจักรพรรดินีอวี้เชอมอบหมายภารกิจแก่เขา เฉินซีจึงเดินทางสู่ซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ ตั้งใจขัดขวางกงเหย่เจ๋อฟูมิให้ได้รากเต๋าบรรพชนขั้นจักรพรรดิระดับเก้ามา
ขณะนั้นเขาจึงกล่าวได้ว่าไม่ได้เคียดแค้นอะไรตระกูลกงเหย่นัก แต่ก็ไม่ได้มองอีกฝ่ายในแง่ดีเช่นกัน
หลังจากที่พบเจิ้นหลิวชิง ทัศนคติของเขาต่อตระกูลกงเหย่ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นเกลียดชัง
โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกกงเหย่เจ๋อฟูยั่วยุไม่เลิกรา ความเกลียดชังที่เขารู้สึกก็ทวีสู่ขีดสุด
ไม่ต้องพูดถึงว่าเกิดสิ่งใดขึ้นต่อหลังเจิ้นหลิวชิงเกือบตกตายเพราะกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราจากตระกูลกงเหย่
ตระกูลกงเหย่…. ตระกูลกงเหย่…. ขณะนี้ดวงตาของเฉินซีเย็นเยียบทิ่มแทง ขานนามตระกูลกงเหย่ซ้ำๆ ในใจ ทำให้บรรยากาศรอบกายเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
หนี้เลือดนี้ต้องล้างด้วยเลือด! หลังตัดสินใจได้ เฉินซีก็หันมองเยี่ยเหยียนผู้บาดเจ็บหนัก โคจรลมหายใจ ทว่าในใจเขากลับปรากฏใบหน้าจิ้มลิ้มงดงามของเจิ้นหลิวชิง
…
เจ็ดวันจากนั้น เยี่ยเหยียนฟื้นจากภวังค์สมาธิ ปราณของนางเสถียรแล้ว มันไม่ได้ปั่นป่วนอ่อนแออีกต่อไป นอกจากนั้น ใบหน้างดงามเปี่ยมเสน่ห์ของหญิงสาวยังเจือประกายเจิดจรัส
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงของเฉินซีแว่วมา เยี่ยเหยียนหันมองตาม ก็พบว่าเฉินซีกำลังมองนางอยู่จากไกล ๆ
เหตุนี้ทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อย และรู้สึกประทับใจอย่างไม่อาจขยายความเช่นกัน มิคาดคิดเลยว่าเฉินซีจะพิทักษ์นางอยู่จนบัดนี้
“อืม” เยี่ยเหยียนพยักหน้า แล้วจึงพูดเย้ยตนเอง “เดิมทีข้าคิดว่าข้าตายแน่ แต่ใครจะคิดว่าสวรรค์เมตตา ยอมให้ข้าหาทางรอดมาได้”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เฉินซีถาม
“จะอะไรได้ล่ะ? ข้าถูกตระกูลกงเหย่ไล่ล่าน่ะสิ” เยี่ยเหยียนไหวไหล่ ดูผ่อนคลายนัก
เยี่ยเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เพราะแผ่นหยกที่นักพรตเต๋าเซวี่ยทิ้งไว้ เดิมทีข้าไม่รู้ว่ามีมันอยู่ และสังเกตพบมันจากในซากของเขาในภายหลัง แต่ตระกูลกงเหย่ก็สังเกตเห็นเช่นกัน และพวกนั้นก็รุมเข้ามาไล่ล่าข้าสุดชีวิตเหมือนฝูงหมาบ้ากันทันที”
นางเว้นช่วงเล็กน้อย จึงกล่าวยิ้ม ๆ “ยังดีที่ตระกูลกงเหย่ทิ้งศพของนักพรตเต๋าเซวี่ยไว้ในแดนรกร้าง ไม่ใช่ภายในตระกูลกงเหย่ มิเช่นนั้น ข้าคงไม่เหลือแล้วป่านนี้”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกเขากล้าไล่ล่าเจ้าแค่เพื่อแผ่นหยกแผ่นเดียวหรือ?”
เยี่ยเหยียนผงะไป นางเองก็งุนงงยิ่งเช่นกัน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้าเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ชั่วขณะนี้ ไร้ผู้ใดทราบว่าข้าสะบั้นสัมพันธ์กับนิกายอำนาจเทวะแล้ว นอกจากนั้น ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังเป็นทายาทตระกูลเยี่ยอยู่ดี แต่ตระกูลกงเหย่ยังกล้าพยายามฆ่าข้า มันไม่ปกติแท้ ๆ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางและเฉินซีก็สบตากัน ต่างผู้ล้วนตระหนักว่าเรื่องทั้งหมดน่าจะเกี่ยวกับแผ่นหยกที่นักพรตเต๋าเซวี่ยทิ้งไว้!
เฉินซีกระทั่งคาดว่า เหตุที่ตระกูลกงเหย่จับตัวเจิ้นหลิวชิงและนักพรตเต๋าเซวี่ยไปก็น่าจะเป็นเพราะแผ่นหยกนี้!
ทว่า… ของสำคัญเช่นนี้ เหตุใดตระกูลกงเหย่จึงไม่สังเกตเห็นมัน?
“ข้าสังเกตเห็นแผ่นหยกนี้ยามเก็บเถ้ากระดูกให้นักพรตเต๋าเซวี่ย” เยี่ยเหยียนเหมือนจะสังเกตเห็นความงุนงงของเฉินซี และกล่าวอย่างประหลาดใจงุนงงเล็กน้อยเช่นกัน “ยามนี้พอพูดออกมา มันก็บังเอิญจริง ๆ เถ้ากระดูกเหล่านี้ดูสุดแสนธรรมดา แต่พอวางลงในโกศ เถ้ากระดูกก็เชื่อมต่อกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ แล้วค่อย ๆ หลอมรวมกันเป็นแผ่นหยกนั่น”
เฉินซีได้ยินเช่นนี้ก็ประหลาดใจยิ่ง เพราะคงไร้ผู้ใดเดาได้ว่านักพรตเต๋าเซวี่ยจะหลอมรวมมันเข้ากับร่างของเขาเอง
เฉินซีอดนำมันออกมาพินิจอีกครั้งไม่ได้ แต่เขาก็รั้งตนเอง ไม่ดูเนื้อหาภายในอยู่ดี
นักพรตเต๋าเซวี่ยทิ้งมันไว้ มันย่อมต้องเป็นของเจิ้นหลิวชิง
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเหยียนไม่ได้พินิจเนื้อหาภายในแผ่นหยก และนางก็ฉงนใจถึงมันนัก แต่เมื่อเห็นเฉินซีเก็บมันไปอีกครั้ง นางก็เข้าใจความคิดของเขาทันที
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะคำนึงถึงคู่บำเพ็ญเพียรของเจ้าเพียงนี้” เยี่ยเหยียนเอ่ยปาก
“คำนึงถึงแล้วมีประโยชน์อะไร ข้าในยามนี้เป็นห่วงเพียงว่าหลังนางฟื้นมาพบข่าวความตายของอาจารย์นาง จะรับความสะเทือนใจไหวหรือไม่เท่านั้น” เฉินซีถอนหายใจ เขาทอดสายตามองอารามไท่ชูจากไกล ๆ พลางครุ่นคิด แม้เทพธิดาแห่งอารามไท่ชูจะสะกดกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราในร่างหลิวชิงได้ นางก็คงไม่อาจลืมตาตื่นตราบใดที่ข้ายังหาวิธีรักษานางไม่ได้
นี่หมายความว่า เฉินซีต้องเผชิญหน้ากับตระกูลกงเหย่ตรง ๆ ในสักวัน ประการแรกเพื่อล้างแค้นให้เจิ้นหลิวชิง และสองคือเพื่อบังคับคนเหล่านั้นให้ส่งเคล็ดวิชาแก้กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตรามา!
“จริงสิ มีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า” เยี่ยเหยียนลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หลังจากที่ข้าแตกหักกับตระกูลกงเหย่ พวกเขาก็ขู่ว่าหากเจ้าไม่เป็นฝ่ายส่งวิญญาณของกงเหย่เจ๋อฟูให้พวกเขาก่อน พวกเขาจะให้เจ้าชดใช้อย่างสาหัส แม้จะมีเขาเทพพยากรณ์คุ้มครองอยู่ก็ตาม”
เฉินซีพลันเริ่มหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่เสียงหัวเราะนั้นไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
สายตาของเยี่ยเหยียนเพ่งมอง และเห็นว่านั่นคือวิญญาณของกงเหย่เจ๋อฟู
เปรี้ยง!
ทว่าก่อนที่นางจะได้ฟื้นจากความตกใจ ดวงแสงนั้นพลันระเบิดเป็นเสี่ยง ขณะที่วิญญาณในนั้นก็ถูกป่นเป็นผงเช่นกัน แปรเปลี่ยนละอองแสงกระจายหายไป
“เจ้า….” เยี่ยเหยียนตกตะลึงในใจ ผงะไปเล็กน้อย
“ในเมื่อเจรจากันไม่ได้ ให้เขามีชีวิตไปก็เปล่าประโยชน์” เฉินซีปัดมือ ดูเหมือนทำบางสิ่งสุดแสนธรรมดา
แต่เยี่ยเหยียนตระหนักดี ว่านี่หมายความว่ากงเหย่เจ๋อฟู อัจฉริยะไร้เทียมทานของตระกูลกงเหย่ผู้นี้ได้สิ้นสูญไปแล้วในขณะนี้ ไม่มีทางฟื้นกลับมาได้อีก
และเช่นกัน ความแค้นระหว่างเฉินซีและตระกูลกงเหย่ก็ไม่มีทางหวนประสานได้จากนี้ไป!
เยี่ยเหยียนอดถามไม่ได้ “แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อ?”
เฉินซีชำเลืองไปทางอารามไท่ชู ก่อนจะกล่าวอย่างสุขุม “รอ”
เยี่ยเหยียนได้ยินเช่นนี้ก็ผ่อนหายใจโล่งอก นางเป็นกังวลจริง ๆ ว่าเฉินซีจะถูกโทสะบังตา มุ่งหน้าไปล้างแค้นให้คู่บำเพ็ญเพียรที่ตระกูลกงเหย่
“เฉินซี” ขณะนั้นเอง เป่าน้อยซึ่งรออยู่ด้านข้างก็ไม่อาจยั้งปากตนเองได้อีก เขาพูดขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “เอ่อ… วันนี้เจ้าจะเล่าประสบการณ์เก่าต่อหรือไม่?”
เขาเหมือนรู้ว่าขณะนี้ อารมณ์ของเฉินซีไม่สู้ดี จึงเอ่ยถามแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ขึ้นมาแทน
“เล่าสิ” ทว่าเฉินซีกลับยิ้มแย้มตอบอย่างไม่คิดมาก หนี้แค้นต้องชำระ แต่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน มันมีแต่จะกระทบความคิดของเขาเปล่า ๆ
“แอะแฮะแฮะ เยี่ยมเลย!” เป่าน้อยยิ้มกว้างด้วยความสุข
หลังจากนั้น เฉินซีก็กลับสู่กิจวัตรเก่า เล่าเหตุการณ์ในอดีตแก่เป่าน้อยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยเช่นวารี แต่กลับทำให้เป่าน้อยสุดแสนหลงใหลตราตรึง
เฉินซีไม่ได้ปิดบังใด ๆ และเยี่ยเหยียนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยินเรื่องทั้งหมด คราแรกนางคิดว่าเฉินซีเล่านิทานให้เป่าน้อยฟัง และประหลาดใจนักที่พบว่าคู่มนุษย์วานรนี้มีด้านที่เป็นเด็ก ๆ เช่นนี้อยู่ด้วย
ทว่านางก็หลงเสน่ห์เรื่องราวนี้ไปแต่ยามใดไม่ทราบเช่นกัน และในที่สุดหญิงสาวก็เข้าใจว่าเรื่องที่เฉินซีพูดถึง ก็คือประสบการณ์ของตัวเขาเองในอดีต
ประสบการณ์ของเขาซับซ้อนยิ่ง เต็มไปด้วยอันตรายทุกย่างก้าว เหตุพลิกผันไปมา เปี่ยมจิตวิญญาณชวนให้โลหิตร้อนรุ่ม ประหนึ่งเป็นตำนาน
ในที่สุด เยี่ยเหยียนก็ได้เข้าใจทางอ้อม ว่าที่แท้… ชายผู้นี้ก็เป็นคนเช่นนี้เอง
กาลเวลาเคลื่อนผ่านรวดเร็ว เผลอเพียงครู่ก็ผ่านไปสองปี
ในสองปีนี้ นอกจากการบ่มเพาะ เฉินซีก็เสวนากับเป่าน้อยและเยี่ยเหยียน เป็นช่วงเวลาสุดแสนสงบสุข
เขาไปเยือนสวนผลาญอสุภะอยู่นาน ๆ หนด้วยตั้งใจตรวจสภาพพวกเส้าเฮ่าอวี่ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปในนั้น ทำเพียงมองจากไกล ๆ ขณะที่เสียงก่นด่า เสียงแผดร้อง และเสียงคำรามดุจภูตผีโหยไห้กึกก้องออกมาจากภายใน
จากวาทะเป่าน้อย สวนผลาญอสุภะเป็นสถานที่ซึ่งปรมาจารย์อารามสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อบ่มเพาะอำนาจต่อสู้ของเป่าน้อย มีการรวบรวมปราณชั่วร้ายหนึ่งพันแปดชนิดเอาไว้ ผู้บ่มเพาะทั่วไปที่ถูกขังที่นี่น่าจะตกตายไปนานแล้ว
ขณะเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเส้าเฮ่าอวี่รอดชีวิตมาได้ก็เพราะจักรพรรดิทั้งสองข้างกาย แต่ก็เห็นชัดเจนมากว่าทั้งสามก็สุดแสนทุกข์ทรมานในสวนผลาญอสุภะเช่นกัน
นอกจากนั้น สรรพสิ่งที่นี่ก็สุดแสนสงบสุข ไร้การเคลื่อนไหวในอารามไท่ชู ขณะที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขา อู๋เซวี่ยฉานก็ยังไม่มา นอกจากนั้น กระทั่งเหล่าไป๋ก็ยังศึกษากระดูกต้นกำเนิดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์อยู่ กระทั่งดูตั้งใจจดจ่อจนเมินเสียงเรียกของเฉินซีไปสนิท
วันนี้เฉินซีฟื้นจากภวังค์สมาธิในป่าไผ่เขียว หลังปลีกวิเวกบ่มเพาะมาเกินสี่ปี การบ่มเพาะขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นต้นของเขาก็พัฒนาอย่างยิ่งยวด เผยเค้าลางบรรลุสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางแผ่วจาง
เขาเชื่อว่าอีกไม่นาน ชายหนุ่มจะบรรลุมันได้
เป่าน้อยและเยี่ยเหยียนเล่นหมากรุกกัน ใช้กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ตนมีเป็นตัวหมาก แดนดินรอบทิศเป็นกระดาน ใช้กฎ ‘เต๋าเกื้อหนุนสรรพสิ่ง ล้วนส่งเสริมถ่วงดุลกัน’ เป็นกฎเกณฑ์สู้กัน
นี่เป็นการขัดเกลารูปแบบหนึ่ง เป็นทักษะลับที่ปรมาจารย์อารามสร้างขึ้นยามว่าง แต่ผู้ประชันกันคือเป่าน้อยและฮุ่ยฉง
ทว่าขณะนี้ผู้ที่ประชันกันอยู่คือเป่าน้อยและเยี่ยเหยียน พี่สาวของฮุ่ยฉง
ไร้ความวุ่นวาย กังวลและความฉ้อฉลบังตาจากโลกภายนอก สารพันล้วนดูสงบเงียบ ลึกล้ำและสุขสบาย
ทว่าไม่นาน พวกเขาทั้งหลายก็ถูกรบกวนโดยเสียงหนึ่ง
“เป่าน้อย พาพวกเขาเข้ามา” เสียงนุ่มนวลซึ่งลอยออกมาจากอารามไท่ชู ปรากฏว่าเป็นของจิตวิญญาณกวางขาว
เสร็จแล้วหรือ? หัวใจของเฉินซีสะท้าน ทิ้งทุกสิ่งลุกขึ้นทันที
เยี่ยเหยียนก็ตะลึงไปเช่นกัน แต่นางกลับรู้สึกกวนใจลังเลเสียแทน เหมือนไม่รู้ว่าควรไปเผชิญหน้าน้องสาวที่ไม่ได้พบมาหลายปีเช่นไรดี
“โอ้ เหมือนพวกเจ้าทั้งสองจะไปกันแล้ว จะไม่มีผู้ใดเล่นกับข้าแล้วสิ” เป่าน้อยดูหงอยเหงาห่อเหี่ยว ส่ายหัวรำพึงไม่จบสิ้น
ทว่าไม่ว่าเขาจะไม่เต็มใจเพียงไร เขาก็ยังลุกขึ้นนำทางเฉินซีและเยี่ยเหยียนผ่านทางเดินหินปูนสู่อารามไท่ชูไกลออกไป
………………..