บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1772 ความลับของสังสารวัฏ
บทที่ 1772 ความลับของสังสารวัฏ
หลังจากผ่านไปห้าปี ประตูอารามไท่ชูก็เปิดออกอีกครั้ง
เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปอีกครั้ง อารมณ์ของเฉินซีก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากครั้งแรกที่เขามายังที่นี่ มันเปี่ยมด้วยความหวัง
มฤควิญญาณขาวยืนอยู่ด้านนอกทางเข้า และเมื่อสังเกตเห็นการมาของเฉินซี มันจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล อาจารย์จะพบเจ้าเป็นการส่วนตัวในภายหลัง”
ขณะที่กล่าว มันก็เหลือบมองเยี่ยเหยียนทันที ราวกับว่าไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายปรากฏตัวที่นี่ หรือบางทีมันอาจจะรู้แต่แรกแล้ว
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป่าน้อย พาคุณหนูคนนี้ไปพบฮุ่ยฉงที่หอสมาธิ”
เป่าน้อยตกตะลึงแล้วจึงพยักหน้า
ในขณะนี้ การแสดงออกของเยี่ยเหยียนยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น และดูเหมือนนางจะกลัวการพบกับฮุ่ยฉง แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน นางเผลอมองไป และเห็นเฉินซีกำลังมองตนกลับด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะรวบรวมความกล้าเพื่อพยักหน้า ก่อนที่จะกล่าวว่า “เป่าน้อย ไปกันเถอะ”
อารามไท่ชูมีความเรียบง่ายและสง่างามเหมือนในอดีต ทุกสิ่งภายในดูเหมือนจะธรรมดามาก แต่พวกเขาก็ยังมีรัศมีอันบริสุทธิ์ของเต๋า ที่ทำให้ดูไม่ธรรมดาอย่างยากจะอธิบาย
ดังที่กล่าวไว้ว่า นอกจากพุทธองค์แล้ว มีใครสามารถเข้าใจโลกด้วยดอกไม้เพียงดอกเดียวได้บ้าง? ความลึกซึ้งของสถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปจะเข้าใจได้
มันคล้ายกับตำนานหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ตำนานเล่าว่ามีคนตัดฟืนเข้าไปในภูเขาเพื่อตัดไม้ แต่เขากลับพบกับชายชราสองคนที่กำลังเล่นหมากล้อมโดยบังเอิญ เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้หลงใหลในการเดินหมากของพวกเขา และเมื่อได้สติ ขวานในมือของเขาก็ผุพังแล้ว เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าภรรยาได้จากไปแล้ว และโลกก็แปรเปลี่ยนไป เนื่องเพราะกาลเวลาได้ผ่านไปนับไม่ถ้วนแล้ว
นี่เป็นตำนานเกี่ยวกับคนธรรมดาคนหนึ่งที่บังเอิญข้าสู่โลกเซียน
เป็นที่ประจักษ์ว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเต๋าที่ลึกล้ำได้อย่างเต็มที่ แต่พวกเขาจะได้รับผลกระทบโดยที่พวกเขาไม่สังเกตเห็น
สภาพโดยรวมอารามไท่ชูก็ประมาณนี้ อย่างไรก็ตาม มันถูกสร้างขึ้นสำหรับผู้บ่มเพาะ เมื่อใครเข้าไปโดยพลการ ผลที่ตามมาก็จะเลวร้ายยิ่งกว่าคนตัดฟืนในตำนานมาก
“เฉินซี ตามข้ามา” มฤควิญญาณขาวหันกลับมาและก้าวนำทาง
เฉินซีติดตามอย่างใกล้ชิด พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามทางเท้าอันคดเคี้ยวเป็นเวลานาน ก่อนจะมาถึงยังอาคารซึ่งสร้างจากหินปูนที่มีฟางสีทองสดใสเป็นหลังคามุม
“ให้เขาเข้ามา” เสียงของเทพธิดาดังออกมาจากภายใน
มฤควิญญาณขาวพยักหน้าให้เฉินซีและกล่าวว่า “กรุณาเข้าไปด้วย”
“ขอบคุณ” เฉินซีประสานหมัดคารวะ จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะย่างเท้าเดินเข้าไป
…
อาคารหลังนี้กว้างขวางและเงียบสงบ อากาศก็เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้จิตใจสงบ
เทพธิดานั่งขัดสมาธิบนอาสนะ ร่างกายเปล่งแสงระยิบระยับสีขาวขุ่น ทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของนางได้ชัดเจน
ถึงแม้นางจะนั่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสบาย ๆ ทว่านางกลับแผ่กลิ่นอายที่ทรงพลังจนสุดพรรณนา ดูเหมือนอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถลบล้างออกไปได้ชั่วนิรันดร์ บันดาลให้ผู้อื่นรู้สึกเทิดทูนอย่างไม่รู้ตัว
“ผู้อาวุโส” การแสดงออกของเฉินซีเริ่มเคร่งขรึม ในขณะที่เขาโค้งคำนับ
“นั่งสิ” เทพธิดากล่าวอย่างสบาย ๆ จากนั้นอาสนะและโต๊ะก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินซี นอกจากนี้ ยังมีกาน้ำชาและถ้วยชาสองใบปรากฏอยู่บนโต๊ะเช่นกัน
เทพธิดาหยิบกาน้ำชาขึ้นมาและรินชาถ้วยให้กับทั้งเฉินซีและตัวนางเอง น้ำชามีความใสและมีกลิ่นหอมหวานยิ่ง
เฉินซีหยิบมันขึ้นมาและจิบ ความอบอุ่นแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว มันทั้งรู้สึกสบาย ลึกซึ้ง และสดชื่น
แน่นอนว่าชานี้เป็นสมบัติล้ำค่าและหายาก
“กู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราได้ถูกสะกดแล้ว และเจ้าสามารถพาสาวน้อยคนนั้นออกไปได้ในภายหลัง” เทพธิดากล่าวอย่างรวบรัด อีกทั้งน้ำเสียงยังราบเรียบและสงบ “อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการขจัดมัน เจ้าต้องทำมันให้สำเร็จด้วยตัวเอง ข้าไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกแล้ว”
แม้ว่าเขาจะคาดเดาว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นนี้ แต่ความสุขเสี้ยวเล็ก ๆ ที่ไม่อาจพรรณนาได้ พลันพวยพุ่งออกมาจากหัวใจของเฉินซีอย่างห้ามมิได้
เขาหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ยืนขึ้น พลางโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส”
“อย่ากล่าวเช่นนั้น ข้าแค่ตอบแทนบุญคุณของศิษย์พี่เจ้า” เทพธิดาชี้นิ้วให้เฉินซีนั่งลง จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ตอนนี้เรื่องนี้คลี่คลายแล้ว เจ้าสามารถจากไปได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ข้ามีบางเรื่องที่อยากถามเจ้า ก่อนที่เจ้าจะไป”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ผู้อาวุโส โปรดบอกตามตรง”
“สองปีที่แล้ว สัญญาที่ยัยหนูเยี่ยเหยียนนำมาด้วยนั้น ถูกทำลายโดยเจ้า ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงใช้พลังของจุดจบใช่หรือไม่?” เสียงของเทพธิดายังคงแผ่วเบา แต่เมื่อดังเข้าไปในหูของเฉินซี มันทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชายหนุ่มไม่เคยคิดว่าเทพธิดาจะสังเกตเห็นเรื่องทั้งหมดนี้จริง ๆ
เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบมาจากระเบียนแดนมรณะ และเฉินซีเพิ่งใช้มันสองสามครั้งนับตั้งแต่ที่เขาเข้าใจมัน โดยปกติแล้ว เว้นเสียแต่ว่าเฉินซีไม่มีทางเลือกอื่น ชายหนุ่มจะไม่มีวันใช้มัน
ท้ายที่สุดแล้ว อำนาจนี้ท้าทายสวรรค์มากเกินไป ทั้งยังเป็นสิ่งต้องห้ามที่เทพเจ้าและปีศาจในโลกไม่อาจปล่อยไปได้ เมื่อมันปรากฏตัวในโลกนี้ ผลที่ตามมาก็คงไม่สามารถจินตนาการได้
แม้ว่าแดนเทพโบราณจะไม่ใช่สามภพ แต่เฉินซีก็ไม่กล้าประมาท เมื่อหลายปีก่อน จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามนั้นมีความสามารถเลิศภพจบแดนถึงเพียงใด? แต่เขายังต้องทนทุกข์กับชะตากรรมที่ถูกบดขยี้โดยยอดคนทั้งหลาย และดับสูญไปในท้ายที่สุด
“จุดจบ….” เมื่อนางเห็นเฉินซียอมรับ ดูเหมือนนางจะตกอยู่ในความเงียบ และในที่สุดก็ถอนหายใจเบา ๆ หลังจากผ่านไปนาน “ผู้ที่คล้อยตามสวรรค์ย่อมได้รับการตอบสนองเป็นโชค ส่วนผู้ที่ฝ่าฝืนสวรรค์ย่อมได้รับการตอบสนองเป็นภัยพิบัติ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ”
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำเหล่านี้ได้ แต่หัวใจของเฉินซีก็สั่นไหว พร้อมกับหวนนึกถึงฉากหนึ่งเมื่อห้าปีที่แล้วอย่างไร้สาเหตุ
เขานึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่หัวหน้าของกองโจรดาราปักษารัตติกาล… อีแร้งเนตรมารจะเสียชีวิต
“เจ้า… เจ้า… เจ้าเป็น… ผู้ช่วงชิงจริง ๆ! ไม่น่าแปลกใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าต่อสู้เพื่อกะโหลกของจ้าววิญญาณอาถรรพ์กับข้า…. สวรรค์… ให้ตายเถอะ!!”
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวของ อีแร้งเนตรมาร ก่อนที่เขาจะตายยังคงดังก้องอยู่ในหูของ เฉินซี ทำให้เกิดระลอกคลื่นในสภาพจิตใจที่เงียบสงบแต่เดิมของเขา
ในเวลานั้น เฉินซีไม่ได้โจมตีด้วยซ้ำ แต่อีแร้งเนตรมารก็ตัวระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังทำลายตัวเองด้วยการเผาจนตายด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ล่องหนอีกด้วย
เหตุนั้นแปลกมาก ดังนั้นเฉินซีจึงไม่สามารถลืมมันได้จนถึงตอนนี้
ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงถอนหายใจที่คลุมเครือของเทพธิดา หัวใจของชายหนุ่มจึงเริ่มสั่นโดยไม่มีเหตุผล
“พลังงานแห่งจุดจบ…. ผู้ช่วงชิง…. พวกมันอาจจะเกี่ยวข้องกันไหม?”
“เจ้ารู้ไหมว่า แม้แดนเทพโบราณจะกว้างใหญ่ งดงาม มีเต๋าอันไม่รู้จบ และครอบคลุมทุกสิ่ง แต่ทำไมถึงไม่มีวัฏจักรของการเกิดใหม่?” ทันใดนั้น เทพธิดาก็ปลุกเฉินซีให้ตื่นจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งด้วยคำถาม จากนั้นเขาก็ตกตะลึงอีกครั้ง “ใช่แล้ว เหตุใดแดนเทพโบราณจึงรวมเต๋าไว้อยู่มากมาย แต่กลับขาดวัฏจักรของการเกิดใหม่เท่านั้น”
“หรือเนื่องเพราะยมโลกนั้นมีอยู่ในสามภพเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนรกและวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่จึงมีอยู่ที่นั่น?”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เทพธิดา
อย่างไรก็ตาม นางกลับหันเหประเด็นและกล่าวถึงเรื่องอื่นแทน “การไม่มีวัฏจักรของการเกิดใหม่ของสิ่งมีชีวิตในแดนเทพโบราณ แสดงถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ประสบเภทภัย”
“น่าเสียดาย นี่ไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์ที่แท้จริง”
“มันจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ในขณะที่โลกถูกทำลาย
“มันจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ในขณะที่มหาเต๋าพังทลายลง
“นั่นคือเป้าหมายที่แท้จริงที่ผู้บ่มเพาะแสวงหา!”
อารมณ์ของเฉินซีพลุ่งพล่านดั่งคลื่นที่ซัดสาดเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
เขาเข้าใจนาง อายุขัยนิรันดร์ไม่ได้แสดงถึงความเป็นเซียนที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น เทพทุกองค์ในแดนเทพโบราณมีอายุขัยที่ไร้ขอบเขต แต่พวกเขายังคงประสบกับเภทภัย ยังคงถูกฆ่าและยังคงดับสูญได้!
ในทางกลับกัน นางกำลังกล่าวถึง ‘แก่นแท้ของชีวิตนิรันดร์’ และมันเป็นรูปแบบหนึ่งของความเป็นเซียนที่แท้จริง ชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ซึ่งหายนะ ความยากลำบาก และการเข่นฆ่าทั้งหมดไม่อาจลบล้างมันได้!
“น่าเสียดายที่ผู้คนในโลกหล้านี้ คิดว่าตราบใดที่วัฏจักรของการกลับชาติมาเกิดไม่มีอยู่จริง พวกเขาก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไป และอยู่เหนือโลก แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับหลอกลวงตนเอง” เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ จากนั้นจึงยกถ้วยชาขึ้นจิบ และไม่กล่าวอันใดต่อไปอีก
“ข้ออ้างที่จะหลอกลวงตนเอง?” เฉินซีตกใจมาก “นั่นหมายความอย่างไร?”
“เจ้ารู้ไหมว่าแก่นแท้ของสังสารวัฏคืออะไร” เทพธิดาถาม
เฉินซีย่อมรู้เรื่องนี้โดยปริยาย ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าใจสามสุดยอดมหาเต๋าจากระเบียนแดนมรณะ พวกมันคือความลึกล้ำของปารมิตา การลืมเลือน และจุดจบ
จนกระทั่งในเวลาต่อมา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่า มหาเต๋าทั้งสามไม่ได้ท้าทายสวรรค์ หรือเป็นเพราะเต๋าแห่งจุดจบเป็นสิ่งต้องห้ามและท้าทายสวรรค์เกินไป แต่เนื่องเพราะมันเป็นแกนกลางที่สร้างพลังสังสารวัฏ ซึ่งเป็นวัฏจักรของการกลับชาติมาเกิด!
เช่นเดียวกับมหาเต๋าแห่งไท่จี๋ที่ถูกสร้างขึ้นจากเต๋าทั้งสี่ อันได้แก่แสงสว่าง ความมืด หยินและหยาง สังสารวัฏก็เกิดจากความลึกล้ำสูงสุดแห่งปารมิตา การลืมเลือน และจุดจบ
เฉินซีพยักหน้า
นางกล่าวว่า “เจ้าควรตระหนักไว้ว่า พลังงานของสังสารวัฏสามารถนำวิญญาณไปสู่การเกิดใหม่ได้ และมันสามารถทำให้ดวงวิญญาณตกอยู่ในการลืมเลือนได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันสามารถสร้างพลังงานของหกวิถีที่ตัดสินบาปบุญของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ทั้งยังสามารถสร้างนรกเพื่อตัดสินความดีความชั่วได้”
นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “วัตถุประสงค์สุดท้ายก็คือ เพื่อให้ความดีมาสู่ผู้ทำดี และลงโทษผู้กระทำความชั่ว ดังนั้นโลกจึงสามารถสะอาดได้ และความยุติธรรมจะคงอยู่สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง”
เฉินซีรู้สึกตกใจเล็กน้อยในใจ เพราะเขาไม่เคยคาดหวังว่าเทพธิดาองค์นี้จะสนทนาเรื่องสังสารวัฏกับเขาจริง ๆ
ไม่คิดว่านางจะมีความเข้าใจเรื่องสังสารวัฏเช่นนี้ เพราะแม้ประโยคสองสามประโยคที่นางกล่าวดูเหมือนจะตื้นเขินและตรงไปตรงมา แต่จริง ๆ แล้วมันกลับอธิบายความลึกซึ้งหลักของสังสารวัฏไว้อย่างชัดเจน
“คนดีมีชีวิตอยู่โดยเอาใจใส่ผู้อื่น ในขณะที่คนชั่วมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองเท่านั้น และนั่นเป็นสาเหตุที่คนดีมีอายุสั้น ในขณะที่คนชั่วอายุยืนยาว แดนเทพโบราณดูเหมือนเป็นที่ประทับของเทพเจ้าทั้งหลายที่มีอยู่ชั่วนิรันดร์ และเป็นสวรรค์ที่สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนปรารถนาที่จะอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าระเบียบของสวรรค์แห่งนี้ได้รับการควบคุมอย่างมั่นคงในมือของยอดคนมาเป็นเวลานาน แล้วใครจะสนใจเรื่องความดีความชั่วหรือความถูกผิด” นางถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย ราวกับกำลังหวนนึกถึงเรื่องในอดีต
เฉินซีตกตะลึง และเขาก็สับสนเล็กน้อยว่าควรจะกล่าวอะไรดี
“แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ” หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงของนางก็กลับมามีน้ำเสียงที่สง่างามและไม่แยแส “สิ่งสำคัญที่สุด เมื่อจำนวนเทพเจ้าในแดนเทพโบราณเพิ่มมากขึ้น มันก็จะนำภัยพิบัติอันไร้ขอบเขตมาสู่โลกอย่างแน่นอน และท้ายที่สุด ภัยทั้งหมดนี้ย่อมตกแก่ผู้บ่มเพาะเหล่านั้น!
………………..