บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1775 พร้อมไป
บทที่ 1775 พร้อมไป
หลังจากกล่าวเช่นนี้ เทพธิดาก็เอ่ยคำ “ลู่เอ๋อร์”
“ศิษย์อยู่นี่แล้ว”
น้ำเสียงอ่อนโยนของมฤควิญญาณขาวดังขึ้น
เฉินซีสงสัย เทพธิดากำลังจะทำอะไร?
“ฆ่าพวกมัน”
คำพูดต่อมาของเทพธิดายิ่งทำให้เฉินซีตกตะลึง เขาเบิกตากว้างขณะหัวใจสั่นสะท้าน
“น้อมรับ”
แม้มฤควิญญาณขาวตอบรับ แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
นี่ทำให้เฉินซีมั่นใจว่าเทพธิดาไม่ได้ล้อเล่น!
แต่เทพธิดาตัดสินประหารอีกฝ่ายด้วยหนึ่งคำพูด ใครก็ตามที่เห็นเช่นนี้ย่อมไม่อาจสงบสติลงได้
“ในเมื่อมาทำให้ข้าขุ่นเคืองก็ต้องขจัดปัญหาภายภาคหน้าให้สิ้นซาก หากตระกูลเส้าเฮ่ากล้าปฏิเสธก็สามารถมาหาข้าที่สวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชูได้”
เมื่อเทพธิดาพูดถึงตรงนี้ นางก็มองเฉินซีแล้วเอ่ยคำ “สหายตัวน้อย ภายภาคหน้าต้องระวังตัวให้มาก ผู้ที่สามารถกลายเป็นมหาเทพเต๋าได้ล้วนทะเยอทะยานและไร้ยางอาย หากต้องการฆ่าขึ้นมา พวกเขาย่อมไม่สนว่าเจ้าจะมาจากเขาเทพพยากรณ์หรือไม่”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วเอ่ยคำ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ”
ในตอนนี้คำพูดของเทพธิดาทำให้เขารู้สึกตื้นตันและตกตะลึงยิ่ง ในที่สุดตนก็เข้าใจว่าความเด็ดเดี่ยว ความอหังการ และศักยภาพของมหาเทพเต๋านั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด
“แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ มหาเทพเต๋าจะไม่โจมตีบุ่มบ่าม ถึงแม้จะไม่หวาดกลัวคู่ต่อสู้ แต่ทันทีที่ลงมือสังหารคนที่มีภูมิหลังสูงส่งขึ้นมา สุดท้ายก็จะนำมาซึ่งปัญหามากมาย”
สิ้นคำ นางก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยคำ “หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าจะปิดเส้นทางลับทั้งหมดในสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชู จากนี้ไป… หากข้าไม่อนุญาตหรือมหาเทพเต๋าไม่มาด้วยตัวเองก็ไม่มีใครสามารถหาที่นี่พบ”
เฉินซีขมวดคิ้วมุ่น “เป็นเพราะพวกเส้าเฮ่าอวี่หรือ?”
ส่วนเหตุผลแท้จริง นางไม่อาจพูดอะไรได้มากนัก
เฉินซีหยุดซักไซ้อีกเมื่อเห็นเช่นนี้
“ไปพบฮุ่ยฉงกับข้าเถอะ”
กล่าวจบเทพธิดาเดินออกไป
…
บัดนี้เฉินซีได้ข้อสรุปแล้วว่าเยี่ยเหยียนน่าจะเป็นพี่สาวของฮุ่ยฉงจริง ๆ
ทว่าเยี่ยเหยียนเคยบอกว่าในอดีตนางเป็นหนี้บุญคุณฮุ่ยฉงค่อนข้างมาก และเดิมทีเฉินซีคิดว่าการได้พบกับอีกฝ่ายจะต้องนำไปสู่การพลิกผันบางอย่างที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
แต่เมื่อเขากับเทพธิดาได้พบเยี่ยเหยียนกับฮุ่ยฉง พวกเขาต้องตกตะลึงที่พบว่าเรื่องราวมันไม่เป็นไปอย่างที่คิดเอาไว้
ทั้งสองไม่ได้ทะเลาะหรือเงียบใส่กัน มันไม่มีความขัดแย้งที่มาจากความเข้าใจผิดอย่างที่เฉินซีจินตนาการ
ในตอนนี้มีเพียงเยี่ยเหยียนที่นั่งกอดเข่าสะอื้นไห้อย่างเงียบงัน ส่วนฮุ่ยฉงคอยลูบหลังและปลอบประโลมอีกฝ่ายด้วยเสียงอันแผ่วเบา…
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเกิดความสงสัย เยี่ยเหยียนติดหนี้อะไรฮุ่ยฉงกันแน่?
บางทีเทพธิดาอาจทราบ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว จึงไม่เหมาะที่ถาม
“ไม่ต้องห่วง ฮุ่ยฉงคือศิษย์ของอารามไท่ชู หากข้าไม่อนุญาต นางย่อมไม่มีทางหมั้นหมายกับผู้ใดได้”
แม้คำพูดของเทพธิดาจะดูเรียบง่าย แต่กลับแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ที่น่าประทับใจ
เสียงร่ำไห้ของเยี่ยเหยียนเงียบลง นางรีบลุกขึ้นประสานมือคำนับพร้อมเอ่ยคำ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ให้การช่วยเหลือ” นางยังคงสะอื้น น้ำเสียงจึงยังติดขัดเล็กน้อย
นี่ทำให้เฉินซีตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าผู้หญิงที่ดูแข็งแกร่งและเย็นชาอย่างเยี่ยเหยียนจะมีด้านที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้
“ท่านเทพธิดา”
ฮุ่ยฉงลุกขึ้นยืนข้างกายเทพธิดาแล้วเอ่ยคำอย่างเกรี้ยวกราด “ตระกูลเส้าเฮ่ากับนิกายอำนาจเทวะน่ารังเกียจนัก ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร เหตุใดถึงคิดจะหมั้นหมายกับข้า?”
“เอาเถอะ เจ้าควรรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่เกิดมาในตระกูลเยี่ย น้อยคนนักที่จะสามารถขัดต่อเจตจำนงของตระกูลได้”
เทพธิดาปลอบประโลมนางเสียงเรียบ
คำพูดนี้ทำให้ฮุ่ยฉงตกตะลึง จากนั้นจึงมองเยี่ยเหยียนผู้ยืนอยู่ข้างกายและอดรู้สึกทุกข์ใจไม่ได้ “ฝ่าบาทพูดถูก พี่สาวของข้าน่าสงสารนัก นางเคยตกเป็นเหยื่อเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากนิกายอำนาจเทวะ”
เยี่ยเหยียนตกตะลึง นางคล้ายกับรู้สึกตื้นตันก่อนจะเอ่ยคำ “ฮุ่ยฉง อย่าพูดอย่างนั้น ข้าออกจากนิกายอำนาจเทวะมานานแล้ว”
“ท่านเทพธิดา ตอนนี้พี่สาวข้าไม่สามารถกลับบ้านได้ อีกทั้งยังเป็นศัตรูกับนิกายอำนาจเทวะและตระกูลเส้าเฮ่า ท่านสามารถแสดงความเมตตาช่วยเหลือนางได้หรือไม่? หรือระหว่างนี้ให้นางอยู่ในอารามไท่ชูไปก่อนก็ได้”
ฮุ่ยฉงมองเทพธิดาด้วยสายตาน่าสงสารขณะขอร้องวิงวอน
“ไม่ได้”
แม้เทพธิดาจะเอ่ยคำอย่างสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยความเด็ดขาดที่มิอาจปฏิเสธได้ “หากศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะปรากฏตัวที่นี่ ภายภาคหน้าก็จะไม่หลงเหลือความสงบในอารามไท่ชูอีกต่อไป”
ฮุ่ยฉงดวงตาหมองหม่น รู้สึกผิดหวังอย่างสุดซึ้ง
เยี่ยเหยียนร่างแข็งทื่อเช่นกัน ใบหน้างดงามซีดเผือด แม้นางจะตัดขาดกับนิกายอำนาจเทวะแล้ว แต่มันก็ยังถือเป็นการทรยศต่อนิกายอำนาจเทวะอยู่ดี
อย่างที่พวกนางทราบ นิกายอำนาจเทวะไร้ความปรานี พวกเขาไม่มีวันเมตตาต่อคนทรยศ
ในตอนนี้แม้แต่เฉินซีก็ไม่อาจทนดูได้
ฮุ่ยฉงพึมพำด้วยอาการหดหู่
“มี แต่ไม่ใช่อารามไท่ชู”
เทพธิดาถอนหายใจแล้วเอ่ยคำ “เจ้าจะไปที่เขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา หรือสำนักเต๋าก็ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะรับพี่สาวของเจ้าหรือไม่”
“เขาเทพพยากรณ์หรือ?”
ทันใดนั้น ดวงตาของฮุ่ยฉงก็ทอประกายขณะมองเฉินซี “น้องชาย เจ้าคือศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ไม่ใช่หรือ พอจะหาทางช่วยพี่สาวข้าได้หรือไม่?”
เฉินซีตกตะลึงขณะเอ่ยคำอย่างลังเล “เรื่องนี้…”
ฮุ่ยฉงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตก นางคว้าแขนเสื้อของเฉินซีแล้วเอ่ยคำ “น้องชาย เจ้าจะทำเป็นเมินเฉยไม่ได้นะ”
เยี่ยเหยียนรู้สึกท้อแท้อย่างแท้จริง เมื่อเห็นเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยห้ามฮุ่ยฉง “ฮุ่ยฉง อย่าบังคับให้ผู้อื่นกระทำในสิ่งที่เขาไม่เต็มใจเลย โลกภายนอกกว้างใหญ่ จะไม่มีที่ให้ข้า เยี่ยเหยียน อยู่ได้อย่างไร?”
ฮุ่ยฉงชำเลืองมองเฉินซีอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้สารเลวเนรคุณ!”
ฮุ่ยฉงไม่พอใจ
“เมื่อครู่กำลังจะพูดแล้ว เจ้านั่นแหละมาขัดข้า”
เฉินซีเอ่ยคำอย่างจนใจ
ในตอนนี้ ฮุ่ยฉงก็รู้สึกเขินอาย “น้องชาย ข้าขอโทษด้วยที่เข้าใจเจ้าผิดไป โปรดอภัยด้วย”
สิ้นคำ นางกำลังจะคำนับเฉินซีเพื่อขอโทษ แต่ชายหนุ่มรีบเข้ามาห้ามเสียก่อน “เข้าใจแล้ว แต่ช่วยฟังสิ่งที่ข้าจะพูดก่อนได้หรือไม่?”
ฮุ่ยฉงพยักหน้ารัวเร็ว “ได้ ได้ น้องชายเชิญพูดมาได้เลย” สีหน้าของนางทั้งดูน่ารักและใสซื่อ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เขาประทับใจในตัวฮุ่ยฉงมาโดยตลอด นางมีจิตใจบริสุทธิ์และเถรตรงจนทำให้ผู้คนตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว
“แม้ข้าจะสามารถช่วยเป็นธุระได้ แต่ก็ไม่สามารถรับปากได้ว่าเขาเทพพยากรณ์จะรับแม่นางเยี่ยเหยียน ถึงอย่างไร… ข้าก็เป็นเพียงศิษย์เท่านั้น”
เฉินซีเล่าถึงเหตุผลที่ลังเลให้ฟัง ถูกต้อง เขาไม่ใช่เจ้าของสถานที่อย่างเขาเทพพยากรณ์ อีกอย่าง สถานที่นี้กับนิกายอำนาจเทวะเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด หากเขาพาเยี่ยเหยียนกลับไป แล้วศิษย์พี่ทั้งหลายจะคิดอย่างไร?
เยี่ยเหยียนลังเลเล็กน้อย พูดตามตรง นางไม่กล้าคาดหวังว่าเขาเทพพยากรณ์จะรับนางเลยสักนิด แม้จะตื้นตันมากหลังจากได้ฟังคำของเฉินซี แต่ก็ไม่กล้าคาดหวังมากจนเกินไป
“เช่นนั้นข้าฝากเรื่องนี้ไว้กับเจ้าแล้วกัน”
เทพธิดาที่เงียบจนถึงตอนนี้ก็เอ่ยคำขณะมองเฉินซี
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เฉินซีพยักหน้า เขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่าเหตุผลที่เทพธิดาพามาพบฮุ่ยฉงกับเยี่ยเหยียนก็เพราะตัดสินใจที่จะช่วยอีกฝ่าย
ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ตอนที่เห็นฮุ่ยฉงกำลังขอร้องเขาเมื่อครู่ หากเป็นคนอื่น เกรงว่าคงเข้ามาห้ามปรามเพื่อเห็นแก่หน้าตาเป็นแน่
ถึงอย่างไร การเห็นศิษย์ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นขณะตัวอาจารย์ไม่อาจให้การช่วยเหลือได้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้อึดอัดใจนัก
ในทางกลับกัน เทพธิดาดูสงบและไม่สะทกสะท้าน จนท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ยอมให้เฉินซีปฏิเสธในช่วงการตัดสินใจครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่านางวางแผนให้เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าเฉินซีจะไม่เปิดโปงเรื่องนี้ ต่อให้เป็นแผนของเทพธิดา เขาก็จะทำมันอยู่ดี นั่นก็เพราะนางช่วยกำราบพลังของกู่ศักดิ์สิทธิ์อวมนตราภายในร่างของเจิ้นหลิวชิงให้
ในตอนนี้ มฤควิญญาณขาวก็เดินกลับมา “เรียบร้อยแล้ว”
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน นั่นหมายความว่าเส้าเฮ่าอวี่ จักรพรรดิคุนมู่ และจักรพรรดิเซวี่ยอิ่งหายไปจากโลกใบนี้แล้ว
เทพธิดาพยักหน้าแล้วเอ่ยคำกับเฉินซี “อวี้เชอเก็บตัวเพื่อพยายามเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิหกดารา เกรงว่าครั้งนี้คงไม่สามารถมาช่วยเจ้าได้”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นจึงเอ่ยคำพร้อมรอยยิ้ม “แบบนั้นคงดีที่สุดแล้ว การได้บ่มเพาะข้างกายผู้อาวุโสนับเป็นวาสนาที่หาได้ยากยิ่ง”
เทพธิดาเอ่ยคำ “เขาเทพพยากรณ์ทรงพลังยิ่งกว่าอารามไท่ชู หากเจ้าเต็มใจก็สามารถอยู่ที่นี่เพื่อทำการบ่มเพาะได้”
“ไม่ได้!”
ทันทีที่สิ้นคำ ฮุ่ยฉงก็คัดค้าน
เฉินซีเผยรอยยิ้มขมขื่นทันที เขาทราบว่าหญิงสาวผู้นี้กังวลว่าผู้เป็นพี่สาวจะไร้ที่พึ่งหากเขาไม่พาไปเขาเทพพยากรณ์
“อวี้เชอฝากมาบอกว่าความเคียดแค้นระหว่างเจ้ากับตระกูลกงเหย่ ถึงอย่างไรนางก็มีส่วนในเรื่องนี้ ดังนั้นหากเจ้าต้องการจัดการตระกูลกงเหย่ นางก็พร้อมยื่นมือเข้าช่วย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เทพธิดาก็เอ่ยขัด “เจ้าวางแผนจะไปเมื่อไหร่?”
เฉินซีพึมพำ “ตอนแรกศิษย์พี่ใหญ่สัญญาว่าจะพากลับสำนักภายในห้าถึงสิบปี บัดนี้ก็ใกล้ถึงเวลาห้าปีแล้ว เขาอาจจะมาในไม่ช้า”
“สิบปีหรือ?”
คิ้วขมวดก่อนจะถอนหายใจ “เอาเถอะ ข้าเพียงหวังว่าจะไม่เกิดปัญหาในช่วงอีกห้าปีที่เหลือนี้”
นางไม่ได้ออกปากไล่เฉินซี แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้นางอยากปิดเส้นทางลับทั้งหมดที่นำไปสู่อารามไท่ชูโดยเร็วที่สุดก่อนจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เขาไม่ทราบว่าจะโต้ตอบอย่างไร
“เวลาที่เหลือ…”
ขณะเปิดปากและกำลังจะบอกบางสิ่ง แต่ทันใดนั้นก็มีแสงเจิดจ้าในดวงตาของนางขณะจับจ้องไปยังที่ไกลออกไป
………………..