บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1788 ภูมิมังกรมายา
บทที่ 1788 ภูมิมังกรมายา
จากตำนานเล่าขาน มหาเทพเต๋าบรรพมังกรได้ใช้ทักษะอันเลิศล้ำสร้างสุสานให้ตนเองก่อนตกตาย ทิ้งวาสนายิ่งใหญ่ไว้ยามสิ้นขัย
บ้างกล่าวว่ามันคือดวงจิตมังกร
บ้างว่ามันคือพลังแก่นแท้สสารจากมหาเทพเต๋าบรรพมังกร
บ้างว่าคือมุกมังกรอันบรรจุมรดกทั้งหมดของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเอาไว้
กล่าวได้ว่ามีความเห็นมากมายแตกต่าง
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันคือมรดกยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
เพราะตำนานนี้ พื้นที่อันตรายยิ่งยวดในกลุ่มดาววิญญาณจรแห่งนี้จึงดึงดูดผู้บ่มเพาะมากมายตลอดกาลนาน
น่าเสียดาย ไม่เพียงคนเหล่านั้นไม่อาจหาที่ตั้งของมรดกยิ่งใหญ่นั้นได้ พวกเขาส่วนใหญ่ยังตกตายอยู่ในกลุ่มดาววิญญาณจรด้วย
จนบัดนี้ ข่าวลือเกี่ยวกับมรดกสูงสุดนี้ได้เงียบหาย น้อยคนนักจะหยั่งทราบ แต่ตัวตนอย่างจักรพรรดิไท่จิ้งไม่เคยลืมตำนานนี้เลย
เพราะเหตุใด?
เพราะแตกต่างจากมหาเทพเต๋าอื่น ๆ มหาเทพเต๋าบรรพมังกรคือมังกรอย่างแท้จริง! เขาเป็นเทพโดยกำเนิดซึ่งก่อเกิดจากความโกลาหล สายเลือดสูงส่งเหนือกิเลน ปี้อ้าน ไป๋เจ๋อ และเซี่ยจื้อนัก
มีเพียงอสูรนภาศักดิ์สิทธิ์อย่างวิหคเพลิงที่แท้จริงเท่านั้นที่เทียบชั้นมันได้
นอกจากนั้น การบ่มเพาะของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรยังเลิศล้ำ บรรลุถึงขอบเขตมหาเทพเต๋า ซากสังขารของเขามีหรือจะธรรมดา?
ไม่ว่าจะไร้ประโยชน์เพียงไร อย่างน้อยก็ยังสามารถนำไปทำศาสตราศักดิ์สิทธิ์ได้!
แน่นอน หากได้ซากสังขารของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรมาจริง ๆ ก็คงไร้ผู้ใดทำของขวัญฟ้าประทานเสียของไปเช่นนั้นหรอก
…
เพียงพริบตา ความคิดเหล่านี้ก็แล่นพล่านในใจจักรพรรดิไท่จิ้ง ทำให้สายตาที่เขามองมายังแดนเต๋าวรุณจินดาจากไกล ๆ เจือความปรารถนารุ่มร้อนอย่างช่วยไม่ได้
หากข้าได้รับวาสนายิ่งใหญ่นี้มาขณะฆ่าศัตรู ก็นับว่าเป็นโชคยิ่งใหญ่สำหรับข้าโดยแท้!
ทว่าพริบตาต่อมา จักรพรรดิไท่จิ้งก็เริ่มลังเลเล็กน้อย
ผู้คนซึ่งออกแสวงโอกาสนี้นับแต่โบราณกาลล้วนล้มเหลวไร้ข้อยกเว้น! นอกจากนั้น พวกเขายังพบจุดจบอันน่าสยดสยองยิ่ง ไม่เพียงตกตาย ข่าวคราวยังเงียบหาย สังขารไร้ที่กลบฝัง
ในโลกหล้าผู้บ่มเพาะปัจจุบัน กลุ่มดาววิญญาณจรก็คือแดนจำกัดที่ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงล้ำ เพราะนั่นเท่ากับรอรับจุดจบอันน่าสะพรึงกลัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จากสิ่งที่จักรพรรดิไท่จิ้งทราบ ผู้บ่มเพาะทั้งหลายที่กล้าเข้าสู่แดนดินนี้ล้วนเป็นผู้เก่งกาจเกินธรรมดาอันลือนามในยุคสมัย แต่เมื่อมาถึง พวกเขาก็สูญหายสิ้นข่าวคราว….
ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจักรพรรดิไท่จิ้งจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเพียงไร เขาก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามอยู่ดี
วูบ! วูบ! วูบ!
ขณะนั้นเอง จู่ ๆ มิติก็กระเพื่อมเป็นวง บุคคลกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือเหล่ายอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจากตระกูลบริวารของตระกูลเส้าเฮ่า
สิ่งนี้ปลุกจักรพรรดิไท่จิ้งจากภวังค์ความคิดในบัดดล เขามองมายังคนเหล่านั้นแล้วอดขมวดคิ้วมิได้ “เหตุใดพวกเจ้าจึงมากันเพียงสิบเอ็ด? คนอื่นเล่า?”
ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของผู้ฟังก็ยากมอง หลายคนยังเผยความหวาดผวาตกค้าง เหมือนพบบางสิ่งอันน่าสะพรึงกลัวระหว่างทาง
“ผู้อาวุโสสิบห้า ระหว่างทางมีอันตรายและภัยธรรมชาติมากมายนัก เราที่รอดชีวิตมาถึงที่นี่ได้อย่างสวัสดิภาพนับว่าโชคดีแล้ว ส่วนผู้อื่น ข้าเกรงว่า…” ใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
ปราณของพวกเขากระทั่งหายไปจากกระดานสุเมรุเทียมเมฆา เห็นได้ชัดว่าตายไปแล้ว!
“ใช้ไม่ได้กันเสียเลย!” จักรพรรดิไท่จิ้งตำหนิเสียงเย็น แม้เขาจะตระหนักดีว่าเส้นทางที่นี่เต็มไปด้วยอันตรายสารพัด ทั้งฝนอุกกาบาต รอยแยกมิติ หลุมดำ พิรุณแสงหลากสีและอื่น ๆ… กล่าวได้ว่าเป็นสถานที่อันตรายร้ายแรง เป็นภัยถึงชีวิตแม้แต่กับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่า กระทั่งเฉินซียังมาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยได้ ขณะที่ยอดฝีมือขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลสามคนจากฝ่ายตนกลับตกตายระหว่างทาง เขาก็รู้สึกว่าคนเหล่านั้นไร้ประโยชน์จริง ๆ
ขณะนี้ บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลคนอื่น ๆ รอบข้างต่างเงียบงันเช่นจั๊กจั่นในเหมันตฤดู หัวใจรู้สึกคับแค้นเล็กน้อย เพราะการมาที่นี่ พวกเขาต้องบากบั่นรับความเสี่ยงสาหัสยิ่ง ภัยธรรมชาติเหล่านั้นใช่สิ่งที่หลบกันได้ง่าย ๆ หรือ?
“ช่างมันเถอะ ภารกิจของเราสำคัญกว่า ก่อนหน้านี้ข้าพบร่องรอยเจ้าเด็กนั่นแล้ว น่าเสียดายที่เขาฉวยโอกาสก่อนข้ามาถึงหนีเข้าไปในแดนเต๋าวรุณจินดา หลังจากนี้….” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จักรพรรดิไท่จิ้งพลันสูดหายใจลึก ๆ แล้วกัดฟันกล่าว “เราไปด้วยกัน ไม่ว่าจะอันตรายเพียงไร มีข้าอยู่ พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวล”
แดนเต๋าวรุณจินดา!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเหล่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลก็แปรเปลี่ยนทันตา เห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับมหาเทพเต๋าบรรพมังกรมามากมาย
หลายคนกระทั่งเผยเค้าความหวาดหวั่นลึกซึ้ง ลังเลอย่างยิ่ง
“อย่าห่วงไป หากหนนี้เราทำสำเร็จ มิเพียงเราจะฆ่าเป้าหมายได้ เราอาจกระทั่งได้วาสนายิ่งใหญ่กลับไปด้วย ถึงยามนั้น ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับพวกเจ้าแน่นอน” ดวงตารีเรียวของจักรพรรดิไท่จิ้งกวาดมองคนทั้งหลายพลางให้สัญญา ทำให้สีหน้าของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทั้งหลายอ่อนลงเล็กน้อย
วิ้ง!
จักรพรรดิไท่จิ้งนำภาพวาดทิวทัศน์อันเผยคลื่นกระเพื่อมสีมรกตออกมา สาดรัศมีปกคลุมร่างพวกเขา
“ไป!” อึดใจต่อมา พวกเขาก็มุ่งหน้าสู่ดินแดนเต๋าวรุณจินดาซึ่งดูเหมือนสุสานอันเลื่อนลอยในสุญตา
…
ไม่นานนัก คลื่นกระเพื่อมอีกสายก็บังเกิดในสุญตาถิ่นเดิม แล้วห้าลำแสงเรืองรองสีทอง เขียว น้ำเงิน แดง และเหลืองก็ปรากฏขึ้น
หลังจากนั้น ลำแสงเหล่านั้นก็แผ่คลื่นอำนาจ แปรเปลี่ยนเป็นร่างของห้าขุนพลวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากนิกายอำนาจเทวะ
“แดนเต๋าวรุณจินดา!”
“สถานที่ฝังมหาเทพเต๋าบรรพมังกร!”
“จักรพรรดิไท่จิ้งยังกล้าพาบริวารเข้าสถานที่อันตรายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเจตนาเพียงฆ่าเด็กนั่น”
“ที่นี่คือสุสานของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร จากตำนานเล่าขาน หนึ่งวาสนายิ่งใหญ่ถูกซ่อนที่นี่ คงไร้ผู้ใดต่อต้านความเย้ายวนเช่นนั้นไหว”
พวกเขาทั้งหลายต่างมองไปยังจุดหนึ่งในท้องนภาอันปกคลุมด้วยดาวฤกษ์แผดผลาญและเพลิงทิพย์เขียวซีด เผยสีหน้าแตกต่างกัน
“เราลองสักหน่อยดีหรือไม่?” ขุนพลวิญญาณเพลิงเอ่ยปาก นางมีริมฝีปากสีแดงเพลิง ดวงตาชุ่มชื้นเรืองประกาย ทรวดทรงงดงามเปี่ยมเสน่ห์ สวมชุดกระโปรงลูกไม้เบาบางขับส่วนเว้าส่วนโค้ง ผิวกายขาวเนียนเช่นหิมะ ทุกการเคลื่อนไหวเผยเสน่ห์จัดจ้าน
นางและขุนพลวิญญาณวารีเป็นสตรีเพียงสองในห้าขุนพลวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งเพลิงหนึ่งวารี เป็นการรวมตัวที่น่าสนใจนัก
“เอาชีวิตไปทิ้งน่ะหรือ?” ขุนพลวิญญาณทองผู้นำกลุ่มกล่าวเสียงเย็น สายตาคมกริบดุจมีดดุร้ายกดดัน
“เช่นนั้น เจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นไร? เพราะหากเจ้าเด็กนั่นถูกจักรพรรดิไท่จิ้งสังหาร ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากและเหรียญทองแดงโปรยสมบัติในมือเขาก็จะไปอยู่ในมือจักรพรรดิไท่จิ้งนะ! เจ้า… ทนมองมันได้หรือ?” ขุนพลวิญญาณเพลิงพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงอันแฝงแรงดึงดูดเฉพาะตัว เปี่ยมเสน่ห์กระตุกหัวใจ
“เจ้าพลาดแล้ว เราก็แค่ต้องรอที่นี่ ถึงยามนั้น ไม่ว่าเจ้าเด็กนั่นจะโชคดีพอรอดกลับมา หรือกลุ่มของจักรพรรดิไท่จิ้งออกมาได้โดยสวัสดิภาพ เราก็แค่ฆ่าพวกเขาเสีย เท่านี้ก็บรรลุภารกิจได้แล้ว” ขุนพลวิญญาณทองพูดเสียงเรียบ ข้อเสนอของเขาไม่ต่างอะไรกับเป็นนกขมิ้นรอชมตั๊กแตนจับจักจั่น
“แล้วหากพวกเขาตายกันหมดเล่า?” ขุนพลวิญญาณเพลิงขมวดคิ้ว ยามเผชิญวาสนายิ่งใหญ่ นางก็ไม่อยากจะรออยู่ข้างนอกเลยจริง ๆ
คนอื่น ๆ มองหน้ากัน ตอบตกลงอย่างไร้เสียง
…
ทั่วทิศเงียบสงัด
แดนเต๋าแห่งนี้ปกคลุมด้วยปราณทัณฑ์ไร้ซึ่งสำเนียงใดนอกจากการเคลื่อนย้ายมิติของเป่าน้อยอันกึกก้อง ประหลาดและน่าสะพรึงกลัว
ดวงดารามากมายแผดผลาญด้วยเพลิงทิพย์เขียวซีด ดุจตะเกียงเรืองพร่างพราวพิทักษ์สุสานอันถูกประวัติศาสตร์ลืมเลือนมาเนิ่นนาน
มันยิ่งใหญ่ พิศวง และน่าสะพรึงกลัว
หลังเข้ามาในดินแดนเต๋าแห่งนี้ เฉินซีก็สังเกตชัดเจนว่าปราณเต๋าสวรรค์ในแดนเทพโบราณถูกกันไว้เบื้องนอก อากาศที่นี้เต็มไปด้วยปราณทัณฑ์อันชวนให้หัวใจหนาวเยือก ดูประหนึ่งขอเพียงแปดเปื้อนมันแม้เพียงเสี้ยว วิญญาณก็จะตกตายไม่เหลือดี
ทว่าไม่นาน เฉินซีก็สังเกตพบว่า ขอเพียงปราณทัณฑ์ไร้ลักษณ์นี้เข้ามาใกล้ตน พวกมันก็เหมือนเป็นคลื่นซัดหน้าผา แหลกสลายล่าถอยไปไม่อาจเขยื้อน
“เป็นไปตามคาดจริง ๆ ปราณทัณฑ์ที่นี่ทำร้ายเจ้าไม่ได้….” เหล่าไป๋ผ่อนหายใจโล่งอก ดูเหมือนเมื่อครู่จะอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล
“เมื่อครู่ เจ้าไม่แน่ใจหรือ?” เฉินซีเลิกคิ้ว
“เอ่อ” สีหน้าของเหล่าไป๋นิ่งค้างพูดไม่ออก จากนั้นมันก็พูดอย่างไม่ยอมรับผิด “ตัวข้า บรรพชนผู้นี้ไม่เคยพบตัวประหลาดเช่นเจ้ามาก่อน เป็นธรรมดาหากจะไม่แน่ใจ อีกอย่าง เจ้าไม่เห็นหรือว่าปราณทัณฑ์ไม่อาจทำร้ายเจ้าได้เลยจริง ๆ”
เฉินซีถลึงตามองวิหคเฒ่าอย่างโมโห “หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ เจ้าก็อย่าหวังรอดชีวิตเลย!”
“เฉินซี เราต้องไปทางไหนหรือ?” เป่าน้อยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย นับแต่เข้ามาในดินแดนเต๋าแห่งนี้ มันก็สิ้นการรับรู้ทิศทางโดยสมบูรณ์ ราวเข้ามาในเขาวงกตอันรายล้อมด้วยดาวฤกษ์เรืองเพลิงเขียวซีด เป็นภาพอันชวนขวัญผวา
เฉินซีนิ่งไป ก่อนจะหันมองรอบ ๆ แล้วก็ต้องตะลึงไป เมื่อพบว่าตนไม่อาจกำหนดทิศทางได้เช่นกัน!
“หรือว่าเรา… จะตกอยู่ในข้อจำกัดบางอย่าง?” เฉินซีขมวดคิ้ว เริ่มคิดเร็วจี๋
“ไม่ใช่ข้อจำกัดหรอก ภูมิมังกรมายาต่างหาก!” สีหน้าของเหล่าไป๋ดูไม่จืดอย่างยิ่ง พูดออกมาอย่างโกรธเคือง “เหตุใดเจ้าสิ่งสมควรตายนี่จึงมาโผล่ที่นี่ได้!?”
เฉินซีตกตะลึงยิ่งในใจ ถามอย่างมึนงงประหลาดใจ “มันร้ายกาจมากหรือ?”
เหล่าไป๋เหมือนสิ้นความอดทน พูดรัวเร็ว “ลืมเรื่องนั้นไปก่อน จากนี้ไป พวกเจ้าทั้งสองห้ามส่งเสียงเด็ดขาด เดินไปข้างหน้า ห้ามเผยความกลัวใด ๆ หาไม่ หนนี้เราตายแน่ ส่วนเรื่องอื่น ให้ข้าจัดการเอง….”
มิทันสิ้นวาจาเหล่าไป๋ หนึ่งเหตุไม่คาดฝันก็พลันบังเกิด!
………………..