บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1789 สำเนียงมังกร
บทที่ 1789 สำเนียงมังกร
โฮก!
เสียงมังกรคำรนเลื่อนลั่นเช่นอัสนีกึกก้องไปทั่วทิศ ทำให้ฟ้าดินหม่นรัศมี มิติสะท้านสะเทือนรุนแรง
พร้อมกันนั้น แรงกดดันอันน่าสะพรึงสุดขีดสายหนึ่งหลากเข้ามาดุจกระแสธารา กระจายไปทั่วท้องนภาเรืองพร่าง
เพียงพริบตา เฉินซีก็เหมือนร่วงสู่โพรงน้ำแข็ง สะท้านเกร็งไปทั้งตัว แรงกดดันนี้ร้ายกาจเกินไป ทำให้เส้นขนทั่วกายชี้ตั้ง ร่างสะท้านด้วยความกลัว
ไม่เพียงเขา กระทั่งเป่าน้อยยังเบิกตากว้างหน้าง้ำ กำลังจะอ้าปากอุทาน ทว่าก็ได้รับกระแสปราณจากเฉินซีบอกว่า “ใจเย็นไว้ ให้เหล่าไป๋จัดการ!”
ทันทีที่พูดจบ หนึ่งศีรษะมังกรขนาดมหึมาพลันปรากฏจากส่วนลึกของท้องนภา ดวงตาดุจคู่ตะวันโรจน์เรือง เขาตระหง่านเช่นบรรพต หนวดเจิดจรัสเช่นธารสีเงินโรยจากเวหา
เพียงศีรษะนี้ลำพังก็กินพื้นที่ทั่วท้องนภาแสนไกล
ปราณของมันยิ่งใหญ่ทรงสง่า เปี่ยมบรรยากาศเก่าแก่ดุจข้ามจากบรรกาล ประหนึ่งเจ้าเหนือสรรพสิ่ง กระทั่งทำให้ท้องนภาเรืองดาวสงัดงันราวป่าช้า
ถึงขนาดที่กระทั่งปราณจากศีรษะมังกรนี้น่ากลัวเกินจักรพรรดิใดที่เคยพบพาน!
โฮก!
เสียงมังกรคำรนกวาดกระหน่ำดุจนทีหลาก เลื่อนลั่นชวนดับโสต นอกจากนั้น ท้องนภาเรืองรองนี้ยังดูเจียนระเบิดเป็นจุณเพราะมันเต็มที
“โชคดีแท้! โชคดีนัก! มันเป็นเพียงจารึกมังกรมายา….” ขณะที่เฉินซีตกตะลึงเป็นกังวล เสียงอันโล่งใจของเหล่าไป๋ก็ลอยมาผ่านกระแสปราณดังเข้ามา ก่อนเฉินซีจะทันได้ตอบ เขาก็เห็นเหล่าไป๋เผยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเดินข้ามมิติไป ขณะที่ทั่วกายเผยปราณยิ่งใหญ่สูงส่งอันหายากยิ่ง
มันเงยหน้าขึ้นมองศีรษะมังกรบนท้องนภาอย่างเงียบ ๆ อยู่นาน ก่อนจะเปล่งคลื่นเสียงอันกึกก้องคลุมเครือยิ่ง
ทุกพยางค์สุดแสนซับซ้อน น้ำเสียงเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เว้นวรรคแปรสำเนียง บางครั้งเรียบง่าย บางครั้งกระแทกเสียง ทันทีที่เหล่าไป๋เริ่มออกวจีเหล่านี้ มันก็เผยแรงกดดันน่าสะพรึงสะเทือนถึงวิญญาณ
มันคือสำเนียงมังกร!
นอกจากนั้น มันยังให้ความรู้สึกกดดันอย่างเป็นเอกลักษณ์ และความยิ่งใหญ่อันเป็นของเผ่ามังกร
แม้เฉินซีจะไม่เคยได้ยินมันมาก่อน แต่เขาก็แน่ใจว่านี่คือสำเนียงมังกรไม่ผิดแน่ ส่วนเหล่าไป๋พูดอะไรอยู่นั้น ไม่อาจทราบได้เลย
ศีรษะมังกรเหนือท้องนภานั้นเดิมทีถลึงตามองมาอย่างดุร้าย กู่ร้องแข็งกร้าว ประหนึ่งจะล้างคณะเฉินซีให้สิ้น ทว่ายามมันได้ยินเหล่าไป๋พูดด้วยสำเนียงมังกร เสียงคำรามของมันพลันหยุดลง หรี่ตามองจ้องที่เหล่าไป๋
พริบตานั้น เฉินซีสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าปีกซึ่งพับอยู่เบื้องหลังของเหล่าไป๋คลับคล้ายสั่นสะท้าน
ทว่าในภายนอก มันดูสุดแสนเยือกเย็นสำรวม เปล่งสำเนียงมังกรอันคลุมเครือออกมาอีกระลอก
เสียงนี้ยาวนานอย่างยิ่ง เหมือนเป็นการหวนย้อนกาลเวลาอันแสนห่างไกล บรรยายถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สูงส่ง
เฉินซีสังเกตเห็นชัดเจนว่าประกายดุร้ายในดวงตามังกรวูบไหวไม่จบสิ้น เหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอย่างไม่แน่ใจ
เมื่อเหล่าไป๋หยุดพูด ศีรษะมังกรขนาดมหึมาก็อ้าปากเปล่งสำเนียงมังกรเช่นกัน มันทรงพลังแต่เรียบง่าย เลื่อนลั่นเช่นอัสนีสะท้านฟ้าดิน
เหล่าไป๋ได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนถอนใจโล่งอก ก่อนจะแย้มยิ้มแล้วพูดคุยต่อในสำเนียงมังกร
เหตุการณ์นี้ดูประหลาดยิ่งนัก หนึ่งฝ่ายเป็นศีรษะมังกรลึกลับขนาดมหึมาในท้องนภาพร่างพราว เผยลักษณ์เพียงส่วนศีรษะ ขณะที่อีกฝ่ายเป็นวิหคขนขาวดุจหิมะ กรงเล็บแหลมคมดุจหลอมจากทอง
หนึ่งเป็นดั่งนายเหนือฟ้าดิน ขณะที่อีกฝ่ายเหมือนมดตัวจ้อย แต่ขณะนี้ พวกมันกลับเสวนากันผ่านสำเนียงมังกรราวมาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
แต่เฉินซีสัมผัสได้ชัดเจนว่ายิ่งบทสนทนาดำเนิน แรงกดดันซึ่งปกคลุมเต็มฟ้าดินก็ยิ่งบรรเทา ไม่ได้ร้ายกาจเช่นกาลก่อน
กระทั่งท้องนภาใกล้เคียงยังเงียบเสียงลง
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก อย่างน้อยที่สุดก็พิสูจน์ได้แล้วว่าการสื่อสารระหว่างเหล่าไป๋และมังกรมีความคืบหน้ามากนัก
หนึ่งก้านธูปผ่านไป จู่ ๆ เหล่าไป๋ก็โบกปีกให้มังกรราวกล่าวลา จากนั้นก็หันกลับมาข้างกายเฉินซีอย่างลอยชาย
ยามหันหลังให้มังกร สีหน้าซึ่งเดิมสุขุม สำรวมและเป็นมิตรของเหล่าไป๋ก็พลันพังทลาย เผยความกลัวเกาะกุมหัวใจ รีบส่งกระแสปราณรัวเร็วพูดคำเดิมซ้ำ ๆ “กลัวจะตายแล้ว กลัวจะตายแล้ว….”
เฉินซีผงะไป ชายหนุ่มเงยหน้ามองและพบว่าไกลออกไป ศีรษะมังกรพยักหน้าให้เขาน้อย ๆ ก่อนจะกลายเป็นละอองแสงมหึมากระจายหายไปในอากาศธาตุ
เห็นเช่นนี้ เฉินซีก็เข้าใจแล้วว่าเหล่าไป๋สามารถใช้วาทศิลป์จัดการอันตรายตรงหน้าได้!
ทว่ายามนี้ เหล่าไป๋เหมือนหมดสภาพ ร่างของมันสั่นสะท้าน เหมือนเพิ่งหวนคืนจากประตูผี
“เมื่อครู่พวกเจ้าคุยอะไรกัน จึงขวัญเสียได้เพียงนี้?” เป่าน้อยอดถามมิได้
เป่าน้อยฉีกยิ้ม “ข้าไม่เห็นจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้ากลัวจนขวัญผวาแต่ไม่ยอมรับ ตายไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้สินะ”
สีหน้าของเหล่าไป๋แย่ลงทันที ขณะที่กำลังจะด่าเป่าน้อย เฉินซีก็หยุดไว้ทันควัน “พอแล้ว เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เมื่อหัวข้อนี้ถูกหยิบยก เหล่าไป๋ก็สุดปรีดา “เฮอะ เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว นั่นคือตราประทับเจตจำนงซึ่งถูกทิ้งไว้โดยมังกรมายาตนหนึ่งซึ่งเกิดจากความโกลาหล น่าเสียดายที่เขาไร้ประสบการณ์ ถูกข้า บรรพชนผู้นี้หลอกได้ง่าย ๆ เลยถือข้าเป็นผู้อาวุโสของเขา ฮ่า ๆ ๆ”
ยิ่งพูด เหล่าไป๋ก็ยิ่งตื่นเต้น ใบหน้าเปี่ยมความภาคภูมิลำพอง
“เจ้าระวังหน่อย” เฉินซีมองไปรอบ ๆ พลางเตือน “หากเขาสังเกตพบแล้วกลับมาจะแย่นะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เหล่าไป๋พูดอย่างดูกระชุ่มกระชวย “ข้าตะล่อมรีดความลับจากมันมาได้เยอะเลย ภูมิมังกรมายานี้ไม่อาจทำร้ายเราได้แล้วล่ะ”
เฉินซีได้ยินเช่นนี้ก็อดยิ้มมิได้ ชมออกมา “เหล่าไป๋ สุดยอดไปเลย!”
“ฮึ! ไม่ต้องมายอบรรพชนผู้นี้หรอก” เหล่าไป๋แค่นเสียงเย็น ทว่าสีหน้าสุดภาคภูมิย่ามใจ
แต่พริบตาต่อมา มันก็แย้มยิ้มหัวเราะหึ “ไอ้หยา ข้าไม่คาดเลยนะว่าเจ้าจะรู้จักยอผู้อื่นด้วย เจ้าหนู ช่างมันเถอะ บรรพชนผู้นี้จะนำพวกเจ้าออกจากภูมิมังกรมายานี้เอง”
“ตามข้ามา จากที่มังกรมายานั่นบอก แดนเต๋าแห่งนี้มีนามว่าวรุณจินดา เป็นสุสานของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเมื่อนานแสนนานมาแล้ว”
“ภูมิมังกรมายาไม่ใช่สถานที่อันตรายหนึ่งเดียวในนี้ หมายความว่าการจะหาสุสานของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรสำหรับเราไม่ได้ง่ายเลย”
“เพราะถึงอย่างไร ผู้บ่มเพาะแทบทั้งหมดที่มาสำรวจที่นี่ต่างตกตาย ไม่มีผู้ใดได้มรดกที่มหาเทพเต๋าบรรพมังกรทิ้งไว้เลย เห็นได้ชัดว่าอันตรายเพียงไร”
“แน่นอน ขอเพียงพวกเจ้าทั้งสองตามบรรพชนผู้นี้มา ก็จะไม่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ มิเช่นนั้น บรรพชนผู้นี้จะเอาหน้าไปไว้หนใด?”
ระหว่างทาง เหล่าไป๋พูดจ้ออย่างกระหยิ่มยิ้มย่องพลางนำทาง ไม่หยุดปากพักหายใจแม้แต่นิดเดียว
แดนเต๋าวรุณจินดาอันตรายสุดขั้ว เต็มไปด้วยปราณทัณฑ์และซ่อนอันตรายร้ายแรงมากมาย นับแต่อดีตกาล ตัวตนแข็งแกร่งไร้เทียมทานเกินคณานับตกตายที่นี่ ทำให้มันดูร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ทว่ายามนี้ เมื่อมีเหล่าไป๋นำทางพลางอธิบายทุกอย่างไม่หยุดปาก บรรยากาศซึ่งเดิมเงียบสงัดวังเวงจึงมลายสูญ
นอกจากรู้สึกขบขัน เฉินซียังรู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย มีวิหคพิลึกอย่างเหล่าไป๋อยู่ ก็ดูเหมือนกระทั่งสถานที่อันตรายที่สุดในโลกยังเปลี่ยนบรรยากาศเป็น… สุดพิกลได้
หมู่ดาราผลาญเพลิงทิพย์เขียวซีดดุจเพลิงวิญญาณวูบไหวในสุสานกลางจักรวาลพร่างพราว ทำให้บริเวณรอบข้างปกคลุมด้วยบรรยากาศวังเวงไร้สำเนียง
“เหล่าไป๋” เนิ่นนานจากนั้น เฉินซีก็อดขัดขึ้นไม่ได้ “ข้าแค่อยากหาที่พักฟื้น ใครบอกเจ้ากันว่าข้าจะมาแสวงวาสนาในสุสานมหาเทพเต๋าบรรพมังกรนั่น?”
เหล่าไป๋นิ่งไป ก่อนจะร้องออกมา “จะบอกว่าเจ้ายั้งตนเองได้หรือ? นั่นคือวาสนาที่มหาเทพเต๋าผู้หนึ่งทิ้งไว้เชียวนะ! หากเป็นผู้อื่นคงสู้ตายแย่งกันแล้ว แต่เจ้ากลับวางตัวเฉยจากมันได้หรือ?”
เฉินซีพูดอย่างฉุนเฉียว “แล้วเจ้ากล้าประกันหรือไม่ว่าข้าในสภาพนี้จะได้วาสนานั่นมา?”
เหล่าไป๋นิ่งไป เผยท่าทีครุ่นคิดหนักอย่างหาได้ยาก เนิ่นนานจึงเปิดปาก “เป็นปัญหาอยู่นิดหน่อยจริง ๆ แฮะ สุสานมหาเทพเต๋าบรรพมังกรนั่นลึกลับยิ่ง หากเราไม่เตรียมตัวให้พรั่งพร้อมแล้วสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป เราก็จะลำบากกันจริง ๆ”
“ดังนั้นสิ่งแรกที่เจ้าควรทำคือช่วยข้าหาที่ทำสมาธิบ่มเพาะ หลังข้าฟื้นกำลังแล้ว เราค่อยตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อก็ไม่สาย” เฉินซีสูดหายใจลึก แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “อีกอย่าง เรายังมีศัตรูฉกาจมากมายไล่หลังมา!”
“พวกเขาน่ะหรือ?” เหล่าไป๋หัวเราะเย้ย กล่าวอย่างดูแคลน “พวกเขาไม่ได้มี ‘ชะตากรรม’ เช่นเจ้าที่สามารถเลี่ยงผลของปราณทัณฑ์ได้ และไม่มีข้า บรรพชนผู้นี้นำทาง เมื่อพวกเขาตกอยู่ในภูมิมังกรมายา เจ้าคิดว่าจะรอดได้สักกี่คน?”
“แต่หากพวกเขารอดมาได้จริง ๆ เล่า?” เฉินซีขมวดคิ้ว
“ช่างเถอะ ตามที่เจ้าพูดนั่นแหละ” เหล่าไป๋เบ้ปาก
หลังตามเหล่าไป๋หนึ่งชั่วละเลียดชา เฉินซีก็พบว่าภาพตรงหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนไป หนึ่งพื้นที่สุญตาซึ่งมีโครงกระดูกนับไม่ถ้วนล่องลอยปรากฏขึ้นในสายตาของเฉินซี!
ซากกระดูกเหล่านั้น เล็กที่สุดก็มีขนาดเกินหมื่นจั้ง มโหฬารดุจขุนเขาทอดตัวบนสุญญะ
ขณะเดียวกัน ซากกระดูกซึ่งใหญ่ที่สุดพาดผ่านกระทั่งดวงดารามากมาย ดุจผืนทวีปละล่องบนจักรวาล
สิ่งน่าตกใจก็คือ พวกมันทั้งหมดคือกระดูกมังกร!
จำนวนของพวกมันมหาศาลเบียดเสียดบดบังท้องนภาไปส่วนหนึ่ง เป็นภาพอันชวนตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
“นี่คือสุสานมวลมังกร ยอดฝีมือบางตนจากเผ่ามังกรซึ่งตกตายไปกับมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเมื่อกาลก่อนถูกฝังอยู่ที่นี่ จำไว้ว่าห้ามแตะต้องซากมังกรเหล่านั้นเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเป็นการชักจูงหายนะเกินคาดคิด!”
เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ สีหน้าของเหล่าไป๋พลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ส่งกระแสปราณเตือนทั้งเฉินซีและเป่าน้อยเสียงเครียด
………………..