บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1790 สุสานมวลมังกร
บทที่ 1790 สุสานมวลมังกร
สุสานมวลมังกร!
โครงกระดูกมังกรอันเบียดเสียดลอยตัวในท้องนภา ปรากฏว่าเป็นของยอดฝีมือเผ่ามังกรที่ตกตายไปกับมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเมื่อกาลก่อน!
เฉินซีสูดหายใจเฮือก ไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าเหตุใดเมื่อกาลก่อน เผ่ามังกรจึงกระทำการสุดแสนไร้สติเช่นนั้นลงไป
พวกเขาทำเช่นนี้ทำไม?
เป็นความเชื่อหรือ? หรือบางทีจะเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง? เฉินซีไม่อาจคิดออกว่าเหตุผลเป็นเช่นไร แต่สิ่งนี้ทำให้เขาพอเข้าใจมากขึ้นว่ามหาเทพเต๋าบรรพมังกรไม่ธรรมดาเพียงไหน
“แม้ที่นี่จะอันตราย แต่เจ้าก็ไม่ต้องห่วงไป ขอเพียงไม่ไปแตะโครงกระดูกมังกรเหล่านี้เข้า หากเจ้าอยากทำสมาธิบ่มเพาะ ที่นี่ก็เหมาะสมที่สุดแล้ว” เหล่าไป๋ส่งกระแสปราณเร็วจี๋
เฉินซีพยักหน้า แล้วกวาดตามองไปรอบตัว หาสถานที่ปลอดภัยลับตาคน ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิ
ทว่าขณะที่เขากำลังจะทำสมาธิฟื้นบาดแผล จู่ ๆ เหล่าไป๋ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้ามีลับลมคมใน “เจ้าหนู อยากรู้หรือไม่ว่าบรรพชนผู้นี้ได้เคล็ดวิชาเช่นไรมาจากกระดูกต้นกำเนิดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์?”
เฉินซีกล่าวกับวิหคเฒ่าสั้น ๆ “ไม่”
ว่าแล้วก็หลับตาลง ชายหนุ่มตระหนักชัดเจนว่ายิ่งมีท่าทีใคร่รู้ วิหคเฒ่านี่จะยิ่งปากหนัก และเขาก็ไม่อยากสนองทิฐิให้วิหคเฒ่านี่
สีหน้าของเหล่าไป๋ชะงัก พูดขึ้นอย่างร้อนใจ “เดี๋ยวสิ! บรรพชนผู้นี้ยังพูดไม่จบ เจ้าก็ปฏิเสธแล้ว นี่จะไม่ไว้หน้ากันเลยหรือ?”
เฉินซีเงียบกริบ ทำเหมือนไม่ได้ยินเหล่าไป๋เลยสักคำ ทำให้เป่าน้อยข้าง ๆ กันขำคิกไม่หยุด
“ก็ได้! จำไว้นะว่าเจ้าปฏิเสธเอง น่าเสียดาย หากเจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดกันมาในยุคก่อน อย่างน้อยเจ้าก็จะสามารถกำจัดผลข้างเคียงของวิชาระเบิดสังหารเทวะได้สักครึ่ง น่าเสียดายที่มีคนไม่คิดรักษามัน” เหล่าไป๋กลอกตา รำพึงเสียงลุ่มลึก
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน พลันลืมตาขึ้นมาถาม “วิชาอะไร?”
เหล่าไป๋พูดอย่างลำพอง “เจ้ามิใช่ไม่อยากรู้หรือ? อย่าถามข้าสิ เคล็ดวิชานี้ที่ข้า บรรพชนผู้นี้บากบั่นทำความเข้าใจมาคงไม่เหมาะสมกับเจ้าหรอก”
เฉินซีพูดอย่างอารมณ์เสีย “รีบบอกข้ามา!”
“เฮ้ พูดกับบรรพชนผู้นี้ให้ดี ๆ หน่อย!” เหล่าไป๋ไม่ชอบใจอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นเฉินซีเป็นเช่นนี้ เหล่าไป๋ก็สิ้นหนทาง ยังไม่ลืมว่าในอดีตยามเฉินซีคว้าคอมัน และสภาพในตอนนั้นน่าเวทนาเพียงไร
“ก็ได้ ข้าจะบอกให้ แต่เจ้าต้องยอมรับเงื่อนไขหนึ่งของข้านะ” เหล่าไป๋พูดอย่างห่อเหี่ยว
“ว่ามา” เฉินซีกล่าวสั้น ๆ
“หากเราสามารถหามรดกสูงสุดที่มหาเทพเต๋าบรรพมังกรทิ้งไว้พบ เจ้าต้องให้มันกับข้า!” เหล่าไป๋พูดเร็วจี๋
เฉินซีนิ่งไป จ้องมองเหล่าไป๋อยู่เนิ่นนาน จนเมื่อเหล่าไป๋รู้สึกไม่สบายใจยามถูกจ้องนานเข้า ในที่สุดเฉินซีก็ตอบเสียงเรียบ “ก็ได้”
เมื่อได้ยินเฉินซีตอบกลับง่ายเช่นนี้ เหล่าไป๋ก็เหมือนรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรำพึงออกมา “อันที่จริง ไม่ใช่เพราะข้า บรรพชนผู้นี้โลภมากหรอก แต่เป็นเพราะวาสนาสูงสุดนั้นน่าจะสามารถช่วยข้า บรรพชนผู้นี้ก้าวข้ามทัณฑ์หนึ่งได้”
เสียงของเขาเจือความเศร้าอย่างหาได้ยาก
ความเศร้านั้นมิได้ปลอมแปลง มิเช่นนั้น เฉินซีคงรับรู้ได้ทันที นี่จึงทำให้เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ “เหล่าไป๋ มันคือทัณฑ์อะไร?”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก” เหล่าไป๋ส่ายหัว “เจ้าเข้าใจไว้ก็พอว่าข้าต้องทำเช่นนี้หากต้องการมีชีวิตรอด บางที… อาจเป็นเพราะสวรรค์สมควรตายนั่นอิจฉาความสามารถของข้า บรรพชนผู้นี้กระมัง?”
“เฉินซีไม่เข้าใจ แต่ข้าเข้าใจนะ ข้าเคยได้ยินเทพธิดากล่าวว่าเจ้าเกิดจากในความโกลาหล มีความสามารถมองทะลุสรรพสิ่งโดยกำเนิด ยิ่งกว่านั้น แม้มีการบ่มเพาะเพียงน้อยนิด เจ้ากลับมีความรู้ยิ่งใหญ่ตราบกาลนาน และประจักษ์แก่สรรพวิชาในโลกหล้า กล่าวกันว่าเจ้าคือสรรพวิญญาจารย์!” เป่าน้อยฉีกยิ้มกว้าง “อันที่จริง มันก็ไม่ต่างจากทักษะที่ข้ามีเท่าไหร่ ตาคู่นี้ของข้ามองทะลุสรรพสิ่งในฟ้าดิน และหูของข้าก็ได้ยินความลึกล้ำในโลกา”
สรรพวิญญาจารย์!
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน อดมองเหล่าไป๋อย่างประหลาดใจไม่ได้ แต่เขาก็ต้องพบว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเลื่อนลอยประหนึ่งหวนระลึกความหลัง
มิน่าเล่า วิหคเฒ่านี้จึงมักพูดว่ากระทั่งเซวียน ผู้นำยุคหมานกู่ยังเรียกขานเป็นอาจารย์ หรือนั่นจะเป็นเรื่องจริง? เฉินซีประหลาดใจ นับแต่ที่เขารู้จักเหล่าไป๋มา เขาก็เพิ่งรู้ที่มาของเหล่าไป๋ยามนี้
“แต่เทพธิดาก็กล่าวไว้เช่นกัน ว่ามหาเต๋าจะช่วงชิงจากผู้มีมาก เอื้อเฟื้อแก่ผู้มีน้อย ทักษะโดยกำเนิดท้าทายสวรรค์มากไป สุดท้ายก็ถูกสวรรค์ริษยา ในความคิดข้า ยิ่งฝึกฝน เหล่าไป๋จะเผชิญทัณฑ์บางอย่าง และหากก้าวข้ามมันไม่ได้ นั่นจะเป็นจุดจบของเขา” เป่าน้อยกล่าวเนิบ ๆ ไม่ได้สังเกตเลยว่าสีหน้าของเฉินซีแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย กระทั่งเหล่าไป๋ยังดูเต็มไปด้วยความกังวล
“เหล่าไป๋ จริงหรือ?” เฉินซีเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเครียด
“จริง” เหล่าไป๋พยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงหนักใจเล็กน้อย “หากข้าไม่ได้ออกมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียน ก็ย่อมไม่ต้องห่วงทัณฑ์ใดถึงตัว เพราะถึงอย่างไร มีแดนเต๋าของเซวียนปกป้อง ย่อมไม่มีทางที่เต๋าสวรรค์จะสังเกตเห็นข้า”
“น่าเสียดาย ข้าไม่อยากซ่อนตัวที่นั่นตลอดกาล แม้การทำเช่นนั้นจะทำให้ข้ามีชีวิตยืนยาว แต่นั่นไร้ความหมายมิใช่หรือ?”
มุมปากเหล่าไป๋ยกยิ้มเย้ยตนเอง พึมพำว่า “สวรรค์ริษยาข้า มิเช่นนั้น ด้วยความรู้ที่ข้ามี เหตุใดต้องกังวลว่าจะไม่อาจแสวงเต๋าสูงสุดได้?”
กล่าวถึงตรงนี้ เสียงของเหล่าไป๋ก็เจือความเด็ดเดี่ยว “หากเลือกได้ ข้าไม่ขอมีความสามารถนี้ ขอแสวงมหาเต๋าด้วยกำลังตัวเองอย่างผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในหล้าดีกว่า!”
เฉินซีพูดไม่ออก เพราะเขาไม่คาดเลยว่าลึก ๆ ในใจเหล่าไป๋จะมีกังวลมากมายเพียงนี้ซุกซ่อน และตัวตนรอบรู้แทบทุกอย่าง แท้จริงจะเผชิญความลำบากมากมาย
“เฮอะ! น่าเสียดาย! นี่แหละชะตา!” เหล่าไป๋เย้ยตนเองแล้วทอดถอนใจ “ขอเพียงการบ่มเพาะของข้าเจียนเคลื่อนขยับ มันก็จะก่อความริษยาแก่สวรรค์ หนึ่งทัณฑ์จะปรากฏ ยิ่งบ่มเพาะสูง ทัณฑ์นั้นยิ่งน่าสะพรึงกลัว เป็นทัณฑ์ทั่วไปยังพอว่า แต่….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเหล่าไป๋ก็เจือด้วยโทสะระคนครุ่นแค้น “แต่สวรรค์สมควรตายนั่นลำเอียงแท้ ๆ! อย่าว่าแต่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเลย กระทั่งจักรพรรดิยังยากฝืนทัณฑ์ที่ส่งมาเล่นงานข้า! แต่ข้าก็… เป็นแค่เทวารู้แจ้งวิญญาณผู้หนึ่ง!”
ขณะนี้เห็นได้ชัดว่าเหล่าไป๋หยุดเรียกตนเองว่า ‘บรรพชน’ แล้ว แสดงให้เห็นว่าเขาในยามนี้เคืองแค้นเพียงไร
เฉินซีฟังเรื่องทั้งหมดนี้จบก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ความสามารถของเหล่าไป๋ท้าทายสวรรค์นัก ถูกเรียกว่าเป็นสรรพวิญญาจารย์ แต่เพราะเหตุนี้เอง การบ่มเพาะจึงมักนำมาซึ่งทัณฑ์สวรรค์ นี่คืออำนาจเต๋าสวรรค์ซึ่งช่วงชิงจากผู้มีมาก เอื้อเฟื้อแก่ผู้มีน้อย
เหล่าไป๋เงียบไป แต่ก็ถือเป็นการตอบรับได้
“ก็ดี หลังการบ่มเพาะของข้าฟื้นตัวสมบูรณ์ ข้าจะช่วยเจ้าชิงวาสนานั่นมา!” เสียงของเฉินซีราบเรียบ แต่เผยความหนักแน่นมั่นคง
เหล่าไป๋ผงะไป มันจ้องเฉินซีอยู่นาน ก่อนจะพลันหัวเราะร่า “ตัวข้า บรรพชนผู้นี้ว่าแล้วว่าเจ้าจะไม่ทิ้งกันยามยาก หึ เจ้าตกลงแล้วนะ อย่ากลับคำเชียว”
ว่าแล้ว มันก็คืนสู่ท่าทีลำพองเช่นกาลก่อน
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจ เขายอมเห็นเหล่าไป๋เป็นเช่นนี้ดีกว่าโกรธเคืองจนปัญญาอย่างเมื่อครู่
“อย่าห่วงเลย ข้าไม่เคยผิดวาจา” เฉินซีแย้มยิ้ม
วูบ!
เหล่าไป๋โยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เฉินซี “นี่คือวิชาที่ข้า บรรพชนผู้นี้ได้บรรลุมาจากกระดูกต้นกำเนิดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์ มีนามว่าวิชากลั่นโลหิตคุมวิญญาณ มาจากยุคสมัยเก่าก่อน แตกต่างจากเคล็ดวิชาของยุคสมัยปัจจุบัน”
เหล่าไป๋นิ่งไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อ “วิชานี้กล่าวไม่ได้ว่าแข็งแกร่งมากมาย แต่มันมีความสามารถสูงส่งในด้านฟื้นบาดแผล เจ้าลองฝึกดูจะเข้าใจเอง”
ตู้ม!
แดนเต๋าวรุณจินดา
ดาวฤกษ์มากมายคล้อยวน เรืองรองด้วยเพลิงทิพย์เขียวซีดเจิดจรัสในท้องนภาอย่างไร้จุดจบ
เมื่อมองจากไกล ๆ มันก็เหมือนมหาสมุทรเพลิงเขียวซีดกระเพื่อมคลื่น หมู่ดาวมากมายโคจรขึ้นลง เป็นภาพตระการตาอย่างยิ่ง
ขณะนี้คนกลุ่มหนึ่งรุดหน้าในท้องนภาพร่างพราวนี้อย่างไม่หยุดพัก ซึ่งปรากฏว่าเป็นคณะของจักรพรรดิไท่จิ้งแห่งตระกูลเส้าเฮ่า
แตกต่างจากเฉินซี พวกเขาถูกปราณทัณฑ์เล่นงานทันทีที่มาถึง นอกจากนั้นยังเสียบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลไปหนึ่งคนโดยไม่ทันตั้งตัวเพราะถูกปราณทัณฑ์แปดเปื้อน ทำให้คนผู้นั้นธาตุไฟเข้าแทรกตกตายลงทันที
หากจักรพรรดิไท่จิ้งไม่ได้ช่วยเหลือทันกาล ผู้ตกตายก็คงไม่ใช่เพียงบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้นี้
วิ้ง!
ภาพวาดทิวทัศน์อันเกิดจากการสาดหมึกตวัดวาดหมุนวนเหนือเวหาเบื้องบนศีรษะของจักรพรรดิไท่จิ้ง เรืองรัศมีศักดิ์สิทธิ์และอักขระอันเรืองรอง แยกปราณทัณฑ์ทั้งหลายจากบริเวณออกไปพ้นตัว
บ้างมาจากปราณทัณฑ์ซึ่งพวยพุ่งเข้ามาไม่รู้จบ บ้างมาจากดาวฤกษ์รอบข้าง บ้างมาจากสมุทรเพลิงทิพย์เขียวซีด
เมื่อมองมาจากไกล ๆ พวกเขาก็เหมือนนาวาน้อยบนสมุทรกว้าง ต้องคลื่นลมมรสุมอย่างไร้หนทาง เผชิญอันตรายพร้อมปลิดชีพได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ทำให้สีหน้าของคนทั้งหลาย รวมถึงจักรพรรดิไท่จิ้ง ดำคล้ำอย่างยิ่ง
กระทั่งรู้สึกเสียใจที่เสี่ยงอันตรายมาที่นี่กับจักรพรรดิไท่จิ้ง แน่นอน พวกเขากล้าบ่นนึกเสียใจกันแค่ในใจเท่านั้น
“ทุกท่าน การเผชิญอันตรายเพื่อวาสนาสูงสุดนั้นไม่อาจเลี่ยงได้ จากที่ข้าประมาณการ อีกไม่นานเราจะพ้นจากที่บ้า ๆ นี่แล้ว ขอให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดเลินเล่อ” จักรพรรดิไท่จิ้งสูดหายใจลึก แล้วส่งกระแสปราณเสียงเข้ม
เขาตระหนักดีว่าคนเหล่านี้คิดเช่นไรอยู่ แต่หาสนใจไม่ ขอเพียงฆ่าเฉินซี นำวาสนาที่มหาเทพเต๋าบรรพมังกรทิ้งไว้มาได้ ทุกสิ่งก็นับว่าคุ้มค่า!