บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1798 เมตตาช่วยชี้แนะ
บทที่ 1798 เมตตาช่วยชี้แนะ
แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงส่องสว่าง ส่งอำนาจสูงส่งของจักรพรรดิออกเข้าปะทะกับกรงเล็บใหญ่บังฟ้า เกิดเป็นเสียงระเบิดดังลั่น ส่งแสงศักดิ์สิทธิ์กระจายออกรอบทิศ
แรงปะทะเช่นนี้สั่นสะท้านได้ทั่วทั้งโลกา เป็นเหตุให้เฉินซีไม่อาจต้านทานได้ ขยับกายไม่ได้แม้สักนิด
ช่วยไม่ได้นี่นะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดจากแก่นพลังมหาเทพเต๋าบรรพมังกร หรือจักรพรรดิเก้าดาราตงปั๋วเหวินที่ลงมือ ไม่ว่าใครก็แกร่งเกินไปทั้งนั้น เฉินซีเป็นเพียงบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางย่อมไม่อาจรับมือไหว
“ฮึ่ม!” ร่างสูงนั่นคล้ายว่าสัมผัสความเจ็บปวด พลันร้องเสียงดุดันออกมาลั่นฟ้าดินคล้ายฟ้าผ่าลงมา
ตงปั๋วเหวินฉวยจังหวะนี้คว้าร่างเฉินซีพากลับยอดเขาแรกไป
“เอาละ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แม้เจ้านั่นจะแกร่งนัก แต่หากไม่ล้ำเข้าไปในเขตข้อจำกัดที่สอง มันก็จะไม่โจมตีก่อน” ตงปั๋วเหวินดูโล่งอก
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” แม้เฉินซีจะประหลาดใจอยู่ แต่สีหน้ากลับยิ่งสงบ ไม่รู้ว่าทำไมตงปั๋วเหวินถึงยอมช่วยเขา
เพื่อตาข่ายครอบคลุมสวรรค์? หรือจะเป็นไข่มุกต้นกำเนิดมังกร?
เฉินซีไม่แปลกใจที่ตงปั๋วเหวินรู้ภูมิหลังของเขา เพียงแต่ไม่อาจคาดเดาความคิดของตงปั๋วเหวินได้
ทันใดนั้น ตงปั๋วเหวินก็ถามขึ้น “เจ้าเป็น… ศิษย์ของนายท่านใหญ่อู๋เซวี่ยฉานหรือ?”
เฉินซีส่ายหน้า จึงทำให้ตงปั๋วเหวินชะงักไป แต่สิ่งที่เอ่ยต่อมาทำให้อีกฝ่ายต้องเบิกตากว้าง
“อู๋เซวี่ยฉานเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของข้า” เฉินซีเอ่ยเสียมเรียบ
“ศิษย์พี่ใหญ่หรือ…” ตงปั๋วเหวินถามย้ำอีกครั้ง จากนั้นสีหน้าก็ดูแปลกประหลาด เหมือนรู้สึกตกใจไม่อยากเชื่อ แต่สุดท้ายทั้งหมดก็กลายเป็นอารมณ์ซับซ้อนบางอย่าง “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเป็นศิษย์สายตรงของเขาเทพพยากรณ์….”
พูดถึงจุดนี้ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสงบสติอารมณ์ลง ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องประหม่าไปหรอก ในเมื่อเป็นศิษย์น้องเล็กของนายท่านใหญ่ เช่นนั้นระหว่างเราก็ไม่ใช่คนนอก”
คำพูดนี้ส่งผลให้เฉินซีอึ้งไป เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ตงปั๋วเหวินกล่าว “เมื่อหลายปีก่อน เดิมทีข้าคิดเข้าเขาเทพพยากรณ์ แต่ก็ไม่ได้ดั่งหวัง ข้ารู้สึกเสียใจเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ถึงจะไม่ได้เป็นศิษย์เขาเทพพยากรณ์ แต่ก็ได้รับคำชี้แนะมากมายจากนายท่านใหญ่ และก็เป็นเพราะคำแนะนำของเขาที่ทำให้ข้าขึ้นขอบเขตมหาราชเทวา และบ่มเพาะพลังมาจนถึงตอนนี้ได้”
เขาหยุดเล็กน้อยแล้วว่าต่อ “ดังนั้นถึงนายท่านใหญ่กับข้าจะไม่ใช่ศิษย์อาจารย์กัน แต่ก็มีความสัมพันธ์คล้ายกัน ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์น้องเล็กของนายท่านใหญ่ เจ้าจึงไม่ใช่คนนอก”
ได้ยินดังนั้น เฉินซีก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิเก้าดาราที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเคยได้รับคำชี้แนะจากศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉานเมื่อหลายปีก่อน
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ผ่านไปหลายชั่วอึดใจ เฉินซีจึงถอนหายใจออกมา
“แม้ว่านายท่านใหญ่จะไม่ยอมรับข้าเป็นศิษย์ แต่ในใจข้าเขาก็ไม่ต่างไปจากอาจารย์คนหนึ่ง เช่นนี้แล้วข้าก็ควรเรียกเจ้าว่าอาจารย์อา” ตงปั๋วเหวินยิ้มบาง ๆ
ในฐานะจักรพรรดิเก้าดารา เขากลับพูดเช่นนั้นออกมา ทั้งยังน้อมรับบทบาทเป็นผู้น้อยด้วยความเต็มใจ หากคนจากโลกภายนอกมารู้เข้าคงได้อ้าปากค้างเป็นแน่
หากเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว คงได้ตกตะลึงกันถ้วนหน้า ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดิเก้าดาราจะเรียกชายหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่แค่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางว่าอาจารย์อาได้?
แต่เฉินซีกลับไม่คิดเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าตงปั๋วเหวินเอ่ยเช่นนี้เป็นเพราะศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน ไม่ใช่เพราะตัวเขาที่สมควรได้รับเกียรตินั้น
“ข้าไม่กล้ารับหรอก เรียกข้าว่าเฉินซีก็พอ” เฉินซีป้องมือกล่าว
“ก็ได้” ตงปั๋วเหวินยิ้มแล้วพยักหน้า
“เอาละ พวกเจ้าหยุดคุยไร้สาระกันได้หรือยัง? ในเมื่อเป็นพวกเดียวกัน เช่นนั้นก็รีบผ่านเข้าข้อจำกัดที่สองไปด้วยกัน อย่าชักช้าจนเกิดเรื่องเถอะ” เหล่าไป๋ที่เงียบมาตลอดอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
เฉินซีเหลือบมองตงปั๋วเหวินยามได้ยิน
ตงปั๋วเหวินยิ้มกล่าว “เจ้าพูดถูก ในเมื่อเป็นพวกเดียวกัน ข้าย่อมช่วยเหลือเจ้าได้ แต่ก่อนข้าอาจไม่กล้าโอ้อวดเช่นนี้ แต่เมื่อมีไข่มุกต้นกำเนิดมังกรกับตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ ข้าก็มั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะสามารถทำได้”
เหล่าไป๋ดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย เอ่ยขึ้นด้วยความระวังภัย “สหายเต๋า เราคงไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าหรอก ไม่เช่นนั้นหากเราผ่านข้อจำกัดที่สองไปแล้วเจอสมบัติของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร เจ้าจะมาแย่งกับพวกเราไม่ได้หรอกนะ”
เฉินซีได้ยินก็เหลือบมองเหล่าไป๋ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแล้วจ้องเขม็งไปยังตงปั๋วเหวิน
ตงปั๋วเหวินได้ยินก็เงียบไปเล็กน้อย จากนั้นกล่าวขึ้น “ก็ได้ ข้ารับปากว่าจะไม่แย่ง”
แม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบธรรมดา แต่ก็มีความหนักแน่นอยู่ในนั้น
เขารอมาแปดพันปี สู้อดทนมาโดยตลอดก็เพื่อให้มีโอกาสได้รับสมบัตินั้น ให้เขาได้มีโอกาสขึ้นขอบเขตมหาเทพเต๋าบ้าง
แต่เพราะเฉินซีเป็นศิษย์น้องของอู๋เซวี่ยฉาน อีกฝ่ายกลับยอมทิ้งสมบัติที่รอมานานลง ทำให้เฉินซีอดตกใจไม่ได้
“ในเมื่อจะร่วมมือกัน เช่นนั้นสมบัติก็ต้องแบ่งกันด้วย” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยคำขึ้นช้า ๆ
เหล่าไป๋นิ่งไป มองเฉินซีก็เห็นว่าเจ้าตัวตัดสินใจแล้ว สุดท้ายจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ตงปั๋วเหวินกำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง เฉินซีก็ขัดขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม “ตกลงตามนี้ หากไม่เห็นด้วย เช่นนั้นเราคงไม่ขอรบกวน”
ตงปั๋วเหวินเก็บรอยยิ้มแล้วมองเฉินซีด้วยนัยน์ตาลึกล้ำ ก่อนคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “อย่างที่คิดเลย กระทั่งศิษย์เขาเทพพยากรณ์ก็ไม่เหมือนใคร ข้าตกลง!”
“เช่นนั้นก็รีบลงมือเถอะ อีกไม่นานตาเฒ่าคงตามทันแล้ว” เหล่าไป๋เอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย ว่าแล้วก็หันกลับไปมองพื้นที่ในข้อจำกัดแรก จักรพรรดิไท่จิ้งใกล้จะตามทันแล้ว
“ให้ข้ารับมือกับคนผู้นั้นก่อนดีหรือไม่?” ตงปั๋วเหวินเหมือนคิดอะไรบางอย่าง มองไปยังจักรพรรดิไท่จิ้งที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
คำนี้ทำให้ทั้งเหล่าไป๋และเฉินซีลังเลใจมาก หากจักรพรรดิเก้าดาราตงปั๋วเหวินช่วยรับมือกับปัญหาใหญ่อย่างจักรพรรดิไท่จิ้งให้ได้ก็คงเป็นเรื่องดียิ่ง
เห็นดังนั้นตงปั๋วเหวินก็เข้าใจอีกฝ่ายทันใด เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
แต่เฉินซีกับเหล่าไป๋ก็ต้องตกใจ จักรพรรดิไท่จิ้งเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ตงปั๋วเหวินยังไม่ทันได้ลงมืออะไรด้วยซ้ำ แต่ร่างที่กำลังรุดหน้าเข้ามากลับหันหลังกลับไปทางเดิม คล้ายว่าจะถอยอย่างไรก็อย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิไท่จิ้งเห็นตงปั๋วเหวินแล้ว พอเห็นตงปั๋วเหวินกับเฉินซีก็รู้ว่าตนเองคงรับมือไม่ไหวจึงเลือกถอยไปแทน
“ตาเฒ่านั่นรวดเร็วนัก” เหล่าไป๋เอ่ยเสียงเยาะ
“ก็คงต้องเป็นตามนั้น” ตงปั๋วเหวินถอนใจ
เขามั่นใจว่าสามารถจัดการจักรพรรดิไท่จิ้งได้ แต่คงทำในเขตนั้นไม่ได้แน่ อย่างไรศัตรูก็เป็นจักรพรรดิ ทั้งยังอยู่ในเขตทัณฑ์อัสนีเพลิงมังกร ดังนั้นตอนนี้จักรพรรดิไท่จิ้งจึงเลือกถอยไปก่อน เขาจึงมีโอกาสสังหารอีกฝ่ายได้ยาก
…
“จักรพรรดิจื่อเว่ย ตงปั๋วเหวิน! เป็นเขาได้อย่างไรกัน? ไม่ใช่ว่าปิดด่านบ่มเพาะไปเมื่อแปดพันปีก่อนแล้วหรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“เขามีความสัมพันธ์อะไรกับเด็กนั่นกันแน่?”
หลังจากรีบถอยกลับเข้ามาในข้อจำกัดแรก จักรพรรดิไท่จิ้งก็เผยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่คิดเลยว่าการไล่ล่าชายหนุ่มขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางจะเกิดเรื่องพลิกผันขึ้นได้มากมายเช่นนี้
“เวร! บัดซบที่สุด!” จักรพรรดิไท่จิ้งกัดฟันเอ่ยด้วยความเกลียดชัง สีหน้าเปลี่ยนผันไม่หยุด รู้สึกว่าภารกิจครั้งนี้มีแต่อุปสรรคและเคราะห์ร้ายตลอดทาง
“เช่นนี้ไม่ได้แล้ว! จะปล่อยเจ้าเด็กนั่นไปเช่นนี้ไม่ได้! แม้ว่าตงปั๋วเหวินจะแกร่งกล้าแค่ไหน แต่อย่างไรข้าก็แยกสองคนนั้นออกจากกันได้แน่!” หลังจากขบคิดคนเดียวอยู่นาน จักรพรรดิไท่จิ้งก็กัดฟันแน่น จากนั้นหันหลังกลับไปทางเดิมที่เคยมา เขาคิดเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตระกูลได้รับรู้ จะได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
…
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ร่างตงปั๋วเหวินคล้ายกระแสแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงที่วาดผ่านฟ้า กำลังต่อสู้กับร่างสูงหมื่นจั้งอันเกิดจากแก่นพลังของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร
ฟ้าดินตกอยู่ในความโกลาหลชั่วขณะ ห้วงอากาศพังทลาย ทุกสิ่งถูกทำลาย เป็นเหตุน่าตื่นตะลึงยิ่ง
หากมองให้ดี แม้ว่าร่างสูงหมื่นจั้งจะมีพลังต่อสู้แข็งกล้า แต่ก็ถูกตาข่ายครอบคลุมสวรรค์กักไว้ ทำให้กลายเป็นเหมือนกระสอบทรายที่ถูกตงปั๋วเหวินซัดกระเด็นครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนเฉินซีที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ฉวยจังหวะนี้ใช้ไข่มุกต้นกำเนิดมังกรเหวี่ยงออกไปอย่างแรง
วิ้ง!
ทันใดนั้น ไข่มุกต้นกำเนิดมังกรก็พุ่งใส่ร่างสูงหมื่นจั้งก่อนหายไปในพริบตา
หากเทียบกับแต่ก่อน นับว่าพวกเขาได้เปรียบมาก เพราะตอนนี้ได้จักรพรรดิเก้าดาราอย่างตงปั๋วเหวินมาร่วมสู้ด้วย
เฉินซีจึงค่อยหายใจหายคอโล่งอก
ชายหนุ่มทำหน้าที่ตนเองเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าร่างสูงหมื่นจั้งนั่นจะทนได้หรือไม่
ตอนนี้เฉินซีสัมผัสได้ว่าไข่มุกต้นกำเนิดมังกรกำลังดูดพลังงานภายในร่างนั้นอยู่ ซึ่งเหยื่อเองก็ไม่ได้สังเกตเลย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถึงตงปั๋วเหวินจะทำลายมันไม่ได้ แค่ใช้ไข่มุกต้นกำเนิดมังกรอย่างเดียวก็สามารถจัดการมันได้แล้ว!
นี่เป็นเคล็ดที่เหล่าไป๋สอนให้ แม้ว่าไข่มุกต้นกำเนิดมังกรจะได้รับความเสียหายไปก่อนหน้านี้ แต่มันก็เป็นสมบัติจากพลังแก่นแท้สสารของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร ดังนั้นจึงใช้รับมือกับร่างสูงนั่นได้ดี
หากสามารถดูดพลังแก่นแท้สสารในร่างนั้นมาได้ทั้งหมด ไม่เพียงแต่จะสามารถซ่อมแซมไข่มุกต้นกำเนิดมังกรให้กลับมาเหมือนเดิมได้ แต่มันยังจะแกร่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ!
………………..