บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 180 เผชิญกับภยันตรายในพื้นที่ต้องห้าม
บทที่ 180 เผชิญกับภยันตรายในพื้นที่ต้องห้าม
บทที่ 180 เผชิญกับภยันตรายในพื้นที่ต้องห้าม
สองเดือนต่อมา
ร่างหนึ่งยืนตรงดั่งหอกบนต้นไม้สูงตระหง่าน สายตาของเขาทอดมองออกไปยังปลายสุดของป่าเขียวชอุ่มที่กว้างใหญ่จนไร้ขอบเขตด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นและอารมณ์อันหนักอึ้ง
ร่างนี้ย่อมเป็นเฉินซีนั่นเอง ในช่วงสองเดือนนี้ เขาได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาแล้วหลายสิบครั้ง และเกือบทุกวันผ่านไปด้วยการต่อสู้และเข่นฆ่าสัตว์อสูร ถึงแม้ว่ามันจะว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่การต่อสู้และเข่นฆ่าอยู่บ่อยครั้งกลับทำให้ประสบการณ์การต่อสู้ของเขาเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเขาสามารถใช้พลังของขอบเขตเคหาทองคำได้อย่างเต็มที่
ในขณะนี้ ผมยาวของเขาสยายลงมาอยู่บนไหล่ รูปร่างของเขากลับไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น ดวงตาที่ลึกและกระจ่างใสของเขาก็ฉายประกายที่ดุร้ายและแหลมคมเป็นครั้งคราว ซึ่งทำให้เขาดูเย็นชาและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง จนผู้อื่นไม่กล้าเข้าใกล้
‘ที่นี่คือที่ใดกันแน่? ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกมีมากมายเหลือเกิน แต่ข้ากลับไม่สามารถเหาะเหินไปในอากาศได้?’ เฉินซีกระโจนลงมาจากยอดไม้ พร้อมกับขมวดคิ้วมากขึ้นขณะมองดูทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา
สถานที่นี้ดูเหมือนจะเป็นป่าที่เก่าแก่และกว้างใหญ่ไพศาล และทุกซอกทุกมุมก็เต็มไปด้วยปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกที่อุดมสมบูรณ์จนสุดขีด ปราณวิญญาณนี้มีความหนาแน่นมากจนถึงจุดที่แปรสภาพสายหมอกสีขาวขุ่น และพวกมันล่องลอยไปทั่วทำให้มองเห็นบริเวณโดยรอบได้อย่างราง ๆ ราวกับว่ามันเป็นภาพลวงตา
นอกจากนี้ แม้แต่วัชพืชทั่วไปในบรรดาพืชพรรณในที่แห่งนี้ก็มีปราณวิญญาณที่ล้นเหลือ ใบของมันมีขนาดใหญ่และรากที่หนา อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าวัชพืชที่พบเห็นได้ทั่วไปมากกว่าสิบเท่า ครั้งหนึ่งเฉินซีเคยเห็นกล้วยไม้ที่สุดแสนจะธรรมดา แต่มันกลับเติบโตได้สูงกว่าสิบสองจั้ง และในไม่ช้ามันก็ได้รับสติปัญญา
แต่ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือป่าโบราณนี้เต็มไปด้วยซากศพและกระดูกของสัตว์ป่า และมีแม้กระทั่งโครงกระดูกของสัตว์อสูรที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งในหมู่พวกมัน ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
โดยรวมแล้ว ถือว่าที่แห่งนี้เป็นป่าที่มีปราณวิญญาณมากมายมหาศาลและพืชพรรณเจริญงอกงาม แต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่งดงามกลับซ่อนความดุร้าย ความโหดเหี้ยม และเจตนาฆ่าที่ร้ายกาจ!
“นี่ควรเป็นพื้นที่ต้องห้าม หรือบางทีมันอาจถูกสร้างขึ้นโดยผู้บ่มเพาะเมื่อนานมาแล้ว ตราบเท่าที่ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกไม่กระจัดกระจายหายไป ข้อจำกัดในสถานที่นี้จะสามารถหมุนเวียนได้ชั่วนิรันดร์ ข้าเกรงว่าตอนนี้พวกเราถูกกักขังอยู่ในนั้นแล้ว” หลิงไป๋พยักหน้าขณะกล่าว แต่สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายกว่าเฉินซีมาก
“หากข้ารู้ก่อนหน้านี้ ก็คงจะเดินทางผ่านท้องฟ้าแล้ว” เฉินซีถอนหายใจ
“เมื่อเราติดอยู่ที่นี่แล้ว เราเพียงแต่ต้องทำให้ดีที่สุด ว่าแต่เจ้าไม่ได้สังเกตเลยหรือ ว่าในที่แห่งนี้มีสมบัติล้ำค่ามากมายจากสวรรค์และโลกเติบโตอยู่? ยิ่งไปกว่านั้น บางอย่างก็สูญพันธุ์ไปนานแล้ว เช่น หญ้าหมอกมังกรเงาม่วง ต้นบุนนาคเมฆาพิสุทธิ์… พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับการกลั่นยาและขัดเกลาสมบัติวิเศษ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงเป็นขุมสมบัติทางธรรมชาติ! หากเราไม่เก็บเกี่ยวพวกมัน เราก็คงจะต้องเสียใจเป็นแน่แท้” หลิงไป๋ยิ้มกว้าง
“ตกลง เราจะเข้าไปเก็บเกี่ยวพวกมัน” เฉินซีก็รู้สึกประทับใจอย่างมากเช่นกัน ปราณวิญญาณที่นี่แน่นหนาจนเปลี่ยนเป็นหมอก สมุนไพรวิญญาณและพืชวิญญาณที่เติบโตขึ้นนั้น ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และโลกโดยธรรมชาติ ไม่เพียงแต่สามารถแลกเปลี่ยนพวกมันเป็นวารีวิญญาณเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้สำหรับตัวเขาเองได้อีกด้วย อีกทั้งการรวบรวมพวกมันก็เท่ากับการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
การอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ เฉินซีกับหลิงไป๋จึงไม่อาจล่าถอยและทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปเท่านั้น ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา พวกเขาจะรวบรวมวัตถุหายากที่พวกเขาพบเห็น และเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ช้าและไม่เร็ว เพื่อป้องกันเหตุร้ายใด ๆ ก็ตามที่จะเกิดขึ้น เพราะหากความเร็วของพวกเขามากเกินไป ก็ยากที่จะจินตนาการถึงเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ท้ายที่สุด พื้นดินที่นี่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยกระดูกหนาทึบของสัตว์อสูร มันย่อมมีเหตุผลสำหรับการตายของพวกมันอย่างแน่นอน
หลังจากก้าวเดินไปข้างหน้าได้ประมาณหนึ่งก้านรูป ในที่สุด ทั้งสองคนก็ได้ค้นพบว่า สถานที่ที่พวกเขาติดอยู่นั้นแท้จริงแล้วอยู่ในรอยแยกของหุบเขา!
เหนือศีรษะพวกเขาคือโขดหินสีดำสนิทที่ไม่มีที่สิ้นสุด ข้างใต้พวกเขาเป็นพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหินขรุขระที่มีรูปทรงแปลกประหลาด และดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดิน ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่มืดสลัวและหนาวเย็น
เบื้องหน้าพวกเขาคือรอยแยกที่คนเพียงเดียวจะลอดผ่านเข้าไปได้ และภายในของมันลึกจนไม่อาจหยั่งได้ อีกทั้งยังมีสายลมเยียบเย็นซึ่งแฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและคาวเลือดอย่างหนาแน่น พัดพาปราณวิญญาณบริสุทธิ์และหนาแน่นออกมาจากมัน
มีกระแสลม!
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี เนื่องจากการปรากฏตัวกระแสลม ย่อมแสดงให้เห็นว่ารอยแยกนี้ต้องเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
“เฉินซี เราต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้ กลิ่นอายแห่งความตายที่มาจากรอยแยกนั้นไม่ธรรมดา!” ใบหน้าของหลิงไป๋เคร่งเครียดในขณะที่เขากล่าว เนื่องจากเขาบ่มเพาะเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพานที่เกี่ยวข้องกับความตายหรือการเกิดใหม่ได้อย่างถ่องแท้ ทำให้ประสาทสัมผัสของเขาไวต่อกลิ่นอายเช่นนี้เป็นอย่างมาก
เฉินซีพยักหน้ารับและถือกระบี่ในมือก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในรอยแยก ยิ่งเขาเดินเข้าไปลึกมากเท่าไร กระแสลมก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น และท้ายที่สุด เฉินซีก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากโคจรปราณแท้ของเขาเพื่อต้านทานพลังอันน่าสะพรึงกลัวของกระแสลม ทำให้สีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาได้หยั่งรู้เต๋ารู้แจ้งแห่งสายลมจนกระทั่งถ่องแท้ แต่กลับไม่สามารถเดินผ่านรอยแยกนี้ได้อย่างอิสระ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ
“ช้าก่อน! นี่มัน… ก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่!” จู่ ๆ หลิงไป๋ก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ และก็กระโดดออกจากไหล่ของเฉินซีเพื่อลงไปที่พื้น จากนั้นจึงหยิบก้อนหินสีดำสนิทขึ้นมา
ก้อนหินที่หลิงไป๋เรียกว่าก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่นั้น มีขนาดเท่าไข่ห่านและเรียบสนิทเหมือนกับหินกรวดที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย เมื่อเห็นท่าทีของหลิงไป๋ที่ดูเหมือนกับว่าเขาได้รับสมบัติล้ำค่า หรือว่าสิ่งนี้จะเป็นสมบัติที่หายากเช่นกัน?
“สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” เฉินซีย่อตัวลงและยื่นมือออกไปจับมัน แต่แล้วเขากลับต้องตกใจ เนื่องจากไม่สามารถหยิบหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นมาได้!
ช่างหนักยิ่งนัก!
เฉินซีใช้ความพยายามเป็นอย่างมากก่อนที่จะสามารถหยิบโลหะที่เหมือนหินได้ในที่สุด ทันทีที่มันอยู่ในมือของเขา ก็เหมือนกับว่าเขากำลังถือภูเขาลูกเล็ก ๆ ที่หนักนับแสนจิน และมันทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องใช้ปราณจ้าววิญญาณของเขา จึงจะสามารถถือมันไว้ในมือได้อย่างมั่นคง
ก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่นี้มีน้ำหนักมากกว่าโลหะทั้งหมดที่เฉินซีเคยพบเห็นมา และเพียงคุณลักษณะนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าอันหายาก
“ก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่นี้เป็นวัสดุที่ใช้ในการขัดเกลาสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ และมันก็ล้ำค่ามาก แม้ว่ามันจะมีขนาดเล็กมาก แต่หากผสมมันลงไปในกระบี่บิน ก็จะทำให้พลังของกระบี่บินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองส่วน!” หลิงไป๋กระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือของเฉินซี ก่อนจะมองไปที่มันพร้อมกับส่ายศีรษะและถอนหายใจ “เว้นแต่ว่าข้าจะบรรลุขอบเขตจุติ มิฉะนั้น ข้าก็ไม่สามารถกินมันได้ในตอนนี้ เฮ้อ น่าเสียดายจริง ๆ”
“ฮะ เจ้าจะกินอะไรนะ?” หัวใจของเฉินซีสั่นไหว ถ้าสมบัติชิ้นนี้ถูกหลิงไป๋กินเข้าไป มันย่อมเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่! เฉินซีพลิกมืออย่างเร่งรีบเพื่อเก็บก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่ไปทันที จากนั้นกวาดสายตามองพื้นโดยรอบ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่พบก้อนเหล็กเทพเจ้าเสวียนอู่เลยสักก้อน
“ไปกันเถอะ บางทีอาจมีสมบัติที่น่าอัศจรรย์มากกว่านี้อยู่ภายในนั้นก็ได้” เฉินซีหัวเราะด้วยความคาดหวังเล็กน้อยก่อนที่จะมุ่งหน้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม เฉินซีเดินได้ไม่นานก่อนจะหยุดอย่างกะทันหัน หลิงไป๋จึงกล่าวด้วยความประหลาดใจและงุนงงว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“มีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา…” ขณะที่เฉินซีกำลังพูด สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น “บัดซบ ดูเหมือนพวกมันว่าจะสัมผัสได้ถึงเรา ช่างรวดเร็วเสียนี่กระไร!”
ในทันทีที่เขากล่าวจบ ดวงตาของหลิงไป๋ก็หรี่ลงทันที และจดจ้องไปยังจุดสีดำที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วตรงเบื้องหน้า
ฟิ้ว!
ความว่องไวของสิ่งนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดขณะที่มันปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ทันใดนั้นมันก็หยุดการเคลื่อนไหวโดยไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย จากความเร็วสูงสุดไปจนถึงการหยุดนิ่งสนิท มันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา และความรู้สึกขัดแย้งแบบนั้นทำให้ส่งผลกระทบต่อสายตาเป็นอย่างมาก
“บัดซบ! แท้จริงแล้วมันคือผีเสื้อเงาหิมะ!” สีหน้าของหลิงไป๋มืดมนระคนฉุนเฉียว แต่น้ำเสียงของเขากลับฟังดูหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ
เฉินซีไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าผีเสื้อเงาหิมะคือสิ่งใด แต่ความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวจนหาตัวจับยาก กลับทำให้ประสาทสัมผัสของเขาตึงเครียดในทันที
ฟึ่บ!
เพียงชั่วพริบตาร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนั้นก็ได้หายไปทันที จากนั้นก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา
ทำให้เฉินซีตกตะลึงแทบทันที และโดยไม่รู้ตัว ร่างของเขาก็ม้วนงอและกอดเข่าของเขาจนกลายเป็นลูกบอล
ในเวลาเดียวกัน แสงเย็นวาบผ่านตรงที่เขายืนอยู่
เฉินซีรู้สึกตกตะลึงทันควัน ถ้าไม่ใช่เพราะจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งพอ และระมัดระวังต่อสิ่งเล็ก ๆ นี้ เขาอาจจะเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะจุดที่แสงเย็นวาบผ่านไปเมื่อครู่คือตำแหน่งลำคอของเขา!
ตั้งแต่เดินทางออกจากนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและเข้าสู่ป่าแห่งนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้ว การพบกับสัตว์อสูรที่สามารถนำภัยคุกคามมาสู่เขานั้นนับว่าหายากยิ่ง
แต่ในตอนนี้ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่หลิงไป๋เรียกว่าผีเสื้อเงาหิมะกลับมีความเร็วที่รวดเร็วมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเหนือล้ำกว่าความเร็วเสียง และมันยังเร็วกว่าตอนที่เขาใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานอย่างเต็มกำลังด้วยซ้ำ!
ฟุ้บ!
แสงเย็นกะพริบหายไปอีกครั้ง และมันวาบไปที่คอของเฉินซี เจตนาฆ่าที่แหลมคมจนทิ่มแทงกระดูกทำให้ขนของเขาลุกชัน และเขาก็คลาดกับการเคลื่อนไหวของผีเสื้อเงาหิมะอีกครั้ง
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่อาจเห็นรูปลักษณ์ของผีเสื้อเงาหิมะได้อย่างชัดเจน!
ฟึ่บ!
หลิงไป๋โจมตีออกไป ร่างขนาดสี่ชุ่นของเขาเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองอร่าม ฟาดฟันไปยังตำแหน่งที่อยู่เบื้องหน้าของเฉินซี
เคร้ง!
การปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงเสียดหูดังออกมา เฉินซีรู้สึกได้ถึงประกายไฟวูบวาบที่ตำแหน่งเบื้องหน้าเขา และมันก็ทิ่มแทงดวงตาของเขาจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ ในตอนนี้ เขาตกใจอย่างรุนแรงจนเหงื่อเย็น ๆ อาบโชกไปทั้งตัว
ตึ้ง! ตึ้ง! เคร้ง! เคร้ง!
หลิงไป๋ที่แปลงร่างเป็นกระบี่ไผ่ทองคำนิลเคลื่อนไหวอย่างอิสระราวกับสายฟ้าแลบ และปล่อยแสงเจิดจ้าพุ่งออกมาจากทั่วร่าง แต่ความเร็วของเขากลับไม่สามารถไล่ตามผีเสื้อเงาหิมะทัน ทำให้เค้าลางอันตรายปรากฏขึ้นทันที
หลังจากที่หลิงไป๋ดูดซับร่างกายของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันก็เทียบเท่ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู ทำให้เฉินซีไม่กล้าดูแคลนผีเสื้อเงาหิมะ และรีบตั้งท่าราวกับเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
รอยแยกนี้สามารถผ่านได้เพียงคนเดียว พื้นที่ของมันเล็กและคับแคบ และเพื่อไม่ให้มันส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ เฉินซีจึงใช้ฝ่ามือมหาดารา ฟาดไปที่ก้อนหินทั้งสองด้านทันที
ครืน! ครืน!
ภายใต้พลังที่ไร้เทียมทานของฝ่ามือมหาดารา กำแพงหินโดยรอบก็กลายเป็นเศษหินหรือก้อนกรวดทันทีและฝุ่นละอองฟุ้งขึ้นมาราวกับมวลเมฆ เพียงชั่วพริบตา ตำแหน่งที่เฉินซียืนอยู่ได้ถูกขยายออกกลายเป็นพื้นที่ร้อยยี่สิบจั้ง แต่ทางหนีของเขาก็ถูกปิดสนิทเพราะมันเต็มไปด้วยเศษหินที่ถล่มลงมา
ในขณะเดียวกัน จิตใจของเฉินซีกลับมีสมาธิจดจ่ออย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เนื่องจากพลังอันมหาศาลของญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกแผ่พุ่งออกไป ขณะที่เขาพยายามค้นหาเศษเสี้ยวของภาพติดตาที่จับต้องได้ยากนั้นอย่างสุดความสามารถ
บางทีอาจเป็นเพราะเขามีสมาธิมากขึ้น หรืออาจเป็นเพราะถูกกระตุ้นจากภยันตราย ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซีจึงสามารถตามความเร็วของผีเสื้อเงาหิมะตัวนี้ได้
ในตอนนี้ เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผีเสื้อเงาหิมะนี้มีขนาดเพียงฝ่ามือและมีสีขาวราวกับหิมะ ปีกของมันบางจนแทบโปร่งแสง และขอบปีกของมันคมดั่งใบมีดและเป็นประกายดั่งโลหะ หนวดคู่หนึ่งที่มีขนละเอียดเหมือนเส้นผมแกว่งไกวเบา ๆ ขณะที่ร่างของมันหายไปอย่างรวดเร็วราวกับภูตผี
การเคลื่อนไหวของมันนั้นรวดเร็วเกินไปจริง ๆ!
แม้ว่าเฉินซีจะตามความเร็วของมันได้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถโจมตีมันได้อยู่ดี เนื่องจากผีเสื้อเงาหิมะนี้เป็นจ้าวแห่งความเร็วที่ไม่ธรรมดา
เฉินซีไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย และอันที่จริง สถานการณ์ในเวลานี้ก็ไม่อาจทำให้เขาลังเลได้เลยแม้แต่น้อย ผีเสื้อเงาหิมะนี้สามารถโจมตีได้หลายสิบครั้งเพียงแค่ช่วงอึดลมหายใจ และอัตราการโจมตีเช่นนี้ได้คุกคามชีวิตของหลิงไป๋และตัวเขาเองอย่างมากโข
“กระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึง!” ทันใดนั้น เงากระบี่เย็นยะเยือกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวขึ้น ในขณะที่ปราณกระบี่อันแหลมคมได้ตัดผ่านกันทั้งแนวนอนและแนวตั้งจนเกิดเป็นภาพหนึ่งขึ้น ในภาพนั้นมีหนองน้ำปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด จากนั้นก็ค่อย ๆ หลั่งไหลขณะที่ปล่อยพลังงานที่หนาและช้าซึ่งเหมือนกับกาวที่ทำให้ทุกอย่างช้าลงและเฉื่อยชา
ท้องฟ้า มิติ สภาพแวดล้อม ทุกสิ่งในบริเวณนี้ดูเหมือนจะตกลงไปในหนองบึง ซึ่งทำให้ชะงักและเชื่องช้า และตราบใดที่มีคนตกลงไปในนั้น คนผู้นั้นจะต้องถูกบดขยี้ด้วยปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนจนไม่เหลือซาก
สัญลักษณ์ตุ้ยเป็นตัวแทนของหนองบึง และกระบี่ตุ้ยแห่งหนองบึง ทำให้ทุกสิ่งเชื่องช้าลงด้วยพลังเหนียวเหนอะหนะของน้ำ ทำให้รู้สึกราวกับตกลงไปในหนองบึงและไม่สามารถดิ้นรนให้เป็นอิสระหรือต่อต้านมันได้ ในท้ายที่สุดพวกเขาจะต้องเผชิญกับการทำลายล้างเท่านั้น
ภายใต้แรงกระตุ้นของความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ การฟาดฟันด้วยกระบี่ของเฉินซีได้ใช้พละกำลังทั้งหมดของเขาโดยไม่หยุดยั้งเลยแม้แต่น้อย และพื้นที่ทั้งหมดก็เต็มไปด้วยปราณกระบี่ที่สะท้อนถึงภาพของหนองน้ำ
ทันใดนั้น ร่างของผีเสื้อเงาหิมะก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้า ดูเหมือนว่ามันจะถูกมือที่ไร้รูปร่างคว้าจับไว้ และทำให้ความเร็วของมันลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ดูเหมือนว่ามันจะหวาดกลัวอย่างมาก แต่ดวงตาคู่นั้นของมันกลับฉายแววอำมหิตและดุร้ายอย่างน่าสยดสยอง
หวือ!
เสียงอันแผ่วเบาพลันดังขึ้น ผีเสื้อเงาหิมะก็ถูกหลิงไป๋ฟันเป็นชิ้น ๆ และกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ทั้งสองคนต่างก็มองตากัน และดูเหมือนจะมีความกลัวที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจ
“ในที่สุดเราก็ฆ่าเจ้าสัตว์ที่น่ารังเกียจนี้ได้แล้ว” หลิงไป๋ถอนหายใจยาวขณะที่เขาบินไปที่พื้น และหยิบปีกโปร่งแสงคู่หนึ่งซึ่งอาบไปด้วยประกายโลหะ จากนั้นเขาก็ยิ้ม “ผีเสื้อเงาหิมะคือสัตว์อสูรบรรพกาล ในแผนภูมิแมลงพิษทั้งหนึ่งร้อยอันดับ มันเป็นแมลงเพียงชนิดเดียวที่ไม่มีพิษ แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขามซึ่งติดอยู่ในอันดับที่สามสิบเก้า พลังของมันถือว่าไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไร แต่ความเร็วของมันนั้นรวดเร็วอย่างไร้เทียมทาน และมันยังถูกเรียกว่านักฆ่าในเงามืดจากบรรดาสัตว์อสูรทั้งหมด นอกจากนี้ปีกคู่นี้ก็เป็นสมบัติหายากและมีมูลค่ามหาศาล!”
“สัตว์อสูรที่อยู่ในอันดับที่สามสิบเก้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?” เฉินซีกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก เขานึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าแมลงพิษที่อยู่ในอันดับหนึ่งจะน่ากลัวขนาดไหน
หลิงไป๋พยักหน้า จากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างออกและกล่าวออกไปด้วยความกระวนกระวาย “ข้าลืมบอกอะไรบางอย่างกับเจ้า”
“ว่ามาสิ”
“ผีเสื้อเงาหิมะ… พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่ม!”