บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1801 ถกวิถีเต๋า
บทที่ 1801 ถกวิถีเต๋า
ท้องนภาอันพร่างพราวนั้นไร้ขอบเขตและเงียบสงัด โลงทองแดงละล่องท่ามกลางหมู่ดาว เผยบรรยากาศยิ่งใหญ่เก่าแก่ ดูเลิศล้ำสุดขั้ว
ยากนักจะคาดคิดว่าเหตุใด โลงศพสักโลงจึงดูยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด กลุ่มของเฉินซียืนกลางเวหา อดรู้สึกตะลึงในใจยามมองสรรพสิ่งตรงหน้ามิได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นสุสานของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรในตำนาน!
ตลอดกาลนานมา กลุ่มดาววิญญาณจรถูกมองเป็นเขตหวงห้ามมาตลอด และผู้บ่มเพาะแทบทั้งหมดที่มาแสวงโชคในกลุ่มดาววิญญาณจรต่างทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ไร้ผู้ใดบรรลุสำเร็จ
ทว่ายามนี้ พวกเฉินซีผ่านอุปสรรคอันตรายนานา ข้ามท้องนภาพร่างพราวแสนยาวไกล ประสบบททดสอบต่าง ๆ และสองข้อจำกัดที่หุบเขารังมังกร จนในที่สุดก็ได้มาเห็นสุสานของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรที่นี่ได้ ดังนั้นในใจของพวกเขาจึงเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ปนเป ไม่อาจสงบลงได้แสนนาน
ถึงขนาดไม่คาดคิดด้วยซ้ำ ว่าแค่หนีการไล่ล่าของศัตรู จะมาถึงที่นี่ได้ มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าสวรรค์และโชคชะตาชอบเล่นตลกกับคน สรรพสิ่งในโลกหล้าไม่อาจคาดเดา
“ในที่สุดเราก็มาถึง….” หลังผ่านไปแสนนาน เสียงรำพึงของตงปั๋วเหวินก็ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบนี้
เขาสวมอาภรณ์สีม่วง ใบหน้าหล่อเหลาเช่นชายหนุ่ม นอกจากนั้น ดวงตาเรืองรองเช่นอัสนียังเปี่ยมอารมณ์อันเกินประมาณ รวมถึงร่องรอยกาลเวลาเกินคาดหยั่ง
เพื่อบรรลุให้ถึงขอบเขตมหาเทพเต๋า เขาติดอยู่ที่นี่มาแปดพันปี ในที่สุดยามนี้ก็พบความหวังริบหรี่ จึงไม่อาจสงบใจได้เลย
“มรดกสูงสุดต้องถูกซ่อนที่นี่แน่!” เหล่าไป๋ตื่นเต้น ดวงตาเรืองรองด้วยความปรารถนา ยิ้มกว้างอย่างเปรมปรีดิ์
เหล่าไป๋เกิดจากความโกลาหล มีความสามารถมองทะลุสรรพสิ่งมาแต่กำเนิด นอกจากนั้น แม้จะมีการบ่มเพาะเพียงน้อยนิด ก็ยังมีความรู้กว้างไกล ทราบถึงสรรพวิชาในโลกหล้า กล่าวได้ว่าเป็นสรรพวิญญาจารย์ที่แท้จริง
ทว่าเพราะความสามารถโดยกำเนิดท้าทายสวรรค์เช่นนี้ จึงถูกสวรรค์ริษยา ต้องเผชิญทัณฑ์ในการฝึกฝน หากไม่อาจข้ามผ่านก็หมายถึงความตาย!
มิเช่นนั้น การบ่มเพาะคงไม่ค้างอยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณหลังผ่านกาลแสนนานเช่นนี้
แต่หากได้มรดกนี้มา บางทีมันอาจทำให้เขาฝืนทัณฑ์จากเต๋าสวรรค์ยามพัฒนาขอบเขตได้!
ดังนั้นเหล่าไป๋จึงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดยามมาถึงสุสานมหาเทพเต๋าบรรพมังกร
ไม่ว่าจะเป็นตงปั๋วเหวินหรือเหล่าไป๋ ต่างก็หมายมาดหวังมรดกสูงสุดที่นี่ ขณะนี้พวกเขาต่างทอดถอนใจตามกัน ทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
ตงปั๋วเหวินหรี่ตาลงแล้วเงียบไป
เฉินซี เป่าน้อย และเยี่ยเหยียนต่างสังเกตเห็นมันทันที และหัวใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านพร้อมเพรียง
โอกาสอยู่เพียงเอื้อม ด้วยเหตุนี้ หากจู่ ๆ ตงปั๋วเหวินลงมือขึ้นมา ผลลัพธ์ก็จะเกินคาดคิด
บรรยากาศเงียบกริบ ไร้ผู้ใดปริปาก ไม่มีใครขยับตัว
แม้จะไม่มีผู้ใดปริปาก แต่ทั้งกลุ่มของเฉินซีและตงปั๋วเหวินต่างตระหนักดี ว่าการร่วมมือของพวกเขาจบลงที่นี่!
ส่วนจะเป็นมิตรหรือศัตรู ทั้งหมดขึ้นกับตงปั๋วเหวิน
ขณะนี้ในที่สุดเฉินซีก็ตระหนักซึ้งว่าความกังวลของเหล่าไป๋ถูกต้องตรงเผง ต่อหน้าโชคยิ่งใหญ่ มันก็สร้างจิตมุ่งร้ายในผู้อื่นได้จริง ๆ
ดังคำกล่าวว่า คนเราไม่ควรมุ่งร้ายแก่ผู้อื่น แต่ต้องระแวดระวังกันไว้ แม้เฉินซีจะรู้สึกว่าคนอย่างตงปั๋วเหวินไม่น่าทำเรื่องน่ารังเกียจอย่างทำตัวเนรคุณ แต่เขาก็ไม่กล้าเลินเล่อเลยสักนิด
เมื่อเวลาผ่านไป บรรยากาศก็ยิ่งเงียบสงัด กลิ่นอายสงครามฟุ้งจาง ประหนึ่งมรสุมกำลังก่อตัว
ขณะจ้องมองร่างนิ่งงันของตงปั๋วเหวินจากไกล ๆ ดวงตาของเฉินซีก็ค่อย ๆ หรี่ลง เขาเตรียมตัวใช้ระเบิดสังหารเทวะทันทีที่การต่อสู้บังเกิด และจะใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบระเบิดสมบัติวิญญาณธรรมชาติบางชิ้นที่ไม่ได้ใช้ทันที!
เป่าน้อยเองก็ระแวดระวังขึ้นมา ม่านตาเรืองแสงทองวูบไหว
เยี่ยเหยียนกำมืออย่างเงียบเชียบ ดวงตาเฉิดฉายเจือประกายมุ่งมั่นเคล้าจิตสังหาร
ขณะที่บรรยากาศยิ่งทวีความตึงเครียดนี้เอง จู่ ๆ ตงปั๋วเหวินก็ผ่อนหายใจยาว แล้วหันมามองเฉินซีและคณะ
ขณะนี้สีหน้าของเขาสุขุม เฉยชา เย็นเยียบไร้อารมณ์ใด ๆ ทำให้ผู้อื่นไม่อาจตัดสินได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่
ทว่ายามกลุ่มของเฉินซีสบสายตากับตงปั๋วเหวิน หัวใจของพวกเขาก็หนาวเยือกขึ้นมาเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
ตงปั๋วเหวินอ้าปากเหมือนจะพูดบางอย่าง กล่าวได้ว่าหลังเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เหมือนตัดสินใจบางอย่างแล้ว
แต่ขณะนั้นเอง เขาก็ปิดปากฉับ หันหลังกลับไป ก่อนที่รัศมีศักดิ์สิทธิ์ทิ่มทะลวงเย็นเยียบสายหนึ่งจะระเบิดออกจากตาดุจอัสนี จ้องตรงไปที่โลงทองแดงในส่วนลึกของท้องนภา
เหตุการณ์นี้กะทันหันอย่างยิ่ง ทำให้เฉินซีและคณะซึ่งเดิมตื่นตัวสุดขีดผงะไปเล็กน้อย
แต่อึดใจต่อมา พวกเขาก็สังเกตเห็นเค้าการขยับเขยื้อนเล็กน้อยเช่นกัน!
…
ทันใดนั้น คลื่นพลังคลุมเครือสายหนึ่งก็พลิ้วดุจระลอกธารจากพื้นผิวโลงทองแดง เรืองประกายเจิดจรัส
ปราณของมันลึกลับอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยอำนาจเกินบรรยาย ทำให้ผู้คนอดเกิดความรู้สึกครั่นคร้ามมิได้!
โฮก!
เพียงครู่สั้น ๆ เสียงเลื่อนลั่นดั่งมังกรคำรนจากในรังนอนก็สะท้านทั่วฟ้าดิน ทำให้กระทั่งท้องนภาพร่างพราวอันเงียบงันนี้สั่นสะท้าน
พริบตาต่อมา หนึ่งเงาร่างก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเฉินซีและคณะ!
ร่างนั้นผอมบางเฒ่าชรา นั่งขัดสมาธิบนโลงทองแดง ขณะที่ทั่วร่างปกคลุมด้วยชั้นแสงดาวสีเงินจาง ทำให้รูปลักษณ์ยากพินิจออก
ทว่าปราณกลับลึกล้ำเช่นหุบเหว ดูประหนึ่งเชื่อมสวรรค์ รวมเป็นหนึ่งกับแดนดิน ครอบคลุมสรรพสิ่งในโลกหล้า มีอำนาจร้ายกาจเหนือเต๋าทั้งหลาย เกินผู้ใดตลอดกาลนาน
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็ไม่ต่างจากมหาเทพผู้สร้างปรากฏลักษณ์!
น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
ใครเล่าจะคาดคิดว่าตัวตนยิ่งใหญ่เกินหยั่งคาดเช่นนี้จะปรากฏขึ้นบนโลงทองแดงอันเป็นสุสานของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร?
เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่?
ขณะนี้ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจว่าเหตุใดตงปั๋วเหวินจึงเปลี่ยนท่าทีไปสนใจโลงทองแดงขึ้นมากะทันหัน
เพราะเทียบกับกลุ่มของเฉินซี เห็นได้ชัดว่าตงปั๋วเหวินให้ความสนใจกับตัวตนซึ่งปรากฏขึ้นนี้มากกว่า และไร้ทางเลือกนอกจากต้องตั้งสมาธิจดจ่อในการจัดการกับคนผู้นั้น!
“ยามข้าตกตาย ก็กะไว้แล้วว่าจะมีใครสักคนมาที่นี่ในภายหน้า ในเมื่อพวกเจ้าผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้ ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเจ้าหาใช่ธรรมดา” ทันใดนั้น ร่างนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เฉียบขาดและสุดภาคภูมิ “ทว่าหากผู้อื่นนอกเผ่ามังกรบรรพกาลของข้าคิดรับมรดกที่ข้าทิ้งไว้ ก็ต้องได้รับการยอมรับจากข้าก่อน!”
ทันทีที่เปิดปาก วาทะนั้นก็ชวนตะลึงเยี่ยงอัสนีขยี้แดนสงัด ทำให้เฉินซีเข้าใจเสียทีว่าคนผู้นี้ แท้จริงก็คือมหาเทพเต๋าบรรพมังกรผู้ตกตายเมื่อนานมาแล้ว!
หรือก็คือ ร่างนี้น่าจะเป็นตราประทับเจตจำนงที่มหาเทพเต๋าบรรพมังกรทิ้งไว้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีและคณะก็ผงะไปอีกครั้ง ไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าหลังผ่านมาแสนนาน พวกเขาจะยังมีวาสนาได้ประจักษ์ลักษณ์จริงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร
“เราจะได้รับการยอมรับจากท่านได้อย่างไร?” ตงปั๋วเหวินเอ่ยถาม
“ถกวิถีเต๋าเช่นไร?” ตงปั๋วเหวินถามต่อ
“เจ้าตั้งใจพัฒนาสู่ขอบเขตมหาเทพเต๋า ดังนั้นมันย่อมเป็นการถกถึงวิถีบรรลุมหาเทพเต๋า” เสียงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรหนักแน่นสุขุม
ทว่าเมื่อวาทะนี้กระทบโสตกลุ่มของเฉินซี พวกเขาก็ตกตะลึงอยู่ในใจ มหาเทพเต๋าบรรพมังกรผู้ตกตายแสนนานนี้ เหมือนจะมองทะลุจุดประสงค์ของตงปั๋วเหวินได้!
“ได้ ข้าจะถกวิถีเต๋ากับเจ้า!” ตงปั๋วเหวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้ามานั่งขัดสมาธิตรงหน้าตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรบนโลงทองแดง
“ข้ายังมีดวงจิตมังกร โลหิตมังกรหนึ่งไห แก่นกำเนิดมังกรหนึ่งสายและหัวใจมังกร หากเจ้าได้รับการยอมรับจากข้า เช่นนั้นดวงจิตมังกรนี้จะเป็นของเจ้า” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรกล่าวเสียงเบา
เขาเผยรายละเอียดมรดกสูงสุดนี้ออกมาตรง ๆ!
“หัวใจบรรพมังกร! ข้าต้องการสิ่งนี้!” ลมหายใจของเหล่าไป๋ถี่กระชั้น ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
เฉินซีไม่อาจทราบว่าดวงจิตมังกร โลหิตมังกร แก่นกำเนิดมังกร และหัวใจมังกรมีสรรพคุณยิ่งใหญ่เช่นไร แต่ก็ไม่สงสัยเลยว่าพวกมันล้วนเป็นสมบัติสูงสุดอันดึงดูดผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนตลอดกาลนาน
“แล้วหากข้าต้องการทั้งดวงจิตมังกร โลหิตมังกร แก่นกำเนิดมังกร และหัวใจมังกรเล่า?” ตงปั๋วเหวินถามขึ้นกะทันหัน
ถึงขนาดที่พวกเขาสงสัยด้วยซ้ำว่า หากตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรไม่ได้ปรากฏขึ้น ตงปั๋วเหวินคงลงมือกับพวกเขาแล้ว!
เขาทำเช่นนั้นทำไม?
ง่ายนัก! เพื่อยึดครองโอกาสวาสนาทั้งหมดไว้คนเดียว!
เป่าน้อยเดือดดาล ดวงตาเจียนถลนด้วยโทสะ “ไอ้บ้าสมควรตายนี่! ชั่วช้าโลภมากนัก!”
เยี่ยเหยียนเผยสีหน้ารังเกียจ “มิคาดเลยว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้”
เฉินซีกลับดูเยือกเย็น กล่าวขึ้นว่า “เรารู้หน้า แต่ไม่รู้ใจคน บางทีก่อนหน้านี้เขาอาจร่วมมือกับเราอย่างจริงใจ แต่ความคิดก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัวยามประสบโอกาสสูงสุดอันเย้ายวน”
“หากเจ้าทำให้ข้าพอใจได้ ก็เป็นไปได้ที่จะได้ทุกสิ่ง” ขณะเดียวกัน ตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเอ่ย “แต่การทำเช่นนั้นไม่ง่ายหรอกนะ”
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะพยายามให้ถึงที่สุด!” ขณะนี้ตงปั๋วเหวินดูสุดแสนสงบสำรวม ดวงตาฉายประกายหนักแน่น ดูตั้งใจจะรับโอกาสนี้ไว้ทั้งหมด
………………..