บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1802 เส้นทางเย้ยสวรรค์
บทที่ 1802 เส้นทางเย้ยสวรรค์
การถกวิถีเต๋าเริ่มขึ้น
วงคลื่นรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีเงินเรืองออกจากโลงทองแดงตามกันเป็นระลอก ปกคลุมร่างของตงปั๋วเหวินและตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรไว้ภายใน
ด้วยความสามารถของเฉินซีและคณะ พวกเขาไม่อาจได้ยินเนื้อหาการถกวิถีเต๋าระหว่างทั้งสองเลย ทำได้เพียงต้องมองจากไกล ๆ
“บัดซบ! เจ้านั่นได้ชิงโอกาสก่อน!” เป่าน้อยกระฟัดกระเฟียด
“เราควรทำเช่นไร หากตงปั๋วเหวินผู้นั้นทำสำเร็จจริง ๆ เรามิใช่มาเสียเที่ยวหรือ?” เยี่ยเหยียนร้อนใจเล็กน้อย
เฉินซีได้ยินเช่นนี้ก็อดขมวดคิ้วมิได้ ครุ่นคิดหนักไม่จบสิ้น
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก นี่คือชะตา เราพยายามให้ดีที่สุดก็พอ หากสุดท้ายไม่บรรลุตามหวัง นั่นก็หมายความว่าเราไร้วาสนากับโอกาสนี้” ขณะนั้น เหล่าไป๋เหมือนจะเลิกจดจ่อกับเรื่องนี้ แต่เฉินซีก็สังเกตชัดว่ามีความกังวลแฝงอยู่ในท่าทีสงบผ่อนคลายนี้
นี่เป็นเรื่องธรรมดา เพราะถึงอย่างไร โอกาสนี้ก็เกี่ยวกับความสามารถเคลื่อนขอบเขตของเหล่าไป๋ แม้จะใช้ชีวิตมาแสนนาน เขาก็ไม่ต่างจากผู้อื่นยามเป็นเรื่องของโอกาสเช่นกัน
“ไม่แนะนำให้ทำ การทำเช่นนั้นน่าจะไปกระตุ้นการตอบโต้จากตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเปล่า ๆ” เหล่าไป๋ส่ายหัว ปฏิเสธความคิดของเฉินซี
“ตงปั๋วเหวินผู้นั้นทั้งโลภมากทั้งไม่รู้จักรักษาน้ำใจคน ตลอดกาลนานมา นายใหญ่ไม่น่าชี้แนะเขาเลย!” เยี่ยเหยียนเดือดดาลสุดขีด “หรือเขาจะลืมไปแล้วว่าที่เขามาถึงนี่ได้ก็เพราะไข่มุกต้นกำเนิดมังกรและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ในมือเฉินซี?”
เฉินซีส่ายหัว “พูดเช่นนั้นไม่ได้หรอก หากไม่ได้เขาช่วย เราก็ผ่านข้อจำกัดที่สองไม่ได้เช่นกัน”
ชายหนุ่มไม่ได้ถูกเหตุการณ์นี้กระทบใด ๆ และดูจะไม่มีทั้งโทสะและความแค้น
ดังเขากล่าวไว้ ตงปั๋วเหวินไร้เจตนาชิงโอกาสทั้งหมดไว้คนเดียว และไม่ได้คิดทำร้ายพวกเขาจนมาถึงที่นี่
มิเช่นนั้น ด้วยความสามารถของตงปั๋วเหวิน อีกฝ่ายคงฆ่าเขาได้ตั้งแต่ยามก้าวผ่านข้อจำกัดที่สอง ชิงทั้งตาข่ายครอบคลุมสวรรค์และไข่มุกต้นกำเนิดมังกรไป ก็ทำให้เขามาถึงที่นี่ได้เองแล้ว ไร้เหตุผลต้องรอคอยจนบัดนี้
“ถูกต้อง เทียบกับพวกคนชั่วเจตนาร้ายทั้งหลาย ตงปั๋วเหวินผู้นี้ถือได้แล้วว่าซื่อตรงกว่า แต่น่าเสียดายที่สุดท้าย เขาก็ฝืนความเย้ายวนของโอกาสนี้ไม่ไหว และเกิดเจตนาร้ายต่อเรา” เหล่าไป๋รำพึงด้วยสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ดุจปราชญ์โบราณว่าไว้ วิหคตายเพราะอาหาร คนตายเพราะทรัพย์สมบัติ
“แล้วเราควรทำเช่นไร?” เยี่ยเหยียนอดถามไม่ได้
“แล้วหากตงปั๋วเหวินทำสำเร็จเล่า?” เยี่ยเหยียนเป็นกังวล
“เช่นนั้นก็พิสูจน์ว่าเราไร้วาสนากับโอกาสนี้ แล้วเราก็แค่ไปเสีย” เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตอบกลับ
…
หลังชั่วกาลเกินคะเน เฉินซีพลันสังเกตว่าคลื่นพลังอันคลุมเครือจากโลงทองแดงเริ่มพลุ่งพล่านรุนแรง แล้วร่างของตงปั๋วเหวินซึ่งเดิมนั่งขัดสมาธิอยู่พลันสั่นสะท้าน สีหน้าเฉยชาสำรวมเปลี่ยนแปลงไป
เกิดอันใดขึ้น? หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” ก่อนที่เฉินซีจะทันฟื้นจากความตกตะลึง เสียงคำรามลั่นของตงปั๋วเหวินก็ดังสนั่นในฟ้าดิน เต็มไปด้วยความลนลานและโทสะสุดขีด เหมือนเผชิญบางอย่างน่าสะพรึงกลัว
นอกจากนั้น สีหน้ายังบิดเบี้ยวเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายกาจ หอบหายใจถี่รัวเหมือนเจียนบ้า ไร้ซึ่งมาดการวางตัวอย่างจักรพรรดิเก้าดาราอีกต่อไป!
“หากไม่รู้จักพอ สรรพสิ่งก็สูญเปล่า!” เสียงหนักแน่นทรงพลังของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรกึกก้องขึ้น
เพียงพริบตา ตงปั๋วเหวินก็ดูเหมือนต้องอัสนี ร่างแน่นิ่งหยุดเสียงลงกะทันหัน สีหน้าอึ้งตะลึง
“ฮ่า ๆ! เจ้านั่นเหมือนจะล้มเหลวแล้ว กระทั่งดวงจิตก็เกรงว่าคงไม่ได้ไป” เป่าน้อยปรีดาในความทุกข์ทนของตงปั๋วเหวิน
“การถกวิถีเต๋านี้ร้ายกาจนัก กระทั่งจักรพรรดิเก้าดารายังเหมือนเกินทานทน หากเป็นเราแทนล่ะก็….” เยี่ยเหยียนเป็นกังวลเล็กน้อย
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก แค่ถกวิถีเต๋า ไม่ใช่การประมือ ต่อให้ตงปั๋วเหวินนั่นทำไม่ได้ ก็ใช่ว่าข้า บรรพชนผู้นี้จะล้มเหลวไปด้วย!” เหล่าไป๋กลับสุดแสนตื่นเต้น เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เขาถูกขนานนามเป็นสรรพวิญญาจารย์ผู้รอบรู้ ย่อมไม่กลัวการถกวิถีเต๋ากับผู้ใด
เฉินซีอดถอนหายใจโล่งอกยามเห็นเช่นนี้ไม่ได้
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริง ๆ….” เสียงรำพึงของตงปั๋วเหวินพลันดังมาจากไกล ๆ และปรากฏว่ามันเจือด้วยความโล่งใจเหมือนได้คลายปมในอก สีหน้ากลับสู่ความเยือกเย็นอีกครั้ง
ฉัวะ!
แล้วเฉินซีและคณะก็ต้องประหลาดใจเมื่อตงปั๋วเหวินกระชากแขนซ้ายของตนออก ทำให้โลหิตสดสาดกระจาย
ทว่าอีกฝ่ายกลับเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวด กล่าวขึ้นอย่างสุขุม “ความคิดร้ายสร้างความคิดไขว้เขว ความโลภของข้าสร้างเงาบดบังหัวใจ หลังจากได้บทเรียนนี้ ข้าสาบานต่อแขนซ้ายนี้ว่า หากภายหน้าสร้างความผิดซ้ำรอย ข้าจะขอรับทัณฑ์ตายจากเต๋าสวรรค์!”
ทุกวาทะเผยความเคร่งขรึมจริงใจ สะท้านทั่วฟ้าดินเยี่ยงวจีมหาเต๋า
หัวใจของเฉินซีและคณะสั่นสะท้าน สะเทือนใจกับเหตุนี้อย่างยิ่ง
“หากดวงจิตแห่งเต๋าเปื้อนมลทิน ก็แค่เช็ดมันออก! หากไม่ทำ ก็ย่อมไม่อาจได้ดวงจิตมังกรไป รับไปสิ!” ตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเอ่ยปาก ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ลวดลายมังกรทองเรืองภาพหนึ่งทะยานสู่ฟ้า พุ่งเข้าไปในร่างของตงปั๋วเหวินในทันที!
เห็นได้ชัดว่านั่นคือดวงจิตมังกรที่มหาเทพเต๋าบรรพมังกรทิ้งไว้!
ไม่เพียงทำให้กลุ่มของเฉินซีประหลาดใจ กระทั่งตงปั๋วเหวินเองก็ไม่คาดคิด หลังผงะไปครู่หนึ่ง เขาก็เผยสีหน้าซับซ้อน ยกมือคารวะ “ขอบคุณ”
กล่าวจบ ร่างก็ไหวพ้นออกมาจากโลงทองแดง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่ไกล ๆ แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ ไม่สนใจสิ่งอื่นอีก
“ฮึ! มิคาดเลยว่าเจ้านี่จะได้โชคในคราวเคราะห์” เหล่าไป๋แค่นเสียงเย็น
“บางทีผลลัพธ์นี้อาจเป็นประสบการณ์และการขัดเกลารูปแบบหนึ่งสำหรับเขานะ” เฉินซีเหมือนจมในความคิด
“แล้วเจ้าก็คิดยกโทษให้เขาเช่นนี้หรือ?” เป่าน้อยพูดขึ้นอย่างยังไม่พอใจ
“เขากลับใจแล้ว แล้วเราจะปล่อยวางมิได้หรือ?” เฉินซีถอนใจ “แค่เราอยู่ให้ห่างเขาไว้ก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความแค้นในอดีตหรอก”
เฉินซีตระหนักดีว่า แม้ตงปั๋วเหวินจะไม่ขออภัยชดใช้ความผิด พวกเขาก็ยังไม่อาจทำอะไรตงปั๋วเหวินได้ ดังนั้นผลลัพธ์ปัจจุบันย่อมจบความแค้นระหว่างพวกเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ช่างมันเถอะ พวกเจ้าคุยกันไปก่อน บรรพชนผู้นี้จะไปถกวิถีเต๋ากับเจ้านั่น!” เหล่าไป๋โผบินสู่นภา บินไปหาโลงทองแดงอย่างใจร้อนเล็กน้อย
“เผชิญความริษยาจากสวรรค์จนส่งทัณฑ์ลงมารับการท้าทาย มิคาดเลยว่าตัวตนเลิศล้ำเช่นเจ้าจะมีอยู่ในโลกหล้าจริง ๆ หากเจ้าผ่านบททดสอบของข้าได้ หัวใจมังกรนี้จะเป็นของเจ้า” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรเหมือนประจักษ์ที่มาของเหล่าไป๋ได้แต่แรก และกล่าวอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย!” เหล่าไป๋ตรงไปตรงมา กล่าวขึ้นทันที
“ตามใจเจ้า” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรสะบัดแขนเสื้อ แล้วคลื่นพลังอันคลุมเครือก็ครอบโลงทองแดงไว้อีกครั้ง ปิดบังทั้งร่างของตนและเหล่าไป๋ไว้
เห็นเช่นนี้ เฉินซีและคณะก็พลันหยุดเสวนา มองมาเป็นตาเดียว
…
สองชั่วยามต่อมา เสียงแผดร้องของเหล่าไป๋พลันดังออกมาจากโลงทองแดง “น่าขันนัก! ขอบเขตมหาเทพเต๋าเป็นขอบเขตไร้กฎเกณฑ์ เทียบชั้นได้กับสวรรค์ หากลัวสรรพวิชาใดไม่ ก่อตั้งรากฐานสูงสุด หมื่นเต๋าหลอมสู่ร่าง ทำให้มหาเทพเต๋ายืนยงตราบกาลนาน สาเหตุการตายของเจ้าก็แค่เพราะเผชิญทัณฑ์เกินคาดหยั่งเท่านั้น!”
“ทัณฑ์เกินคาดหยั่งก็คือทัณฑ์สวรรค์ เต๋าสวรรค์เกินคาดหยั่ง ไม่อาจทนสิ่งใดเทียบเคียงมัน เจ้าไม่เข้าใจหลักการนี้” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรตอบอย่างสุขุม
“เพราะแม้เจ้าจะตระหนักสรรพวิชา เจ้าก็มิใช่มหาเทพเต๋า และไม่ได้เผชิญทัณฑ์เช่นนั้นมาก่อน สิ่งที่เจ้าทราบจึงเป็นเพียงลมปากเลื่อนลอย” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรกล่าวชัดคำ เปี่ยมอำนาจสะท้านหัวใจ
เพียงประโยคสั้น ๆ นี้ก็ทำให้ร่างของเหล่าไป๋ชะงักนิ่งกับที่
เฉินซีและคณะต่างตะลึง มิคาดคิดเลยว่าเหล่าไป๋จะไม่ได้ถกวิถีเต๋ากับมหาเทพเต๋าบรรพมังกร แต่เสวนาถึงความลับเต๋าสวรรค์อันคลุมเครือเกินหยั่ง!
“ก็จริง ข้าไม่ใช่มหาเทพเต๋า และไม่เคยเจอทัณฑ์เช่นนั้น แต่สักวัน ข้าจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้” เนิ่นนานจากนั้น เหล่าไป๋ก็พูดขึ้นเสียงแหบแห้ง เจือเค้าความมาดมั่น
“เส้นทางเย้ยสวรรค์… ไม่ง่ายเลย” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรกล่าววาจาเหล่านี้ ก่อนจะโบกมือ “ข้าให้สิ่งที่เจ้าต้องการไปแล้ว ไปสิ”
“ขอบคุณ” ขณะนี้ เหล่าไป๋เผยความสุภาพออกมาอย่างหาได้ยาก พูดจบ มันก็สยายปีกโบยบินออกไปจากโลงทองแดง
เฉินซีรีบร้อนถาม “เป็นเช่นไร?”
“ไม่เป็นไร สุดท้ายข้าก็สำเร็จ” เหล่าไป๋ตอบอย่างคลุมเครือ ไม่ได้เผยความลิงโลดนัก แล้วเปลี่ยนประเด็น “เฉินซี พวกเจ้าก็รีบลงมือเถอะ อย่าพลาดโอกาสวาสนานี้ไป”
เฉินซีได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ถามต่อ เขาพยักหน้าแล้วให้เป่าน้อยกับเยี่ยเหยียนไปถกวิถีเต๋ากับมหาเทพเต๋าบรรพมังกรตาม ๆ กัน
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไป?” เหล่าไป๋เหลือบมองเฉินซีอย่างประหลาดใจ
“ข้าอยากรออีกสักหน่อย” เฉินซีตอบเรียบ ๆ แต่สายตาที่มองไปยังโลงทองแดงนั้นเยือกเย็นจนถึงขนาดที่เหล่าไป๋ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร
มันจึงอดถามไม่ได้ “กลัวหรือว่าจะล้มเหลว?”
เฉินซีส่ายหัว “ถกวิถีเต๋าไม่ได้สำคัญสำหรับข้า ต่อให้พลาดโอกาสวาสนาที่นี่ก็หาสำคัญไม่”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย สูดหายใจลึก และเอ่ยว่า “ทั้งหมดที่ข้าอยากรู้ก็คือ เหตุใดตัวตนอย่างมหาเทพเต๋าบรรพมังกรจึงตกตายเมื่อกาลก่อน!”
เหล่าไป๋ตะลึงไปทันที
………………..