บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1803 วาจาจาบจ้วง
บทที่ 1803 วาจาจาบจ้วง
หนึ่งชั่วก้านธูปมอดถัดมา เป่าน้อยก็กลับมาพร้อมโลหิตมังกรหนึ่งไห
หลังเฉินซีเอ่ยถาม พวกเขาก็ประจักษ์ว่าการถกวิถีเต๋าระหว่างเป่าน้อยและมหาเทพเต๋าบรรพมังกรแตกต่างจากตงปั๋วเหวินและเหล่าไป๋ และใช้วิธีต่อสู้กัน
นอกจากนั้น คู่มือนั้นยังเป็นตัวเขาเอง!
เมื่อมาถึงโลงทองแดง ดวงจิตก็มาอยู่ในพื้นที่ลึกลับซึ่งมีศัตรูอันเหมือนเป่าน้อยทุกประการ ซึ่งก็คือ ‘เงาสะท้อน’ ของเขารออยู่
สำหรับเฉินซี มันเป็นชั่วเวลาเพียงให้หนึ่งก้านธูปมอดสนิท ทว่าสำหรับเป่าน้อยซึ่งสู้กับเงาสะท้อนของตนอยู่นั้น มันให้ความรู้สึกเนิ่นนานเกินนับปี
เพราะศึกนี้เข้มข้นเกินไป การบรรลุสำเร็จเหนือ ‘เงาสะท้อน’ ของตนจึงเหมือนเอาชนะตนเอง
ทุกการเคลื่อนไหว และกระทั่งทุกความคิดต่างสะท้อนใน ‘เงาสะท้อน’ ดังนั้น ยิ่งอยากเอาชนะศัตรู ยิ่งไม่อาจบรรลุสำเร็จ
ภายหลัง ในที่สุดเขาก็ประจักษ์ความลึกล้ำของการ ‘ลืมตัวตน’ ในศึก จึงเอาชนะศัตรู ข้ามผ่าน ‘เงาสะท้อน’ ของตนเองไปได้
เป่าน้อยกลับมาได้ไม่นาน เยี่ยเหยียนก็กลับมาเช่นกัน นอกจากนั้น นางยังได้แก่นกำเนิดมังกรกลับมาด้วย ดังนั้นนางก็ถือได้ว่าสำเร็จในการถกวิถีเต๋าเช่นกัน
จากวาทะเยี่ยเหยียน นับแต่ต้นจนจบ นางไร้วจีแม้เพียงคำ แค่นั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ เหมือนได้หลับฝัน และจบลงยามลืมตาตื่น
ส่วนความฝันของนางเป็นเช่นไร กระทั่งนางยังไม่อาจนึกย้อน ดูแปลกประหลาดลึกลับอย่างยิ่ง
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของมหาเทพเต๋าบรรพมังกร ในเมื่อนางได้แก่นกำเนิดมังกรมา เยี่ยเหยียนก็พิสูจน์แล้วว่านางได้รับการยอมรับของเขา
ขณะนี้ตงปั๋วเหวินได้ดวงจิตมังกร เหล่าไป๋ได้หัวใจมังกร เป่าน้อยได้โลหิตมังกร และเยี่ยเหยียนก็ได้แก่นกำเนิดมังกร
วาสนาสูงสุดนี้เหมือนถูกแบ่งสันหมดสิ้น ไม่เหลือสิ่งใดให้เฉินซีอีก
แต่เฉินซีหาคาดคิดเช่นนั้นไม่ เพราะสิ่งที่เขาแสวงแตกต่างจากสิ่งของทั้งหมดนี้
…
เฉินซีมายังโลงทองแดงอย่างไร้ลังเล
ทันทีที่มาถึง ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าโลงทองแดงนี้สุดแสนไม่ธรรมดา การยืนบนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลาง ‘ความโกลาหล’ ปราณศักดิ์สิทธิ์พร่างพรม รัศมีเต๋าเรืองรอง ดูลึกลับอย่างยิ่ง
ถึงขนาดที่เกิดความรู้สึกประหลาดราวได้กลับสู่จุดกำเนิดมหาเต๋าในภวังค์ความคิด
ร่างอันก่อจากตราประทับเจตจำนงของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรนั่งขัดสมาธิกับที่ และยามนี้ ในที่สุดเฉินซีก็เห็นหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน
ใบหน้าของเขาซูบผอม เส้นผมหงอกขาว ดวงตาลึกล้ำจนเหมือนประตูสู่ปรภพ กลืนกินสรรพวิญญาณ!
เพียงรูปลักษณ์ภายนอกลำพัง ก็ไม่อาจทราบได้เลยว่านี่จะเป็นเทพโดยกำเนิดผู้เกิดจากความโกลาหล ในทางกลับกัน เขาเหมือนชายชราผู้ทรงภูมิซึ่งมีชีวิตเกินนับปี เผชิญสรรพสิ่งในโลกหล้า จึงไร้ความลับใดหลีกพ้นสายตาได้
ขณะที่เฉินซีพินิจมหาเทพเต๋าบรรพมังกร อีกฝ่ายก็พินิจเขาอยู่เช่นกัน ดวงตาลึกล้ำของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเรืองประกายแห่งปัญญา
เนิ่นนานจากนั้น มหาเทพเต๋าบรรพมังกรก็เปิดปาก “ชะตากรรมไม่อาจประจักษ์แจ้ง เจ้าหนูนี่น่าสนใจแท้”
เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง จึงถอนใจ “เจ้าไปเถิด เจ้ามีแต่ต้องเดินบนเส้นทางเต๋าของตนเองลำพัง มรดกใด ๆ ที่ข้ามีต่างถูกแบ่งแจกไปสิ้น ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าแล้ว”
สีหน้าของเฉินซีเยือกเย็น ดูไม่ประหลาดใจแม้สักนิด เขานั่งขัดสมาธิมองมหาเทพเต๋าบรรพมังกร พลางกล่าวว่า “ผู้อาวุโสน่าจะเห็นที่มาของข้าแล้ว บอกตามตรง ข้ามาที่นี่โดยไม่คาดหวังต่อโอกาสใด”
“โอ้?” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรเผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกล้ำ “เช่นนั้น เจ้าปรารถนาสิ่งใดจากข้า?”
“ข้าเพียงอยากรู้ว่าเหตุใด ผู้อาวุโสจึงตกตายเมื่อกาลก่อน” เฉินซีพูดตรง ๆ “สรรพสิ่งแสวงความสำเร็จ แต่ข้าตระหนักดีว่าความผิดพลาดของมหาเทพเต๋าอาจน่าสนใจยิ่งกว่า”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว มหาเทพเต๋าบรรพมังกรก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเรืองประกายเฉิดฉันชวนสะพรึง
เขาจ้องมองเฉินซีเงียบ ๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จู่ ๆ จะระเบิดหัวเราะร่า เสียงของเขาเจือความเศร้าและอารมณ์อันเกินนิยาม เหมือนทอดถอนใจ แต่ก็เศร้าหมองในเวลาเดียวกัน สุดแสนซับซ้อน
“มิคาดเลยว่าเจ้าหนูในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสูงอย่างเจ้าจะเริ่มวางแผนเส้นทางบรรลุมหาเทพเต๋าแล้ว หากเป็นผู้อื่น ข้าคงแค่นเสียงอย่างดูแคลน ปรามาสคนผู้นั้นว่าคาดหวังเกินตัวเป็นแน่ แต่เจ้า… แตกต่างจากพวกเขา”
เพียงครู่ต่อมา มหาเทพเต๋าบรรพมังกรก็กล่าวช้า ๆ “เพราะเจ้าคือผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากผู้หนึ่ง จึงมีเหตุผลที่เจ้าจะคำนึงถึงจุดนี้”
เฉินซีแย้มยิ้ม ทำเพียงมองมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเงียบ ๆ มิได้ปฏิเสธ
“ข้ายังจำได้ว่า ผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากคนที่ห้าคือเจ้านรกขุมที่เก้ากูฉางเซิง คนที่เจ็ดคือผู้นำยุคหมานกู่ เซวียน คนที่แปดคือฝูซี ประมุขเขาเทพพยากรณ์ เจ้า… คงเป็นผู้รู้แจ้งคนที่เก้ากระมัง?” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรกล่าวอย่างสุดสนใจ แม้จะเป็นเพียงตราประทับเจตจำนง แต่เขากลับมีความฉลาดสูงส่ง ทุกถ้อยคำหาแตกต่างจากคนเป็นไม่
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีสะท้านใจเล็กน้อย เพราะเขาเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากคนที่ห้า แท้จริงคือเจ้านรกขุมที่เก้ากูฉางเซิง!
เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“มิผิด” ครู่สั้น ๆ ต่อมา เฉินซีก็พยักหน้า
วาทะเหล่านี้ทำให้เฉินซีผงะไป ก่อนที่ครู่ต่อมาเขาจะยิ้มจืดเจื่อน “ผู้อาวุโสดูถูกตนเองเกินไปแล้ว เหตุที่ข้ามาที่นี่เป็นคนสุดท้าย ก็แค่เพราะข้าแสวงสิ่งที่แตกต่างจากพวกเขา ไร้เจตนาหยามหมิ่นล่วงเกินผู้อาวุโสแม้แต่น้อย”
มหาเทพเต๋าบรรพมังกรสรวลเส “เจ้าแสวงสิ่งที่ต่างออกไป! โลกหล้านี้เต็มไปด้วยผู้แสวงความสำเร็จ แต่เจ้ากลับแสวงความล้มเหลว เช่นนั้นข้าก็จะตามใจเจ้า!”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็เปลี่ยนประเด็นเฉียบพลัน สายตามองเฉินซีอย่างเคร่งขรึม “เจ้าหนู ก่อนสิ่งอื่นใด ข้าอยากถามเจ้าบางอย่าง นับแต่เริ่มบ่มเพาะจนบัดนี้ เจ้ามีความคิดเช่นไรต่อเต๋าสวรรค์?”
เฉินซีนิ่งไป คำถามนี้เกี่ยวกับความเข้าใจของข้าต่อเต๋าสวรรค์หรือ?
ชั่วขณะนั้น เฉินซีเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ขออภัย ข้าไม่อาจนิยามได้”
มหาเทพเต๋าบรรพมังกรดูผิดหวังเล็กน้อย
แต่ขณะที่เขากำลังจะปริปาก ก็ได้ยินเฉินซีกล่าว “ทว่าจากความเห็นข้า หากเต๋าสวรรค์ขวางเส้นทางแสวงเต๋าของข้าในภายหน้า มันก็คือศัตรูของข้า ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ก็จะล้มมันแล้วสัญจรต่อบนเส้นทางแสวงเต๋า!”
หากวาทะนี้ไปกระทบโสตผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ คงตำหนิเฉินซีว่ากล่าววาจาจาบจ้วงเป็นแน่! เพราะนั้นไม่ต่างอะไรกับการกบฏเลย!
ใครบ้างในหล้าจะกล้าพูดว่าจะถือเต๋าสวรรค์เป็นศัตรู เผยเจตนาเอาชนะมัน?
นอกจากนั้น การเหยียบยืนเหนือเต๋าสวรรค์ด้วยเส้นทางแสวงเต๋าของตน ฟังดูสุดแสนเย่อหยิ่งจองหอง หากผู้บ่มเพาะคนใดกล้าพูดเพ้อเจ้อเช่นนี้ คงไม่พ้นต้องทัณฑ์สวรรค์!
ขณะนี้ยามได้ยินวาทะของเฉินซี มหาเทพเต๋าบรรพมังกรก็นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างหาได้ยากเช่นกัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงเกินตัดสิน ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีก
เนิ่นนานจากนั้น เขาพลันระเบิดหัวเราะ เสียงเจือความบ้าคลั่งเป็นพิเศษ
“มิเคยคาดเลย! ข้าไม่เคยคาดคิดจริง ๆ ว่าสิ่งที่ข้า ผู้กระทั่งบรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋ามาแสนนานไม่อาจคิดออก เจ้าหนูเช่นเจ้าจะแถลงไขไปแล้ว มิน่าเล่า ข้าจึงเผชิญทัณฑ์อันเกินดิ้นหลุด มิน่าเล่า….”
ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้ พอจะเดาเรื่องบางอย่างได้เลือนราง
วาทะเมื่อครู่คือความคิดแท้จริงในใจ ไม่ได้ปกปิดใด ๆ ทว่าหากเป็นเวลาทั่วไป เขาไม่มีทางพูดเช่นนี้ออกมาแน่ เพราะพูดไป ก็มีแต่จะถูกมองเป็นคนบ้า
แต่เห็นได้ชัดว่าวาทะของเขาไปตรงใจมหาเทพเต๋าบรรพมังกรเข้าเต็ม ๆ
“ในเมื่อวันนี้ข้าได้บรรลุเข้าใจ ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระจากความอาดูรทั้งปวง….” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรพลันลุกขึ้น ดวงตาเรืองรอง เรือนผมหงอกขาวพลิ้วไสว ทั่วร่างให้บรรยากาศราวได้คืนอิสระ ก้าวข้ามอุปสรรค
ตู้ม!
ว่าแล้ว มหาเทพเต๋าบรรพมังกรก็สะบัดแขนเสื้อ โลงทองแดงใต้เท้าพลันส่งวจีสะท้านสะเทือนโลกา
อึดใจต่อมา โลงทองแดงอันลอยนิ่งกลางท้องนภาพร่างพราวพลันเรืองรัศมีศักดิ์สิทธิ์แผดจ้า เพียงครู่ต่อมา มันก็หดตัวจนกลายเป็นสิ่งของคล้ายแผ่นหยกทองแดง หล่นลงมาในมือมหาเทพเต๋าบรรพมังกร
“สิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้ เมื่อบรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋า เจ้าจะสามารถเปิดรับสิ่งที่ปรารถนาได้” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรฉีกยิ้ม ส่งโลงทองแดงซึ่งเหมือนจะกลายเป็นแผ่นหยกให้กับเฉินซี
“ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับของขวัญ” เฉินซีรีบร้อนรับมันมา แล้วประสานกำปั้นโค้งตัวคารวะ
“ไปสิ ได้พบเจ้าหนูน่าสนใจเช่นเจ้าในวาระสุดท้าย ข้าก็ไปยิ้มแป้นในนรกได้แล้ว” มหาเทพเต๋าบรรพมังกรเสสรวลเฮฮา
ขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็ละลายหายเป็นพิรุณแสง สลายกระจายทั่วทิศ ก่อนจะดับสูญไปอย่างสมบูรณ์
“ผู้อาวุโสรักษาตัวด้วย” เฉินซีประสานกำปั้นอีกครั้ง ตระหนักชัดเจนว่าหลังจากนี้ จะไม่มีร่องรอยใด ๆ ของมหาเทพเต๋าบรรพมังกรหลงเหลือในโลกหล้า….
เหตุการณ์นี้สะท้านถึงเหล่าไป๋ เป่าน้อย เยี่ยเหยียนและตงปั๋วเหวินจนพากันหันมองมาอย่างตกใจ หาทราบไม่ว่าเหตุใดเหตุไม่คาดฝันเช่นนี้จึงบังเกิด
………………..