บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1808 ขอเส้นทางจากตระกูลเชินถู
บทที่ 1808 ขอเส้นทางจากตระกูลเชินถู
ตลอดกาลผ่านมา ณ ภูมิภาคบรรลุเทพในสามภพ เฉินซีเคยได้เหยียบขึ้นบนเทวาคารบรรลุเทพ และด้วยความช่วยเหลือจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก เขาก็ขับไล่เนตรทัณฑ์สวรรค์ไป และได้ยลลักษณ์แท้ของเทียบอันดับเทวาในที่สุด
น่าเสียดาย เขาได้เห็นมันเพียงพริบตาเท่านั้น
ภายหลัง ยามเฉินซีบรรลุสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ เขาก็สร้างปรากฏการณ์ในฟ้าดิน ก่อนที่ปราณของเทียบอันดับเทวาจะปรากฏขึ้น ณ จักรวาลในร่างของเขา แต่มันก็อยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวเช่นกัน ก่อนจะถูกฤทธิ์ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากสลายไป
นับแต่นั้นมา นามของเฉินซีก็ไม่เคยปรากฏในเทียบอันดับเทวาเลย
ยามนี้เมื่อเขามาถึงเอกภพจักรวรรดิและเห็นภูเขาผนึกเทพอันแสนไกล ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากก็เผยคลื่นเคลื่อนไหวอีกครั้ง เผยอารมณ์รังเกียจเดียดฉันท์ คุกคามเป็นปรปักษ์อย่างแรงกล้า
เฉินซีตระหนักดีว่าเยี่ยเหยียนพูดถูก เทียบอันดับเทวาต้องซ่อนอยู่บนภูเขาผนึกเทพอย่างแน่แท้ มิเช่นนั้น ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากคงไม่มีทางตอบสนองเช่นนี้
ทว่าเมื่อเขาคิดไปว่าภูเขาผนึกเทพมีตัวตนเนิ่นนานกระทั่งก่อนเอกภพจักรวรรดิบังเกิด หัวใจของเฉินซีก็สั่นสะท้านดุจต้องมรสุมอย่างอดไม่ได้
มันหมายความว่านับแต่บรรพกาลจวบปัจจุบัน ปราณของเทียบอันดับเทวาก็ปกคลุมทั่วแดนเทพโบราณ ไม่เคยถูกทำลายได้เลย!
ด้วยเหตุนี้ การที่ชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเผยเค้าลางมุ่งร้ายต่อเทียบอันดับเทวาจึงทำให้เฉินซีรู้สึกหนักใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“เจ้าคิดอะไรอยู่?” เยี่ยเหยียนเห็นเฉินซีเงียบไปเนิ่นนาน ก็อดใคร่รู้มิได้
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่คิดว่ามันอธิบายไม่ได้เลยว่าเหตุใดจึงมีแต่มหาเทพเต๋าที่เหยียบย่างสู่ภูเขาผนึกเทพได้น่ะ” เฉินซีกล่าวเรียบๆ
“ใช่เลย ในโลกหล้าผู้บ่มเพาะของเอกภพจักรวรรดิ เทียบอันดับเทวาเป็นเหมือนเต๋าสวรรค์สูงสุด ทำให้สรรพชีวิตครั่นคร้ามยำเกรง จากตำนาน ขอเพียงผู้ใดเข้าใจเคล็ดบรรลุเทพในนั้นได้ ก็จะสามารถเทียบฟ้าดิน ยืนเคียงมหาเต๋า กลายเป็นตัวตนนิรันดร์กาลได้ ส่วนจริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราหลับหูหลับตาเดาได้” เยี่ยเหยียนทอดถอนใจ คู่เนตรกระจ่างเจือความครั่นคร้ามระคนโหยหา “น่าเสียดาย หากไม่บรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋าก็อย่าหวังไปสู่ภูเขาผนึกเทพได้เลย”
“เทียบฟ้าดิน ยืนเคียงมหาเต๋า?”
เฉินซีพลันหวนนึกถึงวาทะที่เทพธิดาเคยกล่าวไว้
“ชีวิตนิรันดร์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร?”
“หมื่นทัณฑ์กระทบกาย ยืนยงไม่เสื่อมสลาย”
“สวรรค์ถล่มโลกหล้าทลาย ก็ยังดำรงตราบนิรันดร์”
“นั่นแหละจุดประสงค์แท้จริงที่ผู้บ่มเพาะทั้งหลายถวิลหา!”
สิ่งนี้หมายความว่า อสงไขยยืนยงไม่ได้เท่ากับยืนยงตราบนิรันดร์ เช่นทวยเทพในโลกหล้า พวกเขาต่างมีอายุขัยยาวนาน แต่ก็ยังเผชิญทัณฑ์ ถูกสังหารและตกตาย!
ขณะเดียวกัน ในสายตาผู้ฝึกตนระดับเทพธิดา ความหมายแท้จริงของ ‘ชีวิตนิรันดร์’ นั้นคือการยืนยงตราบนาน ไม่อาจลบล้างการมีอยู่ได้ไม่ว่าจะฆ่าฟัน เผชิญทัณฑ์หายนะเช่นไร!
ขณะนี้เมื่อได้ยินวาทะของเยี่ยเหยียน เฉินซีก็คิดในใจว่า หรือความลับการบรรลุเทพบนภูเขาผนึกเทพจะเป็น ‘ความหมายแท้จริงของชีวิตนิรันดร์’ ที่เทพธิดากล่าวถึง?
สักวันหากข้าเหยียบย่างสู่ขอบเขตมหาเทพเต๋าได้ ข้าก็จะขึ้นภูเขาผนึกเทพไปประจักษ์ว่าความลึกล้ำแห่งชีวิตนิรันดร์อยู่ที่นั่นจริงหรือไม่…. เพียงครู่ต่อมา เฉินซีก็สูดหายใจลึก ๆ ทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน หยุดปล่อยจิตล่องลอย ควบคุมเรือสมบัติเดินทางต่อไป
เยี่ยเหยียนก็ละสายตาจากภูเขาผนึกเทพเช่นกัน นางเรียบเรียงความคิดแล้วชี้ท้องนภาพร่างพราวไกลออกไป พลางเอ่ยว่า “ตรงหน้านั่นคือดาราจักรจื่อเฉิง ตั้งอยู่ในชายแดนของเอกภพจักรวรรดิ มีมหาอำนาจสูงสุดอยู่ที่นี่สามแห่ง คือเผ่าวิญญาณอวิ๋นหนี ตระกูลกู่หยา และตระกูลเชินถู”
นางเว้นช่วงเล็กน้อย จึงเอ่ยต่อ “แต่มีเพียงตระกูลเชินถูแห่งเดียวที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติอันข้ามดาราจักรทั้งแปดพันในเอกภพจักรวรรดิได้ น่าเสียดายที่ตระกูลเยี่ยของข้าไร้สัมพันธ์กับตระกูลเชินถู มิเช่นนั้น คงยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติจากตระกูลเชินถูได้….”
“เจ้ารู้จักเชินถูเยียนหรานหรือ?” เยี่ยเหยียนประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะประจักษ์เข้าใจแล้วตอบตัวเอง “จริงด้วย สตรีผู้นั้นมีความสามารถเลิศล้ำโดยกำเนิด ทั้งงามล้ำฉลาดเลิศ โด่งดังทั่วโลกหล้า มีผู้หมายปองชื่นชมนางในเอกภพจักรวรรดิมากมาย เจ้าจะเคยได้ยินชื่อนางก็เข้าใจได้”
เฉินซีแย้มยิ้ม “ข้ามิใช่แค่รู้จักนาง เราเป็นสหายกันด้วยซ้ำ”
หนนี้เยี่ยเหยียนผงะไป นางเหมือนไม่อาจคิดออกเลยว่าเฉินซีผู้กระทั่งเอกภพจักรวรรดิยังไม่เคยเยือนจะเป็นสหายกับอัจฉริยะจากตระกูลเชินถูแห่งเอกภพจักรวรรดิได้
จากนั้น นางก็แย้มยิ้ม “นี่เป็นโอกาสสำหรับเราจริงแท้ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าทั้งสอง เราก็ลองขอยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของตระกูลเชินถูได้”
เฉินซีพยักหน้า “นั่นแหละสิ่งที่ข้าคิดอยู่”
พวกเขาสิ้นลังเลทันใด ด้วยการนำทางของเยี่ยเหยียน เรือสมบัติก็มาถึงหนึ่งดวงดาวนามโรจน์นภาในดาราจักรจื่อเฉิงอย่างรวดเร็วในไม่กี่ชั่วยาม
ดาวโรจน์นภาคือที่ตั้งของตระกูลเชินถู หนึ่งในมหาอำนาจสูงสุดของเอกภพจักรพรรดิ เลื่องชื่อลือนามทั่วดาราจักรจื่อเฉิง
“แล้ว… พวกเจ้าสัมพันธ์กันเช่นไร?” เยี่ยเหยียนเงียบมาตลอดทาง และยามนี้ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ นางกังวลว่าหากเฉินซีมีสัมพันธ์กับเชินถูเยียนหรานเพียงผิวเผิน แต่จู่ ๆ ก็มาหานาง หากเฉินซีถูกปฏิเสธขึ้นมาจะเป็นเรื่องน่าอายอย่างแท้จริง
“ก็ดีแหละ เราเคยสัญจรในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ด้วยกัน” เฉินซียังเฉยชา แม้จะไม่ได้พบหน้าหลายปี แต่เขาก็ตระหนักดีว่าในเมื่อเขามาขอความช่วยเหลือก่อน ด้วยนิสัยของเชินถูเยียนหราน นางจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เยี่ยเหยียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “แต่อย่าตั้งความหวังสูงเกินไปจะดีที่สุด เชินถูเยียนหรานไม่ใช่ผู้นำตระกูลเชินถู อำนาจของนางมีจำกัด หากนางทำไม่ได้ ก็อย่าถือโทษโกรธนางเลย”
เฉินซีนิ่งไป ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าเตือนได้ถูกแล้ว”
ว่าแล้ว เขาพลันตระหนักถึงบางสิ่ง และเอ่ยปากถาม “เจ้าจะไม่มากับข้าหรือ?”
เยี่ยเหยียนไหวไหล่ ใบหน้ากระจ่างงามล้ำเผยสีหน้าจนใจ “หากข้าทำ มันไม่เท่ากับเผยร่องรอยของเราหรือ? ข้ามิใช่เพียงทรชนจากนิกายอำนาจเทวะ กระทั่งตระกูลเยี่ยยังไม่เอาข้าไว้….”
ขณะกล่าวเช่นนี้ เสียงของนางก็เจือความหดหู่หมองเศร้าอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องห่วง ที่อื่นอาจไม่มีที่ให้เจ้ายืน แต่เขาเทพพยากรณ์มีแน่” เฉินซีตบบ่าปลอบใจนาง
หัวใจของเยี่ยเหยียนอุ่นวาบ จ้องมองเฉินซีด้วยคู่เนตรกระจ่างอยู่เนิ่นนาน แต่สุดท้ายก็ไร้วาจา
…
ภูเขาทัศน์ทะเล
มันกินพื้นที่แสนลี้ เป็นแดนสวรรค์สูงสุดในดาวโรจน์นภา ทว่าในภูเขานั้นมีหนึ่งมหานครตั้งอยู่ มีนามว่าเมืองทัศน์ทะเล
หนึ่งชั่วก้านธูปมอดต่อมา เฉินซีก็มาถึงที่นี่โดยลำพัง ขณะนี้เขาสวมชุดเทา รูปลักษณ์ท่าทีดาษดื่น ดูแตกต่างจากเดิมเป็นคนละคน
จะให้ทำเช่นไร แม้เขาจะเลี่ยงการไล่ล่าของตระกูลเยี่ย ตระกูลเส้าเฮ่า และนิกายอำนาจเทวะมาได้ เพื่อความปลอดภัยของเขา เขาก็ไม่สามารถเผยตัวตนในขณะนี้ได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าในอดีต เขาก็เป็นผู้ฆ่าลั่วฉ่าวหนง กงเหย่เจ๋อฟู ตี้จวิน จินชิงหยาง เยวลู่ฮวา เป่ยเหวิน และคุนอู๋ชิงในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่ เทียบได้กับล่วงเกินมหาอำนาจทั้งหลายเบื้องหลังพวกเขา
ขณะเดียวกัน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเชินถูเยียนหราน ตระกูลเชินถูทั้งตระกูลต้องรู้จักเขาแน่ ดังนั้นเฉินซีจึงไม่บุ่มบ่ามเผยตัวตนแท้จริงของเขาแก่ผู้ใด
เมืองทัศน์ทะเลตั้งอยู่ในภูเขา ใหญ่ตระการงามสง่า เพียงกำแพงเมืองก็สร้างจากเทวโลหะหิมะทองอันหายาก เรืองรัศมีเงินบริสุทธิ์ ให้บรรยากาศสูงส่งเกินเคลื่อนขยับ
เฉินซีสังเกตเห็นทันทีว่ากำแพงทั้งหมดต่างปกคลุมด้วยข้อจำกัดนานา เชื่อมโยงฟ้าดินก่อปรากฏการณ์กลมกลืนสมบูรณ์แบบ ทำให้ชะตากรรมเต๋าสวรรค์มารวมตัวกันที่นี่ ดูอัศจรรย์ล้ำเลิศสุดขั้ว
เพียงสิ่งนี้ลำพังก็เพียงพอให้ประจักษ์ว่าตระกูลเชินถูลึกล้ำยิ่งใหญ่เพียงไร
“โปรดแจ้งแม่นางเชินถูเยียนหรานด้วยว่าสหายเก่าผู้หนึ่งมาเยือน นี่คือป้ายยืนยันตัวตนของข้า” เมื่ออยู่หน้าเมืองทัศน์ทะเล เฉินซีก็ส่งป้ายหยกชิ้นเล็กอันประณีตแก่ผู้ยืนยามหน้าทางประตูเมือง
เฉินซีรอพลางคิดพลางอย่างอดไม่ได้ว่า หากหนนี้ข้าได้พึ่งอาศัยค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของตระกูลเชินถู ก็คงไปถึงเอกภพอนันตะได้ในหนึ่งวัน และไม่ต่างจากการกลับสู่เขาเทพพยากรณ์เลย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีก็อดรู้สึกลุ้นรอไม่ได้ หลังผ่านไปแสนนาน ศิษย์พี่ชายหญิงของข้ายังอยู่ดีหรือไม่?
“ถอยไป!” ขณะที่ความคิดของเฉินซีกำลังล่องลอยเร็วจี๋ หนึ่งอำนาจร้ายกาจก็ระเบิดใส่เขาจากเบื้องหลัง อำนาจนี้พลุ่งพล่านเช่นมหาสมุทร พวยพุ่งดุจมังกร มันเริ่มปรากฏข้างกายเฉินซีอย่างไร้เสียง ก่อนจะปะทุขึ้นกะทันหัน การควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้กล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“ฮึ!” เฉินซีหรี่ตาลง สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน หนึ่งเสี้ยวปราณคมกริบเช่นกระบี่พุ่งออกจากร่าง เฉือนอำนาจที่พุ่งโจมตีจากเบื้องหลังสะบั้นออก
พริบตาต่อมา เขาก็เห็นว่าผู้โจมตีเป็นผู้ใด ซึ่งก็คือชายร่างกำยำผู้หนึ่งซึ่งเพิ่งเคลื่อนกายเข้ามาจากไกล ๆ
รถม้าสำริดคันมหึมาอันดูป่าเถื่อนคันหนึ่งไล่หลังชายร่างกำยำมา ทะลวงเวหาแผลงฤทธารุนแรง
“เจ้าหนุ่ม รีบหลบไป!” เมื่อสังเกตพบว่าเฉินซีสลายการโจมตีของเขาได้ ชายร่างกำยำก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่เจตนาของเขาไม่ใช่การฆ่าเฉินซีมาแต่แรก แค่จะผลักเฉินซีไปห่าง ๆ เพื่อเปิดทางให้รถม้าสำริดเบื้องหลังเท่านั้น
เฉินซีขมวดคิ้ว ม่านตาเรืองประกายเย็นเฉียบ เขาสังเกตพบว่าชายร่างกำยำเป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล อำนาจลึกล้ำเช่นหุบเหว ฝึกฝนวิชาบางอย่าง ดังนั้นยามเฉินซีมองไปยังชายร่างกำยำจากไกล ๆ ก็เหมือนเห็นภูเขาไฟคุกรุ่นพร้อมระเบิดทุกเมื่อ
เฉินซีไม่รู้ว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงไร แต่การที่คนผู้นี้เป็นเพียงผู้เบิกทางให้กับรถม้าสำริดเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เฉินซีตัดสินได้ว่าตัวตนของบุคคลในรถม้าสำริดต้องสูงส่งอย่างยิ่ง หาไม่ คงไม่มีทางสั่งการให้ชายร่างกำยำผู้นี้เบิกทางให้ได้