บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1809 ทูตจากสำนักศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1809 ทูตจากสำนักศักดิ์สิทธิ์
ขณะที่เฉินซีเหมือนกำลังจะเกิดความขัดแย้งกับชายร่างกำยำ ผู้บ่มเพาะกลุ่มหนึ่งพลันกรูออกมาจากในเมืองทัศน์ทะเลและดึงตัวเฉินซีหลบไปด้านข้าง
“สหายเต๋าโปรดอภัยด้วย นั่นคือศิษย์ผนึกฤทธิ์อันดับสามจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ กงซุนมู่ เจ้าไม่ควรล่วงเกินเขา” หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงเบา เป็นทั้งคำบอกเล่าและคำเตือน
สำนักศักดิ์สิทธิ์? เฉินซีหรี่ตาลง เขาไม่ได้แผลงเดช ปล่อยให้ชายร่างกำยำเบิกทางให้รถม้าสำริดอันมหึมาและดูดุร้ายนั้นผ่านไป
“บำเหน็จ!” ยามรถม้าสำริดผ่านทางเข้าไปได้ หนึ่งเสียงเฉยเมยก็ดังออกมาจากภายในอย่างแผ่วเบา
“ขอรับ” ชายวัยกลางคนร่างกำยำพยักหน้าอย่างนอบน้อม นำกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งโยนให้ผู้นำกลุ่มทหารยาม
“ขอบคุณคุณชาย” ผู้นำกลุ่มทหารยามกุมกำปั้นด้วยท่าทีไม่โอนอ่อนแต่ก็ไม่ถือตัว
หลังส่งรถม้าจากไปด้วยสายตา ในที่สุดเฉินซีก็ปริปาก “ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้อวดอำนาจเสียจริง”
“สหายเต๋าคงไม่ทราบ ว่าที่มาของกงซุนมู่ไม่ธรรมดาเลย ตัวเขาเป็นประมุขน้อยของตระกูลกงซุน อีกทั้งความสามารถโดยกำเนิดยังเลิศล้ำไร้เทียมทาน เขาบ่มเพาะมากว่าแปดพันสี่ร้อยปี จนเป็นที่เลื่องลือในโลกหล้า อยู่ในอันดับสิบหกของเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล”
“เพราะความไม่ธรรมดาของเขา หนึ่งผู้ทรงอำนาจของสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงเลื่อนตำแหน่งเขาเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์เป็นกรณีพิเศษเมื่อหลายร้อยปีก่อน หากไร้เหตุผิดพลาด ทันทีที่เขาบรรลุสู่ขอบเขตจักรวรรดิ เขาก็จะได้เป็นผู้อาวุโสสั่งสอนศิษย์คนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจยิ่งใหญ่ สถานะสูงส่งทันที”
ผู้นำกลุ่มทหารยามทอดถอนใจ เขาสังเกตเห็นแล้วว่าเฉินซีมีฝีมือ เพราะบริวารของกงซุนมู่ผู้เบิกทางให้รถม้าเมื่อครู่คือ ‘บริวารศักดิ์สิทธิ์’ อันลือนามของสำนักศักดิ์สิทธิ์ สังหารเฉียบขาด มีอำนาจต่อสู้ร้ายกาจเกินธรรมดา
แต่เฉินซีกลับสามารถสลายการโจมตีของบริวารศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งลงได้ ทำให้ผู้นำทหารยามเข้าใจว่าเฉินซีไม่ใช่คนธรรมดา
“โอ้? เช่นนี้นี่เอง” เฉินซีเหมือนคิดบางอย่างได้ เขาได้ยินมาว่าในฐานะหนึ่งในห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ สำนักศักดิ์สิทธิ์มีการแบ่งสถานะอย่างเข้มงวดและชัดเจนยิ่ง
ศิษย์ในสำนักแบ่งคร่าว ๆ ได้เป็นศิษย์คุมกฎ ศิษย์ผดุงธรรม และศิษย์ผนึกฤทธิ์
ศิษย์คุมกฎคือพื้นฐานของสำนักศักดิ์สิทธิ์ มีจำนวนมากที่สุด
ศิษย์ผดุงธรรมคือศิษย์ชั้นสูงสำนักศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นยอดยุทธ์ผู้ผ่านการขัดเกลา คัดสรรอย่างละเมียดละไม
ขณะเดียวกัน ศิษย์ผนึกฤทธิ์สื่อถึงจุดสูงสุดในหมู่ศิษย์ พวกเขามีจำนวนน้อยนัก ทว่าแต่ละคนล้วนโดดเด่นเหนือใดในยุคสมัย ความแข็งแกร่งร้ายกาจเสียจนแทบมีนามในห้าสิบอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลกันถ้วนหน้า กล่าวได้ว่าเป็นมังกรในหมู่คน เลิศล้ำไร้เทียมทาน
เพราะถึงอย่างไร ร้อยอันดับแรกในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลส่วนใหญ่ล้วนถูกยึดครองโดยเหล่าผู้เฒ่าซึ่งบ่มเพาะมาแสนนาน และเมื่อศิษย์ผนึกฤทธิ์แห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์มามีชื่อในหมู่ผู้เฒ่าเหล่านี้ได้ ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าความสามารถโดยกำเนิดและอำนาจต่อสู้ของพวกเขาเกินธรรมดาเพียงไร
ส่วนบริวารศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นกองกำลังคล้ายทหารยามที่สำนักศักดิ์สิทธิ์ฟูมฟักให้รับใช้ศิษย์ผนึกฤทธิ์และผู้อาวุโสสั่งสอนศิษย์เป็นการเฉพาะ พวกเขาล้วนสุดภักดี ความสามารถล่าสังหารเด่นล้ำ
นี่คือองค์ประกอบโดยคร่าวของกำลังในสำนักศักดิ์สิทธิ์ การแบ่งสถานะอันเข้มงวดสุดขีดนี้ใช้ความแข็งแกร่งเป็นตัวตัดสิน
เฉินซีเคยได้ยินถึงสำนักศักดิ์สิทธิ์เพียงผิวเผินในอดีต มิคาดเลยว่าเขาจะได้พบศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ทันทีที่มาถึงเอกภพจักรวรรดิ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นกระทั่งศิษย์ผนึกฤทธิ์ซึ่งมีสถานะอำนาจเลิศล้ำ
ชั่วขณะนั้น เขาอดสงสัยไม่ได้ว่ากงซุนมู่ผู้นี้มายังตระกูลเชินถูเพราะเหตุใด?
เฉินซีไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามหาอำนาจสูงสุดแห่งเอกภพจักรวรรดิอย่างตระกูลเชินถูมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสำนักศักดิ์สิทธิ์
“เช่นนั้น ขอถามสหายเต๋าได้หรือไม่ ว่าเหตุใดศิษย์ผนึกฤทธิ์ลำดับสามแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงมาที่นี่?” เฉินซีหยั่งเชิง
“นี่… มิใช่สิ่งที่ข้าจะแพร่งพรายได้” ผู้นำทหารยามกล่าวคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าเขายังตัดสินที่มาของเฉินซีไม่ได้ และไม่คิดยอมแพร่งพรายสัจธรรม
เฉินซีหยุดเค้นคำตอบทันทีที่เห็นเช่นนี้
“คุณหนูใหญ่มาแล้ว!”
ทันใดนั้น เสียงเอะอะก็ดังเอ็ดอึง สีหน้าของเหล่าทหารยามหน้าประตูเมืองทัศน์ทะเลเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ต่างผู้ล้วนโค้งคำนับ
หลังจากนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นร่างสง่างามผู้หนึ่งวูบไหวมาจากในตัวเมือง นางสวมชุดกระโปรงฟ้าอ่อน เรือนผมยาวขมวดเป็นมวย ใบหน้างดงาม ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำ ทั่วร่างให้บรรยากาศแห่งอำนาจและความมีชีวิตชีวา
ปรากฏว่านางก็คือเชินถูเยียนหราน
“เฉิน… เอ๋?” เดิมทีเชินถูเยียนหรานดูตื่นเต้นเล็กน้อย คู่เนตรกระจ่างเรืองประกาย แต่เมื่อเห็นผู้ยืนอยู่นอกประตูเมือง นางก็อดผงะไปเล็กน้อยไม่ได้ คนผู้นี้มีหน้าตาท่าทางสุดดาษดื่น แตกต่างจากคนผู้นั้นที่นางรู้จักราวหน้ามือกับหลังมือ เกิดอะไรขึ้นกัน?
“แม่นางเยียนหราน ไม่ได้พบกันนานเลย” เฉินซีแย้มยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้จะแปลงลักษณ์ แต่เสียงของเขายังเหมือนเก่า ดังนั้น ทันทีที่เขาปริปาก เชินถูเยียนหรานจึงเข้าใจทันที
“มิคาดเลยว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายมาหาข้าก่อน ประหลาดใจยิ่งนัก มา เข้ามา! เราเข้าไปเสวนากันหน่อย” คู่เนตรสดใสของเชินถูเยียนหรานเจือความปรีดาจาดใจ ก้าวเข้ามาดึงแขนเฉินซีเข้าไปในเมืองอย่างไม่สนใจสิ่งใด
เฉินซีปล่อยให้นางทำเช่นนั้นโดยไร้ความอิดออด
ทว่ายามเหตุการณ์นี้ปรากฏแก่สายตาเหล่าทหารยามหน้าประตูเมือง พวกเขาต่างตะลึงจนดวงตาเจียนเด้งจากเบ้า ในอดีต คุณหนูใหญ่ของพวกเขาถือตัวห่างเหินเสมอ ทำให้ยอดยุทธ์หนุ่มมากมายผู้มาด้วยใจถวิลหาต้องคอตกกลับบ้าน แต่ยามนี้ นางกลับปฏิบัติต่อชายผู้หนึ่งอย่างใกล้ชิดสนิทสนม!
เจ้านั่นคือใครกัน?
หน้าตาท่าทีสุดดาษดื่น แล้วเขาไปได้รับความโปรดปรานเช่นนี้จากคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร?
ทหารยามทั้งหลายเบิกตากว้าง ยังคงไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เห็นจนบัดนี้
…
ตระกูลเชินถูตั้งอยู่ในเมืองทัศน์ทะเล เมื่อสัญจรทัศนา เฉินซีก็สังเกตว่าทั่วทิศเต็มไปด้วยอาคารโบราณสูงตระหง่าน ยิ่งใหญ่เจิดจรัส ไม่มีทางพบทิวทัศน์เช่นนี้ได้หากไม่ผ่านกาลเวลาแสนนาน
“เจ้าทำให้ข้าตกใจจริง ๆ นะ” ระหว่างทาง เชินถูเยียนหรานแย้มยิ้ม คู่เนตรงามพริบพราวพินิจเฉินซีหัวจรดเท้า ดูอยากเห็นเหลือเกินว่าหลายปีมานี้ เขาเปลี่ยนไปเช่นไรบ้าง
น่าเสียดายที่เฉินซีแปลงลักษณ์ นางจึงไม่อาจรับรู้ความเปลี่ยนแปลงใด
แต่การที่เฉินซีมาหานางก็ทำให้เชินถูเยียนหรานสุดปรีดาแล้ว
“บอกตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามายังเอกภพจักรวรรดิ และครั้งนี้ที่มาหาเจ้าก็เพราะมีเรื่องอยากให้ช่วย” เฉินซีลังเลครู่หนึ่ง จึงกล่าวไปตามตรง
เฉินซีเริ่มยิ้มเจื่อนทันที แม้จะรู้ว่านางหยอกเล่น แต่เขาก็ยังรู้สึกละอายเล็กน้อย เพราะน้อยนักที่เขาจะเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากผู้ใดก่อน
“ฮ่า! อย่าถือสาจริงจังเลย ข้าล้อเล่นน่ะ” เมื่อเห็นเค้าความละอายบนใบหน้าเฉินซี เชินถูเยียนหรานก็อดขำไม่ได้ พริบตานั้นดุจมวลบุปผาคลี่บาน ทำให้นางดูสุดแสนเจิดจรัสสะกดใจ
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าสตรีผู้นี้มีรูปลักษณ์และเสน่ห์เกินใดต้าน ไม่ว่าจะเผยอารมณ์เช่นไร ก็ยังมีความงามเฉพาะตัว
“จริงสิ เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ?” เชินถูเยียนหรานถามขึ้น
เฉินซีกล่าวอย่างไม่ปิดบัง “ข้ามาที่นี่เพราะอยากยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติของตระกูลเชินถูของเจ้าน่ะ”
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ? นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เดี๋ยวข้าไปขอบิดาข้าจัดการให้” เชินถูเยียนหรานตอบตกลงโดยไม่คิดมาก
เฉินซีแย้มยิ้ม “ขอบคุณมาก”
หลังได้ยินคำอธิบายของเยี่ยเหยียน เขาก็ตระหนักชัดว่าขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้มีเพียงความสามารถเคลื่อนย้ายมิติ แต่เวลาจะใช้มันแต่ละครั้งล้วนใช้ทรัพยากรมหาศาล แม้แต่มหาอำนาจสูงสุดอย่างตระกูลเชินถูยังไม่ใช้มันง่าย ๆ หากมิใช่เหตุเร่งด่วน
ทว่าเชินถูเยียนหรานกลับตอบตกลงง่าย ๆ ทำให้เฉินซีรู้สึกซาบซึ้งอยู่ไม่น้อย เขารู้ว่าแม้ไม่ได้พบกันหลายปี เชินถูเยียนหรานก็ยังไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อเขา
“โอ้? บังเอิญแท้ ข้ากำลังจะไปพบท่านพ่ออยู่เชียว” เชินถูเยียนหรานนิ่งไป ก่อนจะคลี่ยิ้ม
“แต่คุณหนู….” ชายวัยกลางคนชุดดำดูลังเลเหมือนมีบางสิ่งจะพูด
“อาเหวิน เจ้าจะพูดอะไรกันแน่?” เชินถูเยียนหรานขมวดคิ้ว
“คุณหนู ข้าได้ยินว่า… ทูตจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็มายังตระกูลเชินถูของเราแล้วเช่นกันขอรับ” ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าวเสียงเบา เป็นวาทะคลุมเครืออยู่ไม่น้อย
ทว่าเชินถูเยียนหรานเข้าใจความนัยทันที คู่เนตรเรืองกระจ่างของนางเครียดขึง บรรยากาศเย็นเฉียบขึ้นทันควัน กล่าวขึ้นอย่างดูฉุนเฉียวว่า “ข้าบอกไปแล้วกี่หนกัน? ข้าไม่มีทางเข้าร่วมกับสำนักศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาด เหตุใดท่านพ่อจึงยังต้อนรับพวกเขามาที่นี่?”
เฉินซีประจักษ์แจ้งทันใด ศิษย์ผนึกฤทธิ์ลำดับสามแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ กงซุนมู่คงไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้กระมัง?
“คุณหนู ข้าได้ยินว่าเป็นนายน้อยซิงที่กระทำการโดยพลการ และผู้นำตระกูลกับผู้อาวุโสทั้งหลายก็สนใจเรื่องนี้กันเล็กน้อย จะดีที่สุดหากท่านไป… พบพวกเขา ไม่ให้เป็นการเสียมารยาทขอรับ” ชายวัยกลางคนชุดดำกล่าว
“เชินถูซิง! เจ้านี่อีกแล้ว!” เชินถูเยียนหรานพูดอย่างเคืองแค้น “เขาน่ะอยากส่งข้าไปที่อื่นเสียเหลือเกิน จะได้ฉวยโอกาสชิงตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดตระกูล!”
ชายวัยกลางคนชุดดำเม้มปากเงียบเสียง ไม่กล้าพูดเรื่องเช่นนี้
เชินถูเยียนหรานสูดหายใจลึกๆ คืนความเยือกเย็นเอ่ยปาก “หมายความว่า ทูตจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นอยู่ในโถงตระกูลแล้วสินะ?”
“เปล่าขอรับ นายน้อยซิงจัดที่อยู่ให้พวกเขาในโถงรับแขก บางทีพวกเขาจะมาพบผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการจากนี้ในไม่ช้า” ชายวัยกลางคนชุดดำรีบตอบ “คุณหนู หากท่านไม่เต็มใจเข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็ฉวยโอกาสนี้แถลงจำนงให้ชัดเจนต่อผู้นำตระกูลเถอะขอรับ หากท่านได้รับการเห็นชอบจากผู้นำตระกูล เหตุนี้ก็อาจคลี่คลายได้เช่นนั้น”
เชินถูเยียนหรานพยักหน้า “เจ้าล่วงหน้าไปก่อน ข้าจะตามไปทีหลัง”
“ขอรับ” ชายวัยกลางคนชุดดำกุมกำปั้นรับบัญชาและจากไป
………………..