บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1813 อยู่ดีไม่ว่าดี
บทที่ 1813 อยู่ดีไม่ว่าดี
พร้อมกันนั้น ชายผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในห้อง รายล้อมด้วยกลุ่มคน ดูประหนึ่งจันทราฉายท่ามกลางวงล้อมดารา
กลุ่มคนนั้นมีทั้งชายหญิง ต่างคนล้วนเรืองฤทธิ์มากรัศมี มีการบ่มเพาะสูงส่ง โดดเด่นในหมู่สหายร่วมขอบเขต
ทว่าผู้โดดเด่นกว่าใครย่อมเป็นชายผู้นั้น คนที่สวมชุดดำซึ่งตัดออกมาอย่างพอดีตัว ผิวพรรณขาวเนียนเช่นหยกเรืองรองเจิดจรัส ยิ่งกว่านั้น ทั่วกายยังเรืองรัศมีศักดิ์สิทธิ์ ดูยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด
เส้นผมยาวสีม่วงไสวไปเบื้องหลัง เผยใบหน้าคมเข้มหล่อเหลาไร้คู่เปรียบ
เขาโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง บรรยากาศสุขุมสำรวม ทุกการกระทำดูประหนึ่งราชนิกุล ให้ความรู้สึกสงบ สูงส่งเหนือปวงชน
เมื่อมองจากไกล ๆ เขาก็เหมือนเกิดมาเป็นเทพ มีความสง่างามเกินใดเปรียบปาน
“เหินห่างโดดเด่น สมแล้วที่เป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์!”
“ดุจราชันในหมู่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เหนือชั้นเกินผู้ใดรอบข้าง”
ใครบางคนเอ่ยชม บรรยากาศยิ่งใหญ่เช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ราวราชันประพาสแดนดินแทนเต๋าสวรรค์ ตัวตนเช่นนี้ย่อมมีอนาคตไร้ขอบเขต หากไร้สิ่งใดเกินคาดฝัน เขาก็จะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้แน่นอน!
“คนผู้นี้หรือกงซุนมู่?” เฉินซีส่งกระแสปราณถาม ขณะที่ตนนั้นดูเหมือนจมในภวังค์ความคิด ปราดเดียวก็เห็นได้ว่าการบ่มเพาะของคนผู้นี้บรรลุขั้นสมบูรณ์ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว ดูประหนึ่งราชันในหมู่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
กล่าวคือ ยามคนผู้นี้พัฒนาสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เขาต้องได้แปรสภาพดูดซับรากเต๋าบรรพชนขั้นราชาระดับแปดมาแน่ ๆ! เพียงศักยภาพที่เขามีก็เหนือชั้นเกินบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลส่วนใหญ่แล้ว
ทว่ายามนี้ เขาเหยียบย่างสู่จุดสูงสุดแห่งขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เผยศักยภาพบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นราชา ฤทธาจึงยิ่งลึกล้ำเกินหยั่งคะเน
“มิผิด สำนักศักดิ์สิทธิ์มีศิษย์ผนึกฤทธิ์สิบแปดคน และกงซุนมู่ก็อยู่ในอันดับสาม ความแข็งแกร่งย่อมร้ายกาจ จากข่าวลือ เขาอยู่ในลำดับยี่สิบสี่ในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล ความสำเร็จเช่นนี้บอกได้ว่าไม่ธรรมดา” เชินถูเยียนหรานส่งกระแสปราณตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงอันปนเปด้วยอารมณ์หลากหลาย กระทั่งนางยังต้องยอมรับว่ากงซุนมู่แข็งแกร่งมาก และไม่ใช่แข็งแกร่งธรรมดา เพราะกระทั่งผู้เฒ่าหลายคนในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลยังถูกเขากลบรัศมีเสียมิด
“อันดับยี่สิบสี่? ไม่เลวจริง ๆ” แม้เฉินซีจะพูดเช่นนี้ สายตาของเขาก็เบนไปทางชายซึ่งตามติดข้าง ๆ กงซุนมู่ “คนผู้นั้นคือทาปาชวน ทายาทเผ่าเทพชิงโห่วหรือ?”
คนผู้นั้นสวมชุดเทา รูปลักษณ์ดาษดื่น ท่าทีเฉยชา ดูประหนึ่งก้อนหินบนหน้าผา ให้บรรยากาศมั่นคงหนักแน่น ไม่สั่นคลอนแม้ต้องพายุทั่วสารทิศ
เทียบกับกงซุนมู่ อำนาจของเขาดูหมองกว่ากันมาก แต่เห็นได้ชัดว่าเขาก็เป็นตัวตนสูงสุดในหมู่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเช่นกัน
เสียงของเขาเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ไม่เร็วไม่ช้า กังวานเช่นเสียงระฆัง สะท้านสะเทือนถึงหัวใจ
“สมเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ลำดับสามจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ ทุกการเคลื่อนไหวเจือเต๋าศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งเสียงยังไม่ต่างจากสำเนียงเต๋าในธรรมชาติ” ในโถงหลัก ดวงตาของสตรีบางคนเรืองประกาย
“สหายเต๋าชมเกินไปแล้ว” เชินถูเยียนหรานยกยิ้มสง่างาม วางตัวไม่โอนอ่อนแต่ก็ไม่ถือตัว “เชิญนั่ง”
กงซุนมู่แย้มยิ้ม แล้วนำเหล่าผู้ติดตามไปประจำที่นั่ง
หลังเข้ามาในโถงตระกูลเชินถู เขาก็ยังรักษาความสำรวมจนท้ายที่สุด ราวเดินเล่นในสวนหลังบ้านตนเอง นอกจากนั้น การแสดงออกอันผ่าเผยสง่างามก็เป็นที่สนใจจากทั่วทิศ ทำให้คนทั้งหลายประเมินเขาสูง
แม้จะนั่งที่ของตนแล้ว เขาก็ยังดูแสนโดดเด่น
ขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ซึ่งมาด้วยกันก็หาใช่ธรรมดา พวกเขายืนเคียงกันอย่างเปี่ยมสง่า ต่างฝ่ายเรืองฤทธิ์รัศมี ทำให้พวกเขายิ่งประชันขับเน้นกันให้ดูเฉิดฉาย
พวกเขาคือศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ ต่างมีความทะนงในศักดิ์ศรีเป็นของตน
เทียบกันแล้ว บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจากตระกูลเชินถูในโถงดูหม่นรัศมีกว่ามากนัก
เฉินซีอดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ในฐานะหนึ่งในกองกำลังสูงสุดของเอกภพจักรวรรดิ ทรัพยากรและฝีมือของตระกูลเชินถูลึกล้ำสุดขั้ว แต่เมื่อใช้ทายาทขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมาประชัน ก็ได้แค่พอผ่านอย่างแท้จริง
……
ทันทีที่ได้นั่ง กงซุนมู่ก็เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสทั้งหลายน่าจะทราบจุดประสงค์การมาของข้าแล้ว ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสทุกท่านตัดสินใจแล้วหรือยัง?”
สิ้นคำ บรรยากาศในโถงพลันเงียบกริบ ทุกคนหันมองเชินถูชิงหยวนผู้นั่งตำแหน่งเจ้าภาพ
“เรื่องนี้ซับซ้อนและสำคัญ ยากนักที่ข้าจะตัดสิน” เชินถูชิงหยวนพลันรำพึง ดูราวนี่เป็นตัวเลือกอันยากเย็นยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามตรง ๆ
กงซุนมู่เผชิญเหตุนี้ก็ทำเพียงยกยิ้ม “ดูเหมือนผู้อาวุโสจะเป็นกังวลเรื่องความบริสุทธิ์ใจของเราสำนักศักดิ์สิทธิ์ กล่าวตามตรง นับแต่ข้ามาที่นี่ในฐานะตัวแทนสำนักศักดิ์สิทธิ์ ข้าย่อมสามารถรับปากบางอย่างได้ ขอเพียงเงื่อนไขของผู้อาวุโสไม่ได้สูงเกินไป ข้าก็สามารถตอบตกลงแทนสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้ทันที!”
วาทะเหล่านี้สุดแสนใจกล้ามาดมั่น ทำให้ดวงตาหลายคู่ในโถงเรืองขึ้น
“ฮ่า ๆ ๆ! ในเมื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์แสดงความจริงใจเพียงนี้ เราย่อมไม่ขัดให้ผิดหวัง” ก่อนที่เชินถูชิงหยวนจะทันได้อ้าปาก เชินถูหมิงต้าก็ระเบิดหัวเราะออกมาก่อน
“พี่ใหญ่ อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า” เชินถูเป้าขมวดคิ้ว ตำหนิการกระทำหุนหันของเชินถูหมิงต้าเล็กน้อย
“พอแล้ว เราค่อย ๆ เจรจากันได้ ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก แขกเหรื่อจะขบขันเสียเปล่า” เชินถูชิงหยวนโบกมือ
“ฮ่า ๆ! ดูเหมือนผู้อาวุโสทั้งหลายจะเห็นไม่ตรงกัน แต่ข้าหารีบร้อนไม่” กงซุนมู่ยิ้มเฉยชา เปลี่ยนประเด็นกล่าวว่า “หนึ่งในข้อตกลงของเราสำนักศักดิ์สิทธิ์ ข้ารับปากได้เดี๋ยวนี้เลยว่า ขอเพียงแม่นางเยียนหรานเข้าร่วมกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ นางจะได้เป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ทันที!”
วาทะกังวาน ทุกผู้ในโถงต่างตะลึง
ศิษย์ผนึกฤทธิ์!
นั่นคือกำลังหลักของสำนักศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจและสถานะสูงส่งยิ่งใหญ่เกินคะนึง! จนบัดนี้ สำนักศักดิ์สิทธิ์มีศิษย์ผนึกฤทธิ์เพียงสิบแปดคน และทุกคนต่างเป็นยอดยุทธ์เลิศล้ำซึ่งเป็นที่ชื่นชมของบุคคลสำคัญในสำนักศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง
กระทั่งทั่วแดนเทพโบราณ ศิษย์ผนึกฤทธิ์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์สักคนล้วนเป็นที่ยกย่องทุกแห่งหนที่สัญจร ไร้ผู้ใดกล้าล่วงเกินหยามหมิ่น!
ทว่าขณะนี้ วาจาไม่กี่คำของกงซุนมู่กลับให้สัญญาว่าจะมอบตำแหน่งศิษย์ผนึกฤทธิ์แก่เชินถูเยียนหราน สิทธิพิเศษเลิศล้ำเช่นนี้ชวนตกใจอย่างยิ่ง
นี่หมายความเช่นไร?
มันหมายความว่า ขอเพียงเชินถูเยียนหรานพยักหน้า นางก็จะเหินสูงทะยานสถานะ กลายเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ลำดับสิบเก้าของสำนักศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจเกินคณานับทันที!
กระทั่งจักรพรรดิในตระกูลเชินถูทั้งหลายยังทอดถอนใจ สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ใจของสำนักศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน
กระทั่งเชินถูชิงหยวนยังดูประหลาดใจเล็กน้อย มิคาดว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์จะแสดง ‘ความบริสุทธิ์ใจ’ ยิ่งใหญ่เช่นนี้
ชั่วขณะนั้น นางลังเลเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ! เยียนหราน เหตุใดยังไม่รีบขอบคุณน้ำใจคุณชายกงซุนอีกเล่า? นี่เป็นโอกาสหายากยิ่งเชียวนะ คนอื่น ๆ ต่อให้แลกชีวิต ก็อาจไม่ได้มาด้วยซ้ำ!” เชินถูหมิงต้าระเบิดหัวเราะอีกครั้ง น้ำเสียงสุดแสนให้กำลังใจ
“นั่นสิ เยียนหราน หากเจ้าได้เป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ในสำนักศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลเชินถูของเราก็จะรุ่งเรืองไปด้วย เราทั้งหลายจะภูมิใจในตัวเจ้า เป็นเกียรติอันหายากยิ่งเลยนะ” แล้วชายหนุ่มข้างกายเชินถูหมิงต้าก็เอ่ยปาก ใบหน้าของคนผู้นี้ซูบผอม ดวงตาดุจเหยี่ยว รูปลักษณ์คล้ายเชินถูหมิงต้าอยู่เจ็ดส่วน ซึ่งก็คือบุตรของเชินถูหมิงต้า เชินถูซิง
ควรค่ากล่าวถึงว่า เชินถูซิงผู้นี้เองที่เชิญพวกกงซุนมู่เข้ามาในโถง
“ขออภัย เรื่องนี้สำคัญเกินไป ในขณะที่ทั้งฝีมือและความรู้ของข้าล้วนบกพร่อง จึงไม่อาจรับเกียรติเช่นนี้ได้ สหายเต๋ากงซุนโปรดอย่าถือสา” เกินคาด ยามเผชิญโอกาสหายากนี้ เชินถูเยียนหรานกลับมีสีหน้าสุขุม ปฏิเสธด้วยท่าทีสำรวม
จากสีหน้าของนาง ดูไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
เหตุนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงกันเล็กน้อย แทบไม่อยากเชื่อหูตน นี่คือโอกาสขึ้นเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ แต่นางกลับ… ปฏิเสธง่าย ๆ เช่นนี้?
ในหมู่คนทั้งหลายที่นี่ อาจจะมีเพียงเฉินซีที่ตระหนักชัดว่าเชินถูเยียนหรานตัดสินใจมานานแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขึ้นตำแหน่งเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ ต่อให้ข้อเสนอเย้ายวนกว่านี้ นางก็น่าจะยังปฏิเสธ
“เยียนหราน เกียรติเช่นนี้หนักหนายิ่งจริงแท้ เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะรู้สึกกดดัน แต่ปฏิเสธกันเช่นนี้ก็ดูจะเกินไปหน่อยนะ” เชินถูหมิงต้ากล่าวเสียงเบา ดูเหมือนกำลังตำหนินาง
“เยียนหราน โอกาสนี้เป็นสิ่งที่คุณชายกงซุนได้มาอย่างยากลำบาก ทำเช่นนี้ไม่ดีต่อผู้ใดเลยนะ” เชินถูซิงกล่าวอย่างไม่ชอบใจ
สมาชิกบางคนในตระกูลเชินถูก็รู้สึกเช่นกันว่าเชินถูเยียนหรานทำตัวไร้เหตุผล โอกาสงามอยู่ตรงหน้า กลับปฏิเสธมันไม่ไยดี มิใช่การกระทำไร้เหตุผลหรือ?
“ความกังวลของแม่นางเยียนหรานเป็นเรื่องธรรมดา เพราะถึงอย่างไร การเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์มิเพียงสื่อถึงเกียรติยศ ยังต้องแบกรับความรับผิดชอบเช่นกัน แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากเลย ขอเพียงเจ้า เยียนหรานตกลง เราก็สามารถช่วยผ่อนความรับผิดชอบ ลดแรงกดดันที่เจ้าเผชิญได้” เสียงของกงซุนมู่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด ไม่ช้าไม่เร็ว เหมือนไม่มีโทสะจากการปฏิเสธของอีกฝ่าย ท่าทีสงบนิ่งทำให้คนอื่น ๆ มากมายเปี่ยมความชื่นชม
สิ่งนี้ยิ่งทำให้คนอื่น ๆ ในโถงยิ่งสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ และหวังอย่างแท้จริงให้เชินถูเยียนหรานตอบตกลงเสียเดี๋ยวนี้
ตรงข้าม เชินถูเยียนหรานขมวดคิ้ว กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ขอบคุณในเจตนาดี สหายเต๋า ข้าตัดสินใจแล้ว โปรดอย่าพยายามเกลี้ยกล่อมข้าเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งเชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงล้วนหน้าเสีย ไม่ชอบใจในความดื้อรั้นของเชินถูเยียนหรานอย่างยิ่ง
มิเพียงเขา ตัวตนทรงอำนาจมากมายในตระกูลเชินถูก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
โครม!
ศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนคุมตนเองไม่อยู่ เขาทุบโต๊ะตรงหน้าแหลกเป็นเสี่ยง ก่อนจะกล่าวขึ้นเฉียบพลัน “อยู่ดีไม่ว่าดี! นี่เจ้าดูถูกเราสำนักศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือ!?”