บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1814 มิอาจทนได้อีกต่อไป
บทที่ 1814 มิอาจทนได้อีกต่อไป
โต๊ะแตกเป็นผุยผงและฟุ้งกระจายไปรอบ ๆ
บรรยากาศในห้องโถงเงียบก็เงียบกริบทันที มีเพียงเสียงที่เดือดดาลและเย็นชาของศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ยังคงดังก้องอยู่
ตระกูลเชินถูหลายคนขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย นี่คือโถงหลักของตระกูลเชินถู แต่ศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์คนนี้กล้าที่จะกระทำการอย่างจองหอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาคุ้นเคยกับการหยิ่งยโสเพียงใด
แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัด เมื่อพิจารณาถึงตัวตนของศิษย์คนนี้แล้ว คนของตระกูลเชินถูทำได้เพียงแต่อดกลั้นต่อการกระทำที่ไม่ไว้หน้ากัน
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีต้องทอดถอนใจด้วยอารมณ์ ชื่อเสียงคือทุกสิ่งจริง ๆ ชื่อของสำนักศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะมีพลังอำนาจที่ไม่ธรรมดา
ทว่าเมื่อเขาได้ยินคนคนนั้นบอกว่าเชินถูเยียนหราน ‘โง่เขลา’ มันทำให้เฉินซีขมวดคิ้ว ในขณะที่ดวงตาทอประกายเย็นชาอย่างแรง
ถึงแม้ตระกูลเชินถูจะกริ่งเกร่งต่อสำนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ใช่สำหรับเฉินซี!
“เหล่าสหายเต๋าแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ โปรดอย่าได้ขุ่นเคือง เยียนหรานมีนิสัยตรงไปตรงมาเสมอ ให้ข้าเกลี้ยกล่อมนางเถอะ” เชินถูซิงพยายามไกล่เกลี่ยอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มมาคุ
ขณะที่กล่าว สายตาก็จับจ้องไปที่เชินถูเยียนหราน และดูเหมือนจะโกรธต่อการกระทำของนาง “เยียนหราน หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว! รีบขอโทษต่อสหายเต๋าจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ซะ! ก่อนที่ทุกคนจะเดือดร้อน”
เฉินซีเกือบคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป จะมีใครช่วยคนนอกรังแกคนในตระกูลตัวเองเช่นนี้บ้าง?
คนผู้นี้ช่างต่ำช้าเสียจริง!
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเชินถูชิงหยวนซึ่งนั่งอยู่ที่ตำแหน่งของเจ้าบ้าน แต่กลับเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทางเฉยเมย และไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ จากเขาได้
เฉินซีอดรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีเช่นนี้ไม่ได้ เชินถูเยียนหรานเป็นบุตรสาวของเจ้า แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แท้จริงแล้วเจ้ากลับมองดูอย่างไม่แยแส มันไม่ไร้เยื่อใยไปหน่อยเหรอ?
“ฮ่าฮ่า! ช่างน่าหัวร่อเสียจริง! เจ้าตั้งใจจะบังคับให้ข้าขอโทษ เพียงเพราะข้าไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์เหรอ? เรื่องที่ไร้สาระและไร้ยางอายเช่นนี้ ไหนเลยจะเกิดในโลกนี้ได้!?” ในขณะนี้ เชินถูเยียนหรานก็เดือดดาลเช่นกัน ดวงตาสุกใสทอแววเยียบเย็น พลันกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าจะกล่าวอีกครั้ง ข้าเชินถูเยียนหราน ไม่คิดที่จะเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์!”
นางกล่าวทีละคำด้วยท่าทีที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ทำให้คนในตระกูลเชินถูหรี่ตาลง ซึ่งรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย
“บังอาจ!”
“ดูเหมือนตระกูลเชินถูไม่ได้ตั้งใจที่จะร่วมมือกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ของเรา”
ใบหน้าของเหล่าศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ดิ่งลง ขณะที่เยาะเย้ย และไม่พอใจอย่างยิ่งต่อท่าที่ของเชินถูเยียนหราน
“เยียนหราน!” หัวใจของเชินถูหมิงต้ากระตุกวูบ ทั้งยังรู้สึกกังวลเล็กน้อย ดังนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เดือดดาลทันที “หรือเจ้าตั้งใจเมินเฉยต่อผลประโยชน์ของตระกูลเชินถู และทำให้คนในตระกูลของเจ้าต้องผิดหวัง?”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่ปิดบัง
เชินถูเยียนหรานเม้มริมฝีปากแน่น แต่ลังเลที่จะกล่าว เห็นได้ชัดว่านางต้องทนกับความกดดันที่อธิบายไม่ได้เช่นกัน
“เนื่องจากเยียนหรานไม่เต็มใจ ดังนั้นอย่าบังคับนางเลย ไม่ว่านางจะเข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างตระกูลเชินถูและสำนักศักดิ์สิทธิ์มากนัก” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ และเขาก็กล่าวออกมาในที่สุด
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ไม่ใช่แค่คนในตระกูลเชินถูที่ตกตะลึง แม้แต่ศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็ประหลาดใจ คนผู้นี้คือใครกัน? เขามีสิทธิ์อะไรมากล่าวในเวลานี้?
“สหายเต๋า เจ้าดูไม่คุ้นหน้าเลย ขออภัยที่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเจอเจ้ามาก่อนหรือเปล่า แต่ขอทราบได้ไหมว่าเจ้าเป็นใคร” กงซุนมู่เหลือบมองที่เฉินซีและกล่าวอย่างไม่แยแส
“เขาเป็นสหายของข้า….” ก่อนที่เชินถูเยียนหรานจะกล่าวจบ นางก็ถูกเชินถูซิงขัดจังหวะไว้ “คนนอกจะมาขัดจังหวะในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้ากำลังก่อปัญหา!”
ทันทีที่กล่าวจบ ศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “ฮ่า ฮ่า! ข้าหลงคิดว่าเขาเป็นคนใหญ่คนโต ที่แท้ก็เป็นเพียงพวกชอบแส่ยุ่งเรื่องคนอื่น”
“ถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเยียนหราน ข้าก็คงไม่สนใจหรอก” เมื่อเผชิญกับการเย้ยหยัน เฉินซีเพียงแย้มยิ้มจนตาหยี และกล่าวอย่างผ่อนคลาย “แต่ในเมื่อเยียนหรานถือข้าเป็นสหายของนาง ข้าก็จะไม่นิ่งดูดายต่อเรื่องนี้”
วาจาเหล่านี้กล่าวอย่างผ่อนคลาย แต่เมื่อลอดเข้าหูของทุกคนในห้องโถง มันกลับฟังดูอวดดีและเสียดหูนัก
ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลเชินถู หรือศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดล้วนอดรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าชายคนนี้ที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา จะกล้าที่จะต่อสู้กับพวกเขาในเวลานี้
คนผู้นี้เสียสติไปแล้วเหรอ?
เขาไม่รู้หรือว่านี่คือโถงหลักของตระกูลเชินถู? ทั้งยังไม่รู้ว่าตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์หรืออย่างไร?
“เยียนหราน เจ้าไปรู้จักคนผู้นี้มาจากที่ใด เขาช่างเป็นตัวโง่งมยิ่งนัก!” มีคนอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน และทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะคิกคัก! ศิษย์คนหนึ่งจากสำนักศักดิ์สิทธิ์แผดหัวร่อดังลั่น ทั้งยังหัวเราะเยาะเย้ยไม่รู้จบ คล้ายกับมองว่าเฉินซีเป็นคนหุนหันพลันแล่นและไร้สมอง
เชินถูเยียนหรานอดไม่ได้ที่จะโกรธเคืองเมื่อได้ยินคำดูถูกเหล่านี้ และนางกำลังเปิดปากโต้เถียง แต่เฉินกลับหยุดนางไว้
“ไม่จำเป็น เสียเวลาเปล่า” สิ้นคำ สีหน้าของเหล่าศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่เยาะเย้ยเฉินซีก่อนหน้านี้ลุกขึ้นยืนทันที และจ้องมองที่เฉินซีด้วยสายตาถือดี “ฮ่า ฮ่า! ดูเหมือนว่าสหายคนนี้ไม่พอใจสำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้าหรือ?” คนผู้นี้มีรูปลักษณ์ประณีต สวมเสื้อคลุมสีเงินที่มีแขนเสื้อกว้างและมีเข็มขัดคาดไว้ ทำให้ดูมีเกียรติและสง่างาม อย่างไรก็ตาม วาจากลับดูคุกคาม และสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้อื่นอย่างมหาศาล
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่พอใจ ข้าแค่ทนเห็นสิ่งนี้ไม่ได้” เฉินซีกล่าวอย่างเกียจคร้านด้วยสีหน้าไม่แยแส
ในขณะนี้ แม้แต่คนในตระกูลเชินถูหลายคนก็ตกตะลึงเล็กน้อยกับการกระทำของเฉินซี “ชายหนุ่มคนนี้ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากใด ถึงกล้าเผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์?”
“ฮ่าฮ่า! กล้าดีนี่! ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น เจ้ากล้าที่จะประลองกับข้าหรือไม่” ชายเสื้อคลุมเงินจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เริ่มหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว และแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
บรรยากาศเริ่มรุนแรงและตึงเครียดทันที
“สหายเต๋าอย่าได้โกรธไป ฝากคนผู้นี้ให้ข้าจัดการเถอะ” เมื่อสังเกตเห็นว่าการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้น เชินถูซิงก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่กล่าว ใบหน้าของเขาก็มืดมน และจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นชาเสียดแทง “สหายกรุณาออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น อย่าโทษข้าที่ไล่เจ้าออกไป!”
“บังอาจ!” เชินถูเยียนหรานทุบโต๊ะตรงหน้าและลุกยืนขึ้น
“เยียนหราน หากเจ้ายังก่อปัญหาอีก เจ้าจะถูกลงโทษตามกฎของตระกูล!” เชินถูซิงขบกรามด้วยความโกรธ
“เอาละทุกท่าน โปรดฟังข้า” ทันใดนั้น กงซุนมู่ที่เฝ้าดูพลันกล่าวขึ้น และมันระงับเสียงทั้งหมดที่อยู่รอบข้างทันที พร้อมกับดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องโถงมาที่เขา
ในทางกลับกัน สายตาของเขาจ้องมองไปที่เฉินซี พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกและไม่แยแส “สหาย เจ้าบอกว่าเจ้าทนดูพฤติการณ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่ได้เหรอ?”
เพียงวาจาเหล่านี้ กลับทำให้บรรยากาศในห้องโถงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน อากาศดูราวกับว่ากลายเป็นน้ำแข็ง และอึดอัดจนหายใจไม่ออก
แต่ดูเหมือนว่าเฉินซีจะไม่ได้สังเกตเห็นมันเลย และกล่าวอย่างผ่อนคลาย “หรือเมื่อครู่นี้เจ้าได้ยินไม่ขัด? ต้องให้ทวนซ้ำเป็นครั้งที่สองหรือไม่?”
ในขณะนี้ แม้แต่สีหน้าของเชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงก็เริ่มเปลี่ยน
ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับปฏิกิริยาของเฉินซี แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นสิ่งใด
ในทางกลับกัน ผู้นำแห่งตระกูลเชินถู เชินถูชิงหยวนไม่ได้กล่าวใด ๆ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ในขณะที่นิ้วชี้ขวาเคาะกับที่เท้าแขนเก้าอี้เป็นครั้งคราว ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อได้ยินคำตอบของเฉินซี กงซุนมู่ก็เริ่มหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของเขากลับไร้อารมณ์ความรู้สึก “มันต้องมีเหตุผล ใช่หรือไม่? หรือบางทีเจ้ากำลังพยายามปกป้องแม่นางเยียนหราน?”
“สิ่งที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด เยียนหรานเป็นสหายของข้า ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะนิ่งเฉยในยามที่นางลำบาก” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บอกข้าหน่อยสิว่าเจ้ามีคุณสมบัติอันใดบ้าง หรือเจ้าคิดว่าตัวตนของศิษย์ผนึกฤทธิ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้าไม่ดีพอสำหรับแม่นางเยียนหราน” ทันใดนั้นเสียงของกงซุนมู่พลันมืดมน เจือแววอาฆาตเลือนราง
“เจ้ามีความสามารถพอหรือ?” ชายเสื้อคลุมเงินจากสำนักศักดิ์สิทธิ์อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย
เฉินซีเมินเฉย ไม่คิดโต้เถียงใด ๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กงซุนมู่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติภูมิของสำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้า ดังนั้นข้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยกับมันได้เช่นกัน”
สิ้นคำ ผู้คนของตระกูลเชินถูที่อยู่ภายในห้องโถงล้วนใจสั่นสะท้าน
เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ ทุกคนตระหนักแล้วว่า ถึงแม้พวกเขาจะสอดมือแทรกแซง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงสงสัยใคร่รู้ สหายของเยียนหรานคนนี้ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากที่ใด? เขาไม่รู้หรือว่า การล่วงเกินสำนักศักดิ์สิทธิ์จะส่งผลอะไรตามมาบ้าง?
“เจ้าตั้งใจที่จะต่อสู้?” คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น
“แล้วเจ้าเล่า?” กงซุนมู่ตอบคำ
“ดูเหมือนว่าข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตกลง” เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส เดิมที เชินถูเยียนหรานตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่นางถูกเขาห้ามไว้ เพราะคนเหล่านั้นของสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้เยาะเย้ยเขาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มจะโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อประสบกับคำถากถางยั่วยุ แม้แต่บรรพชิตก็ยังเกิดจิตโทสะ เฉินซีไม่ใช่ตอไม้ที่ไร้ความรู้สึก ดังนั้นจึงไม่อาจทนต่อคำดูถูกที่มุ่งเป้ามาที่เขาได้
หากเป็นยามอื่น เขาอาจจะไม่ถือสาหาความกับอีกฝ่าย
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เขาเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อชื่อเสียงของตัวเองหรือเพื่อปกป้องชื่อเสียงของเขาเทพพยากรณ์ เขาก็ต้องดำเนินการเพื่อตอบโต้สิ่งนี้
“ฮ่า ฮ่า! เจ้าเด็กคนนี้พอมีกระดูกสันหลังอยู่บ้าง ศิษย์พี่กงซุน ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าได้สัมผัสความสามารถของคนผู้นี้เถอะ!” ชายเสื้อคลุมเงินคนนั้นหมดความอดทนนานแล้ว ดังนั้นจึงสืบเท้าก้าวไปข้างหน้าทันที และสายตาคมปลาบดุจสายฟ้าที่พัดผ่านอย่างเย็นชา จ้องเฉินซีไม่วางตา นอกจากนี้ มุมปากยังเต็มไปด้วยความรังเกียจและเย็นชา
ทุกคนเข้าใจทันทีว่าการต่อสู้นั้นเหมือนกับลูกธนูที่ถูกพาด และมันจะต้องถูกยิงออกไป ไม่มีโอกาสหันหลังกลับแล้ว!
เวลานี้ทุกสายตาพุ่งไปที่ชายชุดสีเงินและเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน บรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาฉับพลัน
………………..