บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1816 ทาปาชวน
บทที่ 1816 ทาปาชวน
ทันทีที่พูดจบนั้น
วิ้ง!
ทั่วทั้งโถงหลักพลันเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกาย อักขระยันต์ลึกลับโคจรอยู่ภายในทั่วทุกหนทุกแห่ง
วี่แววแห่งการล่มสลายคลายตัวลงแล้ว ทั่วทั้งห้องโถงจึงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญภายในตระกูลเชินถู อย่างไรก็ต้องมีข้อจำกัดคอยปกป้องไว้
ตอนนี้ ด้วยความที่การโจมตีจากศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์รุนแรงมาก เชินถูชิงหยวนจึงได้แต่เปิดใช้ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ไม่เช่นนั้นโถงหลักที่ตั้งอยู่มานานหลายปีคงได้ถูกทำลายในวันนี้แน่
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการต่อสู้เลย
ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ที่ถือเครื่องประดับหยกทั่วร่างเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ขณะพุ่งเข้ามา ระลอกคลื่นพลังกระจายตัวออกจากเครื่องประดับหยก ก่อนซัดเข้ามาอย่างรุนแรงใส่เฉินซี
“เจ้าประเมินฝีมือตนเองสูงไปแล้ว!” เฉินซีเอ่ยออกมาเพียงไม่กี่คำ ทำให้ใจคนกระตุกทันใด
ฟ้าว!
พริบตานั้น ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของทุกคน เฉินซีก็ย่ำเท้าออกมา จากนั้นพุ่งเข้าใส่ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ทันที
ทั่วร่างเขาเรืองแสงสว่าง เหมือนดวงตะวันกระจ่างบนฟากฟ้า เป็นแสงที่สว่างจ้ายิ่ง คล้ายว่าอาบไปด้วยแสงแห่งมหาเต๋า มันโอบล้อมไปทั่วกาย ส่งผลให้เครื่องประดับหยกที่ซัดลงมาไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย!
เช่นนี้ก็เหมือนไม่มีอะไรสามารถทำอันตรายเฉินซีได้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนไม่อยากเชื่อ
ตูม!
ยังไม่ทันได้หายตกใจดี เฉินซีก็เหยียดแขนออกมาซัดเครื่องประดับหยกสีม่วงทองจนกระเด็นไป จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ซัดแรงโจมตีออกไปจนศิษย์ผู้นั้นกระแทกลงกับพื้น
อั้ก!
ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์กระอักเลือดออกมาครั้งใหญ่ เหมือนถูกขุนเขาซัดลงมาก็มิปาน พยายามล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา แต่แรงกดดันที่ซัดลงมาก็แทบทำให้หายใจไม่ออก!
เขารู้สึกว่ากระดูกตรงทรวงอกแตกหัก ความเจ็บปวดทิ่มแทงจนใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่อาจยับยั้งเสียงร้องแหลมไว้ได้อีกต่อไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตา รวดเร็วจนไม่มีใครตอบสนองได้ทัน
ไม่มีใครคิดว่าฝีมือต่อสู้ของเฉินซีจะสะท้านฟ้าเช่นนี้ ท่าทางก็ดูดุดันน่าเกรงขามยิ่ง เอาชนะเซียวเทียนฉีและสตรีในชุดสีทองได้ ขนาดศิษย์ผู้นี้ยังถูกขยี้ได้จนถึงเพียงนี้ ทั้งยังใช้เพียงกระบวนท่าเดียวเอาชนะคนทั้งหมดไปได้ด้วย
วิธีการต่อสู้และท่าทางองอาจเหมือนไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรทำให้เขาดูแกร่งเหนือใคร ไม่อาจใช้คำว่าแข็งแกร่งดุดันมาอธิบายอย่างสมบูรณ์ได้
แน่นอนว่าพลังที่เฉินซีแสดงออกมาในตอนนี้ย่อมทำให้ไม่ว่าใครก็ตกใจ คล้ายว่าไม่อาจมีสิ่งใดขัดขวางเขาได้อีก
แต่ก็ต้องรู้ว่าศัตรูคือศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!
แต่เฉินซีก็ยังเอาชนะไปได้ง่ายดายเช่นนี้ พลังต่อสู้ต้องแข็งแกร่งถึงขั้นไหนกัน?
ไม่อาจจินตนาการได้เลยทีเดียว!
หากก่อนหน้านี้คนอื่นมองเฉินซีเป็นชายหนุ่มเย่อหยิ่งคนหนึ่ง
“เด็กนี่จะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร เขา…” เชินถูซิงพึมพำออกมา ก่อนหน้านี้เขาตำหนิเฉินซีไปเยอะ คิดจะไล่ชายหนุ่มออกจากห้องโถงหลักด้วยซ้ำ
แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่เขาดูถูกก่อนหน้านี้จะเผยพลังเช่นนี้ออกมาได้? แล้วเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“พวกเรามองผิดไป ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้” เชินถูหมิงต้ามีสีหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาเป็นประกายระยับ ในใจเกิดระลอกพายุอารมณ์
…
“เจ้าจะปล่อยให้คนพวกนี้ทรมานอยู่เช่นนี้หรือ?” เฉินซีมองเซียวเทียนฉีและคนอื่น ๆ ที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น จากนั้นหันไปมองกงซุนมู่
อีกฝ่ายยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ไว้
เขาเห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้น ความรู้สึกตกตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความไร้อารมณ์ เพราะรู้แล้วว่าศัตรูครั้งนี้ไม่ธรรมดา
ถึงขั้นที่มั่นใจเลยว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีคงจะต้องติดร้อยอันดับแรกบนเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลเป็นแน่ และอาจจะสูงกว่านั้นก็เป็นได้!
นอกจากเรื่องนี้จะทำให้กงซุนมู่โกรธแล้ว ก็ยังแฝงเค้าประหลาดใจที่ตนไม่อาจรู้ถึงภูมิหลังของชายหนุ่มผู้นี้ได้
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กล้าขัดแย้งกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเผยพลังน่าเกรงขามออกมา เช่นนี้ดูผิดปกติอยู่ไม่น้อย
“โอหังนัก!”
“เย่อหยิ่งเกินไปแล้ว! เจ้าคิดหรือว่าพวกข้าไม่มีใครฝีมือทัดเทียมเจ้า!?”
ศิษย์ข้างกายกงซุนมู่ร้องลั่นขึ้นมา ด้วยรู้สึกโกรธที่ถูกเฉินซีเอ่ยยั่วยุเช่นนั้น
ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์เคยต้องอับอายขนาดนี้ด้วยหรือ?
เฉินซีไม่ได้สนใจอะไร แต่สายตายังคงมองอยู่ที่กงซุนมู่ ในเมื่อต่อสู้กันแล้ว เขาก็ไม่คิดจะหยุดหรอก จะได้สั่งสอนเจ้าพวกคนจองหองพวกนี้เสียบ้าง ต่อไปจะได้ไม่อวดดีอีก
ตอนนี้สายตาของทุกคนจึงมองมายังกงซุนมู่ ล้วนสงสัยว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร
“เฉินซี หยุดก่อนเถิด” เชินถูเยียนหรานเห็นแล้วก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย ส่งกระแสปราณหาเฉินซี ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก็รู้เหมือนกันว่าศิษย์ผนึกฤทธิ์สำนักศักดิ์สิทธิ์อันดับสาม กงซุนมู่ มีพลังต่อสู้ไม่ธรรมดา หากต้องสู้กับกงซุนมู่ ก็คงหาผู้ชนะได้ยาก
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก” เฉินซีตอบกลับ เขาทำท่าให้เชินถูเยียนหรานรู้ว่านางไม่ต้องพูดอะไรอีก เขารู้ดีว่าควรหยุดเมื่อไหร่
“ศิษย์น้องทาปา” ทันใดนั้นกงซุนมู่ที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้น
“ศิษย์พี่” ทาปาชวนเอ่ยตอบ
คนตระกูลเชินถูเองก็ไม่ได้ตกใจเมื่อเห็นเช่นนี้ ทาปาชวนเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ย่อมเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์สำนักศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ถึงแม้ตำแหน่งจะต่ำกว่ากงซุนมู่ แต่นอกจากเรื่องบ่มเพาะพลังก็ไม่สนใจเรื่องอื่นใดอีก ด้วยเหตุนี้อันดับจึงต่ำกว่า
“ได้!” ทาปาชวนพยักหน้ารับแล้วลุกขึ้นยืน
เขาสวมชุดผ้าทอ ท่าทีธรรมดาสามัญ แต่กลับเผยกลิ่นอายดุดันสูงส่ง เหมือนเป็นหลักศิลาใหญ่ที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
เมื่อลุกขึ้นยืน กลิ่นอายพลันแปรเปลี่ยน สายตาเฉียบคมดั่งสายฟ้าฟาด พลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์ลั่นเปรี๊ยะอยู่ล้อมรอบกาย แรงกดดันภายในพุ่งสูงถึงชั้นสวรรค์
เต๋าศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นเช่นนั้น เมื่อถูกยับยั้งไว้ ใจก็จะผสานกับมหาเต๋าได้ ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตา เหมือนกลับคืนสู่อ้อมกอดแห่งธรรมชาติ แต่เมื่อเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นปะทุออกมายามใด ก็คล้ายกับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รุดพุ่งขึ้นจากนรกขุมที่เก้า สะท้านสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
ยอดฝีมือ! เฉินซีหรี่ตาลงเมื่อเห็นว่าทาปาชวนเก่งกล้าขนาดไหน ทาปาชวนภายนอกดูธรรมดา แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างกลับเหมือนกองไฟใหญ่ ดุดันดั่งมหาสมุทร เหมือนมีมังกรหลับไหลอยู่ภายใน เป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกได้
“ผู้อาวุโสเชินถู ได้ยินว่าตระกูลของท่านมีสมรภูมิศึกปีศาจ ไม่ทราบว่าจะขอใช้ได้หรือไม่?” ทันใดนั้นกงซุนมู่ก็หันไปมองเชินถูชิงหยวนแล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ย่อมได้” เชินถูชิงหยวนยิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อคราวหนึ่ง เกิดเป็นเส้นแสงสว่างกรีดผ่านฟ้ามาปรากฏอยู่ ณ ใจกลางห้องโถง
ทุกคนพลันรู้สึกว่าภาพตรงหน้าผันเปลี่ยนรวดเร็ว ลืมตาอีกทีก็เห็นว่าอยู่บนท้องฟ้ากว้างใหญ่แล้ว
ราตรีประดับดาวนี้มีดวงดาราทั้งหลายลอยอยู่จำนวนมาก มันโคจรอยู่รอบสนามต่อสู้ ดูแล้วเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ดูตระการตาเป็นอย่างยิ่ง
เฉินซีแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นว่าเป็นสมรภูมิที่น่าอัศจรรย์ใจไม่ใช่น้อย ทั้งยังเผยกลิ่นอายโบราณออกมา มันสร้างขึ้นจากหินดารา ฝังไว้ด้วยอักขระเต๋าอันลึกลับมากมาย ทั้งยังมีกลิ่นอายสังหารร้อนแรงอยู่ภายในนี้อีก
เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องกลัวว่าสู้แล้วสถานที่จะพัง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีพื้นที่น้อยไป สามารถต่อสู้ได้อย่างสุดกำลัง
ที่นี่คือสมรภูมิศึกปีศาจ สร้างขึ้นด้วยฝีมือบรรพบุรุษของตระกูลเชินถู เพื่อให้คนในตระกูลได้ใช้ฝึกต่อสู้โดยเฉพาะ
เพราะอย่างไรเมื่อขึ้นขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว ก็แทบทำให้ฟ้าถล่มดินทลายได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นเมืองเป็นดวงดาวเป็นตะวันหรือจันทรา ก็ล้วนถูกพลังของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทำลายได้อย่างน่าตกใจ
แต่เมื่อมีสมรภูมิศึกปีศาจ คนตระกูลเชินถูก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีก
เห็นได้ชัดว่ากงซุนมู่เบื้องหลังความนัยที่ร้องขอให้เชินถูชิงหยวนเปิดใช้สนามต่อสู้นี้ก็มีอยู่เพราะเหตุผลเดียว นั่นคือเพื่อให้ทาปาชวนได้เผยฝีมือเต็มกำลัง และเอาชนะเฉินซีได้ในคราวเดียว โดยไม่ต้องถูกสภาพแวดล้อมยับยั้งพลังไว้
ฟ้าว!
ทาปาชวนไม่ได้เอ่ยคำใด ร่างเขาแวบขึ้นไปในสมรภูมิศึกปีศาจในพริบตา จิตต่อสู้ภายในร่างทะลุพุ่งขึ้นฟ้าดั่งเส้นแสง ทำเอาฟ้าดินลั่นครืน!
“นี่น่ะหรือกลิ่นอายดุดันของศิษย์ผนึกฤทธิ์สำนักศักดิ์สิทธิ์?” สายตาของจักรพรรดิตระกูลเชินถูทั้งหลายเคลื่อนมอง สังเกตได้ทันทีว่าทาปาชวนไม่ธรรมดา คิดในใจว่าถึงแม้จะเป็นตนตอนอยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ก็คงไม่อาจมีกลิ่นอายดุดันเช่นทาปาชวนได้
เฉินซีเห็นแล้วก็ไร้ความเกรงกลัว ก้าวขึ้นมาสบาย ๆ เหมือนเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน ขึ้นมาถึงสมรภูมิศึกปีศาจ แล้วเผชิญหน้ากับทาปาชวนจากอีกฝั่ง
“ศิษย์พี่ทาปา เผยพลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วรีบเอาชนะเจ้านั่นไปเลย!”
“ฮึ่ม! ศิษย์พี่ทาปามาเองเช่นนี้ เด็กนั่นไม่มีวันชนะแน่!”
“ศิษย์พี่ทาปาคือศิษย์ผนึกฤทธิ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์เรา รั้งอันดับที่สิบสามของสำนักเชียวนะ ทั่วทั้งแดนเทพโบราณมีไม่กี่คนที่จะสามารถเทียบฝีมือกับเขาได้”
“ถูกต้องแล้ว อย่าลืมว่าศิษย์พี่ทาปายังรั้งอันดับที่สามสิบเก้าบนเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลด้วย!”
ศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ล้วนรู้สึกตื่นเต้น มั่นใจในตัวทาปาชวนเป็นอย่างยิ่ง เพราะในความคิดของพวกเขา ไม่ว่าเฉินซีจะจองหองขนาดไหน แต่ก็คงเทียบฝีมือกับทาปาชวนไม่ได้อย่างแน่นอน
ถึงขั้นที่หลายคนเริ่มคาดเดากันแล้วว่าทาปาชวนจะต้องใช้กี่กระบวนท่าถึงจะเอาชนะเฉินซีไปได้
ตอนนี้ในใจของเชินถูเยียนหรานจึงเกิดความกังวลขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางมั่นใจในตัวเฉินซีอยู่แล้ว
ทาปาชวนเป็นศิษย์ผนึกฤทธิ์สำนักศักดิ์สิทธิ์ พลังบ่มเพาะอยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสุด ทั้งยังมีพลังต่อสู้น่าเกรงขามเช่นกัน
เฉินซีจะ… เป็นอะไรหรือไม่นะ?
………………..