บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1819 จากไปอย่างเดือดดาล
บทที่ 1819 จากไปอย่างเดือดดาล
ชิงโห่ว!
อสูรร้ายซึ่งถูกกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในความน่าสะพรึงกลัวอันยิ่งใหญ่ ณ บรรพกาล มีรากเหง้ากำเนิดจากความโกลาหล เป็นเทพอสูรบรรพชนสายเลือดแท้
อสูรตนนี้รูปร่างคล้ายพยัคฆ์ ตัวใหญ่ดุจขุนเขา ปกคลุมด้วยผิวหนังและขนสีเขียว นอกจากนั้นยังมีเขาสีเทาอันบรรจุพลังแก่นแท้สสารของเต๋าแห่งสายฟ้า
ขณะเดียวกัน ทาปาชวนก็คือทายาทเผ่าเทพชิงโห่ว!
“โฮก!!!” หลังจากคืนร่างเดิมซึ่งก็คือชิงโห่ว ทาปาชวนโก่งคอคำรามลั่นฟ้า อำนาจดุร้ายสาดกระหน่ำ ดูประหนึ่งจะทลายตะวันจันทราด้วยสำเนียง
ทันใดนั้น เขาก็กระโจนเข้าใส่เฉินซีด้วยความเร็วสูงเสียจนฉีกมิติเป็นเส้นตรง
เฉินซีหรี่ตาลง ออกแรงนิ้วก่อเจตจำนงกระบี่อันเรืองรองไร้ใดเปรียบ ฟาดฟันเข้าใส่ทายาทอสูรบรรพกาลอันกล้าแกร่งผู้นี้
เปรี้ยง!
เรื่องนี้น่าตกใจอย่างยิ่ง เพราะเมื่อครู่เขายังถูกเฉินซีปราบไม่เป็นท่า แต่ยามนี้เจ้าตัวกลับมีอำนาจเปลี่ยนสถานการณ์ขึ้นมาเล็กน้อย
โฮก!
ชิงโห่วกู่ร้องสะท้านจักรวาล กระทั่งทั่วสมรภูมิศึกปีศาจยังโคลงคลอน
เขาเหมือนจะบ้าคลั่งไปแล้ว อำนาจแก่นแท้ในสายเลือดถูกกระตุ้นอย่างเต็มกำลัง ทำให้เขามีอำนาจแข็งแกร่งประหนึ่งสยบฟ้ากำราบภูมิ
เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้แก้วหูยอดฝีมือมากมายนอกสมรภูมิระเบิดแตก เจียนล้มลงสิ้นสติ โชคยังดีที่สมรภูมินี้ปกคลุมด้วยข้อจำกัดคุ้มกัน มิเช่นนั้น ผลที่เกิดคงยิ่งร้ายแรง
ขณะนี้ คนมากมายต่างตะลึง ไม่คาดคิดว่าทาปาชวนจะมีไพ่ตายเช่นนี้ในมือ
“ฮึ!” สายตาของเฉินซีพลันเย็นเยียบ เขาตั้งใจใช้กระบี่เปลื้องมลทินจบศึกในทันที ไม่ให้ตนต้องพัวพันในศึกกับทาปาชวนต่อไป
ทว่าก่อนที่เฉินซีจะทันลงมือ หนึ่งเสียงพลันดังขึ้นในสมรภูมิศึกปีศาจ….
“ศิษย์น้องทาปา กลับมาเถอะ” เสียงนั้นแผ่วเบาเฉยชา และปรากฏว่าเป็นเสียงของกงซุนมู่
ขณะนี้ สีหน้าของเขาไร้อารมณ์ ดวงตาเรืองประกายเย็นเยียบ แม้จะยืนเงียบ ๆ แต่ก็ให้บรรยากาศยิ่งใหญ่เกินบรรยาย
สำหรับพวกเขา เรื่องนี้น่าประหลาดใจนัก
ทาปาชวนผู้กลายร่างเป็นชิงโห่วก็หยุดลงเช่นกัน หันตัวเบนคู่เนตรแดงเลือดไปมองกงซุนมู่
กงซุนมู่ไร้วาจาเพิ่มเติม ทำเพียงมองทาปาชวนอย่างเงียบ ๆ
“ก็ได้”
วิ้ง!
ร่างของทาปาชวนคืนสู่ร่างมนุษย์ หันกลับออกจากสมรภูมิศึกปีศาจโดยไม่เหลือบแลเฉินซีแม้แต่น้อย
อำนาจรอบกายของเขาถูกสะกดกลับ ฟื้นสู่ภาพลักษณ์ดาษดื่นเช่นกาลก่อน ไม่เหลืออำนาจร้ายกาจและจิตสังหารบนร่าง
หากใบหน้าของเขาไม่ได้ซีดขาว คงน่าสงสัยกระทั่งว่าเขาใช่คนเดียวกับชิงโห่วตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่จริงหรือ
ขณะที่มองทาปาชวนก้าวเดินออกจากสมรภูมิศึกปีศาจ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสมาชิกตระกูลเชินถูหรือคณะศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างมีสีหน้าคลุมเครือเล็กน้อย
พวกเขาตระหนักดีว่า แม้ทาปาชวนจะไม่พ่ายหมดท่า แต่การออกจากสมรภูมิในยามนี้ก็ไม่ต่างจากแสดงความด้อยกว่าต่อเฉินซี
ไม่เพียงพวกเขา กระทั่งศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจจับต้นชนปลายได้ว่าเหตุใดกงซุนมู่จึงตัดสินใจเช่นนั้น
น่าเสียดายที่กงซุนมู่มิอธิบายใด ๆ
เขาดูจะผ่อนลมหายใจโล่งอกยามเห็นว่าทาปาชวนฟังคำสั่งตน ถอยออกมาจากสมรภูมิ หลังจากนั้นก็หันมองเฉินซีผู้ยืนอยู่ในสมรภูมิจากไกล ๆ
“ข้าต้องยอมรับว่าอำนาจต่อสู้ที่เจ้าแสดงวันนี้เกินคาดฝันของข้าจริง ๆ แต่นี่ไม่ใช่จุดจบหรอกนะ” กงซุนมู่เงียบไปครู่สั้น ๆ แล้วจึงพูดช้า ๆ
สิ้นคำเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที
“เรากลับกัน”
เขาจรจากโดยไม่เหลียวหลัง
เมื่อเหล่าศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์เห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบร้อนตามไป
“อะไรนี่? เจ้าไม่มาประมือกับข้าหน่อยหรือ?” ปรากฏว่าเฉินซีเอ่ยท้าทายกงซุนมู่ขึ้นเสียงเรียบ ไม่ได้คิดหยุดเรื่องเพียงเท่านั้น
“ไม่ต้องรีบร้อนไป โอกาสประมือของเราย่อมบังเกิดหลังการถกวิถีเต๋าของห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิเปิดฉาก ถึงยามนั้น… ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เจ้าเอง” กงซุนมู่หยุดเท้าครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นเสียงเรียบโดยไม่เหลียวกลับ
วูบ!
ไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็พาคณะศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์ทะยานเวหาจากไป
เห็นเช่นนี้ ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็ครุ่นคิดหนักในความเงียบ
ยามเหล่าสมาชิกตระกูลเชินถูเห็นภาพนี้ พวกเขาก็ยังรู้สึกเกินเชื่อลงเล็กน้อย พวกกงซุนมู่จากไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ? ขณะที่เชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงต่างหน้าง้ำเกินมองถึงขีดสุด เดือดดาลจนอกกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง
กงซุนมู่เป็นทูตจากสำนักศักดิ์สิทธิ์! มาเพื่อสานสัมพันธ์ร่วมมือกับตระกูลเชินถู! แต่ยามนี้ ทุกสิ่งพังไม่เป็นท่า!
พวกเขาจะรับได้อย่างไร?
…
“ศิษย์พี่กงซุน เราจะไปกัน… ง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?” หลังออกจากตระกูลเชินถู เซียวเทียนฉีก็อดกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจมิได้
เมื่อครู่เขาพ่ายเฉินซียับเยินจนคุกเข่าบนพื้น เกิดความอับอายต่อหน้าสาธารณชน เขาย่อมไม่ยินยอมกลับไปเพียงเท่านั้น
กงซุนมู่เงียบไป เหมือนกำลังคิดบางสิ่งอย่างเครียดขึง
ไม่ทันขาดคำ สายตาเหล่าศิษย์คนอื่น ๆ ซึ่งก็สงสัยเช่นกันต่างมองมาทันที
การรีบร้อนจรจากนี้ดูไม่เข้าท่าอยู่ไม่น้อย หากข่าวแพร่ออกไป มันจะไม่เพียงทำร้ายชื่อเสียงของทาปาชวน กระทั่งพวกเขาและสำนักศักดิ์สิทธิ์ทั้งสำนักก็จะแย่ไปด้วย
นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจรับได้
“สู้กันต่อไปก็ไร้ประโยชน์” กงซุนมู่ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ถอนหายใจ “อย่าลืมนะว่า นับแต่แรกจนจบ คนผู้นั้นไม่ได้ใช้สมบัติใด ๆ เลย”
หัวใจทุกดวงสะท้าน พอเข้าใจขึ้นมาทันที พวกเขารู้สึกว่าอำนาจต่อสู้ของทาปาชวนยามกลายร่างเป็นชิงโห่วเพียงพอพลิกสถานการณ์แล้ว แต่มองข้ามไปว่าหากเฉินซีเผยอำนาจเต็มที่ และใช้สมบัติออกมาสักหน่อย อำนาจต่อสู้ของอีกฝ่ายก็จะยิ่งร้ายกาจเช่นกัน!
นับแต่แรกจนบัดนี้ ทาปาชวนไร้วาจา ไม่ได้โต้แย้งกงซุนมู่ เห็นได้ชัดว่าเขาก็ยอมรับเช่นกัน
แต่ผลเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ศิษย์คนอื่น ๆ จากสำนักศักดิ์สิทธิ์ยังไม่อาจรับไหวอยู่ดี
“แล้วหากศิษย์พี่กงซุนไปสู้กับเขาเล่า?” ศิษย์ผู้หนึ่งถาม
“ยากนักจะตัดสิน” กงซุนมู่ครุ่นคิดหนักอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเรียบ “หากข้าสู้สุดกำลัง ก็อาจมั่นใจเรื่องเอาชนะเขาได้ แต่ข้าไม่อาจยืนยันได้เลยว่าเขาเก็บงำอำนาจไว้มากเพียงไร เพราะเหตุนี้ เราไม่สู้เขาจะดีที่สุด”
พวกเขาเป็นศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์! เคยสะเทือนใจเพียงนี้ยามใดกัน?
สัจธรรมที่ยิ่งทำให้พวกเขาหดหู่ใจก็คือ จนบัดนี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉินซีเป็นใคร….
“เขาน่าจะเป็นเฉินซีจากเขาเทพพยากรณ์” ทันใดนั้น ทาปาชวนซึ่งเงียบมาตลอดก็โพล่งขึ้น
วาทะไม่กี่คำนั้นทำให้ศิษย์ทั้งหลายจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ผงะนิ่ง เฉินซี! ที่แท้ก็เป็นคนผู้นั้น?
“ข้าก็คิดเช่นกัน” กงซุนมู่ดูสุขุม เห็นได้ชัดว่าคิดไว้นานแล้ว “แต่ไม่ว่าเจ้านั่นจะใช่เฉินซีหรือไม่ คนเช่นเขาต้องเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าของห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิแน่นอน ถึงยามนั้นข้าจะสู้กับเขาเอง!”
คนอื่น ๆ ต่างตะลึง หัวใจกระเพื่อมเป็นคลื่นคลั่ง พวกเขาย่อมเคยได้ยินนามของเฉินซีมาเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายตรงของเขาเทพพยากรณ์ ศิษย์น้องเล็กของนายใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน!
ทันทีที่เขาปรากฏตัวเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาก็เป็นที่สนใจจากขุมกำลังต่าง ๆ ในฐานะศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิเช่นกัน พวกเขาย่อมเคยได้ยินชื่อของชายหนุ่มมานานแล้ว
แต่ไร้ผู้ใดคาดฝันว่าเฉินซีผู้นี้จะยิ่งแข็งแกร่งเกินคำร่ำลือ….
“แล้วเรื่องการร่วมมือกับตระกูลเชินถูเล่า?” ทาปาชวนขมวดคิ้วถาม
“หยุดมันไว้ตรงนี้แหละ พวกเจ้าน่าจะเห็นชัดแล้วว่าเจ้าเฒ่าเชินถูชิงหยวนผู้นั้นบ่ายเบี่ยงซื้อเวลา ไม่ยอมประกาศจุดยืนชัดเจน เรื่องนี้ผิดปกติ แล้วยามนี้ เจ้าคนที่น่าจะใช่เฉินซีนั่นก็ปรากฏตัว ต่อให้เรากลับไปยืนกรานคาดคั้นยามนี้ก็เสียแรงเปล่า” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของกงซุนมู่ก็ปรากฏความน่าสะพรึงกลัว “ข้าหวังเพียงว่า ตระกูลเชินถูจะไม่เสียใจภายหลัง!”
เสียงของเขาเจือความดุร้ายอย่างเกินปกปิด
…
“สารเลว!” หลังจากกงซุนมู่และคณะจากไปไม่นาน เชินถูซิงก็ไม่อาจระงับโทสะได้อีก เขาตวาดขึ้นดังลั่น “โอกาสร่วมมือดี ๆ ยามนี้ถูกคนนอกทำพินาศสิ้น ไม่ถือเราตระกูลเชินถูจริงจังโดยแท้!”
เขาเล่นงานเฉินซีทันที
“เรื่องมันเกิดไปแล้ว มาโกรธยามนี้ก็ไร้ประโยชน์” เชินถูเป้าขมวดคิ้วกล่าว
“เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วจริง ๆ แต่ต่อให้เราไร้โอกาสร่วมมือกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ยามนี้ เราก็ต้องทำให้คนที่ล่มมันลงชดใช้เป็นเยี่ยงอย่าง มิเช่นนั้น หากสำนักศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจโทษตระกูลเราในภายหน้า ผู้ใดจะรับผลของมันได้?” เชินถูหมิงต้าอัดแน่นด้วยโทสะเต็มอก ตวาดลั่นด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม จ้องมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นเยียบ อยากจะสับเฉินซีเป็นชิ้น ๆ เสียเหลือเกิน
ทันทีที่วาทะถูกกล่าว สมาชิกตระกูลเชินถูมากมายก็เห็นชอบ จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ เฉินซีออกมาปกป้องเชินถูเยียนหราน อำนาจต่อสู้ร้ายกาจของเขาพิสูจน์แล้วถึงความไม่ธรรมดา
แต่ก็เพราะเขา ทูตจากสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงจากไปอย่างโกรธเคือง ทำลายโอกาสร่วมมือระหว่างพวกเขาตระกูลเชินถูกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ลงสิ้น ทำให้พวกเขาไม่พอใจกันพอตัว
เฉินซีไม่คาดคิดเลยว่าพ่อลูกคู่นี้ เชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงจะฉวยโอกาสนี้ระเบิดโทสะหมายหัวเขา
สิ่งนี้ทำให้เขาพูดไม่ออก ในใจเกิดเค้ารังเกียจอย่างช่วยไม่ได้
“พี่ใหญ่ เจ้าคิดทำอะไร?” คิ้วของเชินถูเป้าขมวดแน่นกว่าเก่า
“จับเขาส่งไปให้สำนักศักดิ์สิทธิ์จัดการน่ะสิ หากได้รับการอภัยจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งดี” เชินถูหมิงต้าเหมือนรอคำถามนี้มานานแล้ว เขาตอบอย่างไร้ความลังเล
“ถูกต้อง ต้องเป็นเช่นนั้น” เชินถูซิงเสริมจากข้างกายบิดา
กระทั่งยามนี้ พ่อลูกสองคนนี้ยังคิดร่วมมือกับสำนักศักดิ์สิทธิ์?
….สิ่งนี้ทำให้เฉินซีรู้สึกขำขันชวนสรวลเสนัก!
………………..