บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 182 การค้า
บทที่ 182 การค้า
บทที่ 182 การค้า
โครม!!
หางของพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬได้ร่วงลงบนพื้น จนเกิดเสียงดังกระทบโสตของจื่อเซวียน ทันใดนั้นนางก็ตระหนักได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ตาย จากนั้นจึงลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางรู้สึกราวกับกำลังฝันอยู่
ทันใดนั้น ร่างที่ไม่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในระยะไม่ไกลนัก กระบี่ในมือของเขาแม่นยำ เรียบง่าย และตรงไปตรงมา ในขณะที่มันแทงร่างของพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬอย่างต่อเนื่องจนเกิดรูเลือดจำนวนมากมาย ทักษะการเคลื่อนไหวไหลลื่นยากจะคาดเดา การต่อสู้เป็นไปอย่างสบาย ๆ ราวกับว่าเขากำลังเล่นกับของเล่นชิ้นใหญ่ พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬซึ่งเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล มีความแข็งแกร่งในขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง กลับไม่มีโอกาสต่อต้านเขาเลยแม้แต่น้อย
“คนผู้นี้คือใครกัน? เขาได้ช่วยข้าไว้หรือ?” จื่อเซวียนจ้องไปยังร่างนั้นอย่างเหม่อลอย ในขณะที่ความระแวดระวังเกิดขึ้นในหัวใจของนางอย่างกะทันหัน “ช้าก่อน ช่องเขาเมฆามรกตเป็นพื้นที่หวงห้ามที่บรรพบุรุษของข้าสืบทอดกันมา หากไม่มีตราคำสั่งเมฆามรกต ก็ไม่มีทางที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ ดังนั้นเขาเข้ามาได้อย่างไร? หรือว่าเขาต้องการรวบรวมวัตถุวิญญาณในช่องเขาเมฆามรกตเช่นกัน?”
‘บัดซบ! เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ข้าต้องทนเจ็บปวดจากการที่ใช้วิชาแปลงโลหิตเก้าต้นกำเนิดเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะกระตุ้นพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬให้ตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง อีกทั้งยังได้สละพลังชีวิตของข้าเพื่อโจมตีจื่อเซวียนผู้เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ และมันกำลังใกล้จะสำเร็จอยู่แล้ว เหตุใดถึงมีไอ้สารเลวนี้ปรากฏตัวและขัดขวางข้าอย่างกระทันหัน? มันช่างบัดซบจริง ๆ!’ หานเหวินจวินที่อยู่อีกด้านหนึ่ง โมโหจนสุดขีดอยู่ในใจ และเขาจดจ้องไปที่ร่างอันปราดเปรียวราวกับสายลม ด้วยสายตาที่สั่นไหวด้วยความเคียดแค้นและโกรธเกรี้ยว
ร่างนี้ย่อมเป็นเฉินซี ไม่นานหลังจากที่เขาเดินออกมาจากรอยแยก เขาก็เห็นหญิงสาวในชุดสีม่วงตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ดังนั้นจึงพุ่งเข้าใส่ทันที เป้าหมายของเขานั้นง่ายมาก ในแง่หนึ่งก็คือการช่วยชีวิตนาง ส่วนอีกแง่หนึ่ง เขาต้องการใช้โอกาสนี้สอบถามเกี่ยวกับบางสิ่งจากนาง และอาจถือได้ว่าเป็นการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียวด้วยบุญคุณที่ไม่อาจประเมินได้
แต่ หากเฉินซีล่วงรู้ความคิดในใจของจื่อเซวียนและหานเหวินจวิน เขาคงไม่คิดเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เช่นนี้
“โฮก!” พยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขณะที่มันต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง จนทำให้พื้นดินแตกกระจายและพังทลายด้วยการก้าวไปข้างหน้าก่อนที่มันจะฟาดหางออกไป ทำให้ทั้งพืชพรรณและก้อนหินที่ขวางทางต้องแตกสลายกลายเป็นผง ยิ่งไปกว่านั้นมันในตอนนี้ก็ดุร้ายอย่างสุดขีด จนทำผู้คนที่พบเห็นต้องตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม ภายใต้การโจมตีของเฉินซี การดิ้นรนและความโกรธเกรี้ยวของสัตว์ร้ายตัวนี้ ดูเหมือนจะไร้พลังอย่างสิ้นเชิง และมันก็น่าสงสารยิ่งนัก…
แควก!
ประกายแสงอันเยือกเย็นปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตา หัวขนาดมหึมาของพยัคฆ์เกราะเกล็ดทมิฬก็ถูกฟันออกเป็นสองท่อนในทันที และร่างมหึมาของมันที่เหมือนกับเนินเขาเล็ก ๆ ก็กระแทกลงบนพื้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งออกมาราวกับสายน้ำ
เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากนี้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำที่อยู่รอบ ๆ ทั้งสิบคน ต่างก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และสายตาที่พวกเขาจ้องมองไปยังเฉินซี เผยให้เห็นร่องรอยของความชื่นชมอย่างเบาบาง แต่จื่อเซวียนยังคงจดจ้องไปที่เฉินซีอย่างแน่วแน่ และแม้ว่านางจะรู้สึกขอบคุณชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตนางไว้อยู่ในใจ ทว่าก่อนที่นางจะค้นพบต้นกำเนิดของเขา นางก็อดไม่ได้ที่จะระแวดระวังอย่างสิ้นเชิง
ช่องเขาเมฆามรกตนี้เป็นแดนสมบัติที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของนาง แต่มันก็เป็นดั่งเนื้อฉ่ำเช่นเดียวกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มีคนจำนวนมากมายที่อยากจะกัดกินมัน ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลที่อยู่เบื้องหลังนางมีอำนาจมหาศาล พวกเขาคงจะไม่สามารถปกป้องแดนสมบัติแห่งนี้ไปตั้งนานแล้ว ในขณะที่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเฉินซีเต็มไปด้วยความน่าสงสัย ดังนั้นนางจะกล้าลดการป้องกันของตนเองลงได้อย่างไร?
“เจ้าเป็นใคร? เจ้าเข้ามาในช่องเขาเมฆามรกตได้อย่างไร” จื่อเซวียนจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะตรวจสอบ พร้อมกับกล่าวอย่างกะทันหัน
เฉินซีตกตะลึง ดูเหมือนเขาจะไม่คาดคิดมาก่อน หลังจากที่เขาได้ช่วยชีวิตนางไว้ สุดท้ายกลับถูกสอบสวนแทน และความรู้สึกไม่พอใจก็พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเขาทันที
“ฮึ่ม! เจ้าหนุ่มคนนี้ดูไม่น่าไว้ใจเลย เขาต้องวางแผนบางอย่างอยู่แน่นอน!” หานเหวินจวินก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรว่า “น้องสาวจื่อเซวียน อย่าได้ถูกหลอกด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเชียว ผู้คนทุกวันนี้ ภายนอกทำตัวเหมือนวีรบุรุษที่คอยช่วยเหลือหญิงสาว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าข้างในพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่? ดังนั้นควรจะต้องระวังเขา”
ทันใดนั้น เฉินซีก็เริ่มหัวเราะขณะที่เขามองไปยังจื่อเซวียน พร้อมกับกล่าวว่า “ทั้งที่ข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าและยังฆ่าสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่กลับกลายเป็นคนชั่วร้ายต่ำที่วางแผนการทรามเสียอย่างนั้น”
จื่อเซวียนรู้สึกลังเลจากคำพูดของเฉินซี
“ฮึ่ม! ด้วยพวกเราทั้งสิบกว่าคนที่นี่ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไร คุณหนูจื่อเซวียนก็ไม่มีทางตกอยู่ในอันตราย เจ้ากล่าวได้เก่งดีนี่ แต่กลับไม่ยอมรับความผิดของเจ้า เจ้ามีเจตนาชั่วร้ายอะไร” หานเหวินจวินตะคอกอย่างเย็นชา
“แล้วมันไปเถอะ ดูเหมือนว่าข้าเองที่เป็นคนแส่และทำสิ่งที่ไม่จำเป็น ดังนั้นข้าขอตัวก่อน” เฉินซีไม่แม้แต่จะเหลือบมองหานเหวินจวินก่อนจะโบกมือแล้วหันกลับไป
“ช้าก่อน ใครอนุญาตให้เจ้าจากไป อย่าหวังว่าจะได้จากไป โดยไม่ให้คำอธิบายที่ถูกต้องแก่เรา!” หานเหวินจวินก้าวไปข้างหน้าและยิ้มอย่างเย็นชาขณะที่เขากล่าว “ข้ายังสงสัยว่าเจ้าได้แอบรวบรวมสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่มากมายในช่องเขาเมฆามรกต ตอนนี้กลับต้องการที่จะแบกสมบัติและหนีไปอย่างนั้นหรือ? ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอกนะ!!”
“ใช่แล้ว จงมอบคลังสมบัติมิติที่เจ้าครอบครองมาซะ และจงแจ้งถึงภูมิหลังของเจ้าให้เราได้ทราบอย่างละเอียด! มิฉะนั้น วันนี้เจ้าจะไม่มีทางหลบหนีไปได้ แม้ว่าจะมีปีกก็ตาม!” ที่ด้านข้างของจื่อเซวียน สาวใช้ที่เรียกว่าเซี่ยวจวินกล่าวอย่างเย็นชา
“โอ้ ไม่เพียงแต่กลายเป็นคนเลวทราม ข้ากลับเป็นหัวขโมยด้วยหรือ?” แม้ว่าอารมณ์ของเฉินซีจะดีขึ้นบ้างแล้วก็ตาม แต่ความเดือดดาลก็เกิดขึ้นในใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้น ทิศทางของเขาเปลี่ยนไปในทันที ทำให้จิตสังหารอันแหลมคมถูกควบแน่นจนมีปริมาณมาก และหลั่งไหลออกจากร่างกายของเขา จนแม้แต่อากาศโดยรอบก็ยังต้องบิดเบี้ยวภายใต้จิตสังหารเช่นนี้
เมื่อครู่ที่ผ่านมา เขายังคงเป็นชายหนุ่มรูปร่างผอมบางที่หล่อเหลาและสงบนิ่ง แต่ในตอนนี้ ตัวเขากลับดูเหมือนเพิ่งเดินออกมาจากภูเขาแห่งซากศพและทะเลโลหิต จนเหมือนโจรร้ายที่อาบไปด้วยเลือดสด ๆ!
ปัง!
แรงกดดันที่ได้รับจากการขัดเกลาผ่านการต่อสู้และการเข่นฆ่าอย่างขมขื่นหลายครั้งหลายครา ได้นำพาดวงวิญญาณและเสียงคร่ำครวญของสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ในห้วงลึกของรอยแยกไป ขณะที่มันปลดปล่อยออกมาโดยไม่มีการยับยั้งแม้แต่น้อย ทันใดนั้น มันทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่ามีใบมีดแหลมคมจ่ออยู่ที่คอของพวกเขา และสีหน้าของพวกเขาก็ซีดลงด้วยความหวาดกลัว
หานเหวินจวินที่ยืนอยู่ต่อหน้าของเฉินซี เป็นคนแรกที่แบกรับแรงกดดัน จึงทำให้ความรู้สึกของเขารุนแรงกว่าคนอื่น ๆ เพียงชั่วพริบตา ความตั้งใจของเขาก็พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ทำให้จิตใจของเขาถูกกลืนกินด้วยความกลัวอันไร้ขอบเขต ราวกับเขาได้ตกลงไปในมหาสมุทรแห่งโลหิต ที่ทุกหนทุกแห่งมีแต่ความน่าเวทนา โหดร้าย และเสียงคร่ำครวญอย่างป่าเถื่อน ราวกับว่าสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนต้องการที่จะคืบคลานออกมาจากนรก เพื่อกลืนกินวิญญาณของเขา!
“ไม่… อย่าฆ่าข้า! ไม่…” ในสายตาของคนอื่น ๆ สีหน้าของหานเหวินจวินซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษ เหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลรินลงมา และดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เขาดูเหมือนกับถูกครอบงำ ในขณะที่เขาร้องอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างน่าสมเพช กระทั่งมีคราบปัสสาวะชื้นเป็นหย่อมใหญ่ที่เป้ากางเกงของเขา เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ปัสสาวะราดเพราะความกลัว
ฟ่อ!
ทุกคนต่างก็อ้าปากค้าง อาศัยเพียงจิตสังหารเท่านั้น คนผู้นี้กลับสามารถครอบงำจิตทำให้ไม่อาจต้านทานได้เลยหรือ? จิตสังหารนี้จะหนาแน่นขนาดไหนกัน? และต้องผ่านศึกมามากมายสักกี่ครั้งจึงจะขัดเกลาจิตสังหารเช่นนี้ได้?
โจรร้าย!
เจ้าคนนี้ย่อมเป็นโจรร้ายที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้อย่างแน่นอน!
ในขณะนี้ สายตาของทุกคนที่จ้องมองไปยังเฉินซี เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
อาจถือได้ว่า เพียงเฉินซียกกระบี่ขึ้นเบา ๆ เพียงชั่วพริบตา หัวของหานเหวินจวินก็จะแยกออกจากร่างกายของเขาและตายในทันที แต่เขากลับไม่ได้ลงมือใด ๆ เพราะการฆ่าเศษสวะเยี่ยงนี้จะทำให้มือของเขาต้องแปดเปื้อนเท่านั้น
ทันใดนั้น จิตสังหารของเฉินซีก็หวนคืนร่างกายของเขา และชายหนุ่มก็ฟื้นคืนรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและไม่ธรรมดาของเขา ก่อนจะหันหลังกลับและจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองผู้อื่น หลังจากช่วยชีวิตผู้คน เขากลับถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวขโมยและเป็นคนชั่วช้า แล้วเขายังจะกล่าวอะไรได้อีก การไม่ฆ่ามันถือว่าเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
“สหายเต๋า โปรดรอสักครู่ ข้าต้องขออภัยแก่ท่าน เป็นพวกเราที่ผิดเองก่อนหน้านี้ โปรดยกโทษให้แก่พวกเราด้วย” จื่อเซวียนดึงสติกลับมาได้และมองไปยังร่างของเฉินซีที่เกือบจะหายไป ขณะที่นางกล่าวออกมาอย่างกระวนกระวายใจ
“ไม่จำเป็น” เฉินซีไม่แม้แต่จะหันมาในขณะที่เขากล่าว
“สหายเต๋า สถานที่แห่งนี้คือช่องเขาเมฆามรกต และมีข้อจำกัดสูงสุด หากไม่มีตราคำสั่งเมฆามรกต เจ้าจะออกไปไม่ได้อย่างแน่นอน” จื่อเซวียนกล่าวออกมาอีกครั้ง
เฉินซีหยุดทันที “หืม ตราคำสั่งและข้อจำกัดหรือ? ดูเหมือนว่าหลิงไป๋จะกล่าวถูกต้อง ข้าได้ตกอยู่ในข้อจำกัดในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้”
“สหายเต๋า พวกเรากำลังจะออกไปเช่นกัน หากไม่รังเกียจก็ออกไปกับพวกเราสิ” เมื่อจื่อเซวียนเห็นเฉินซีหยุดเดิน นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็แนะนำด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย?” เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่เขากล่าว ทัศนคติของสตรีนางนี้เปลี่ยนเร็วเกินไป ดังนั้นเขาต้องคอยระวังตัว
“เพราะข้าคาดเดาได้แล้วว่าสหายเต๋าต้องออกมาจากรอยแยกแห่งความสิ้นหวังอย่างแน่นอน และนั่นคือสถานที่ที่อันตรายที่สุดในช่องเขาเมฆามรกต ซึ่งเต็มไปด้วยแมลงมีพิษที่มีชื่อเสียงในยุคบรรพกาลอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นเส้นทางเดียวจากโลกภายนอกที่จะพาไปสู่ช่องเขาเมฆามรกต ในช่วงแสนปีที่ผ่านมานี้ สหายเต๋าเป็นคนแรกที่เข้าสู่สถานที่แห่งนี้อย่างปลอดภัยจากเส้นทางนั้น และมันก็เหนือความคาดหมายไม่ว่าของผู้ใดก็ตาม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าได้เข้าใจเจ้าผิดไป และข้าต้องขออภัยจริง ๆ” จื่อเซวียนกล่าวขออภัย
“รอยแยกแห่งความสิ้นหวังหรือ? กลายเป็นว่าสถานที่ที่กักขังข้ามาตลอดสองเดือน กลับถูกเรียกว่ารอยแยกแห่งความสิ้นหวัง เฮ้อ มันช่างเป็นสถานที่แห่งความสิ้นหวังจริง ๆ สมกับชื่อของมันแล้ว แต่เต๋าแห่งสวรรค์มักเหลือโอกาสรอดไว้เพียงน้อยนิด ตอนนี้ข้าสามารถออกจากสถานที่นั้นได้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามันขับเคลื่อนด้วยโชคชะตาเช่นกัน” เมื่อเฉินซีนึกถึงสัตว์อสูรจำพวกแมลงพิษที่อันตรายอย่างยิ่งและยังมีหลายชนิด ที่เขาพบเจอในรอยแยก เขาก็เห็นด้วยกับคำอธิบายเช่นนี้
เดิมที จื่อเซวียนเพียงการสอบถามเฉินซี แต่กลับไม่เคยคาดคิดเลยว่า เฉินซีจะเห็นด้วยกับคำอธิบายของนางโดยปริยาย และนางก็รู้สึกตกตะลึงทันที และครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจว่า ‘สหายคนนี้เดินออกมาจากรอยแยกแห่งความสิ้นหวังจริง ๆ หรือ?’
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่คอยดูแลช่องเขาเมฆามรกต นางจึงรู้ถึงทุกซอกทุกมุมภายในช่องเขาเมฆามรกต ราวกับเป็นฝ่ามือของนางเอง ช่องเขานี้ครอบคลุมพื้นที่สองพันห้าร้อยลี้ และถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดเป็นชั้น ๆ แม้ว่ามันจะมีปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์และหนาแน่นอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสมบัติล้ำค่ามากมายจากสวรรค์และโลก แต่ก็มีบางสถานที่ภายในนั้นที่เป็นเขตอันตรายซึ่งเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า หากใครคนหนึ่งต้องตกลงไปในสถานที่เช่นนี้ คนผู้นั้นก็จะมีโอกาสรอดเพียงน้อยนิด และแทบไม่มีใครได้รอดชีวิตออกมาอีกเลย
ในบรรดาสถานที่ของยอดเขาเมฆามรกต รอยแยกแห่งความสิ้นหวังเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดแล้ว
ตั้งแต่เด็ก จื่อเซวียนเคยได้ยินคำเตือนนับไม่ถ้วนและคำสั่งสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากผู้อาวุโสของนาง ซึ่งคอยกำชับไม่ให้เข้าใกล้สถานที่อันตรายเหล่านั้น เมื่อนางเข้าไปในช่องเขาเมฆามรกต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รอยแยกแห่งความสิ้นหวัง
เมื่อนางได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่นางได้ยินตลอดมา รอยแยกแห่งความสิ้นหวังจึงได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามอยู่ภายในใจของจื่อเซวียน และเป็นการดำรงอยู่ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง ซึ่งไม่มีผู้ใดที่จะมีโอกาสรอดชีวิต ทว่าการปรากฏตัวของเฉินซีได้ทำลายทุกอย่างที่นางรู้ และความตกใจที่เกิดขึ้นในใจของนางก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน
แม้ว่ารอยแยกแห่งความสิ้นหวังจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ตามที่ผู้อาวุโสของข้าได้กล่าวไว้ มันก็เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าและหายากอยู่ภายในนั้น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีมูลค่าสูงที่สุดของช่องเขาเมฆามรกตทั้งหมด สมบัติมากมายเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปเมื่อนานมาแล้ว
‘เนื่องจากคนผู้นี้สามารถออกมาจากรอยแยกแห่งความสิ้นหวัง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะได้รับพวกมันมาบ้าง?’ เมื่อจื่อเซวียนคิดถึงจุดนี่ หัวใจของนางก็เต้นอย่างรุนแรง และนางก็ส่งเสียงผ่านกระแสปราณว่า“ข้ามีนามว่าถันไถจื่อเซวียน เป็นคนของตระกูลถันไถแห่งเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ ข้าขอเรียนถามว่าท่านมีนามว่าอะไร และมาจากที่ใดหรือ?”
“ข้าชื่อ เฉินเค่อ เป็นผู้บ่มเพาะพเนจรของเมืองทะเลสาบมังกร” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไป แต่เนื่องจากชื่อเสียงของเขาได้เลื่องลือไปทั่วดินแดนทางใต้อยู่ในตอนนี้ หากกล่าวชื่อที่แท้จริงของเขาออกไป มันอาจชักนำปัญหามากมายเข้ามา ดังนั้นเขาจึงสร้างเอกลักษณ์ใหม่ให้แก่ตนเอง
ในขณะเดียวกัน เขาเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่า เหตุใดหญิงสาวคนนี้ถึงเอ่ยถามผ่านกระแสปราณ? หรือว่านางกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยินเรื่องนี้?
“โอ้ ที่แท้ก็คือสหายเต๋าเฉินเค่อนี่เอง ข้าสงสัยว่าข้าจะทำการค้ากับสหายเต๋าได้หรือไม่” ถันไถจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ และดวงตาที่กระจ่างใสของนางก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ไหนเจ้าลองว่ามาสิ” เฉินซีดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
“สหายเต๋าได้ออกมาจากรอยแยกแห่งความสิ้นหวัง และข้าคิดว่าท่านต้องได้รับวัตถุที่หายากและมีค่าบางอย่าง ดังนั้นข้าจึงขอเสนอราคารับซื้อทั้งหมดเอง อย่าได้กังวลสหายเต๋า ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องขาดทุนอย่างแน่นอน ท่านว่าอย่างไรล่ะ?” จื่อเซวียนกล่าวตามความคิดของนาง
เฉินซีนิ่งเงียบไป เป็นเพราะคำขอนี้ทำให้เขาตระหนักได้ และเริ่มพิจารณาถึงผลที่ตามมาหากผู้บ่มเพาะคนอื่นรู้เรื่องนี้ ซึ่งอันที่จริง หลังจากเผชิญกับการต่อสู้เป็นเวลาสองเดือน มูลค่าของวัตถุต่าง ๆ ที่เขาได้รับนั้น ก็มาถึงระดับที่ไม่สามารถประเมินค่าได้แล้ว ถ้าหากคนอื่นรู้ถึงเรื่องนี้ คงจะกระตุ้นเจตนาร้ายของพวกเขาอย่างแน่นอน
“อย่าได้กังวลเลยสหายเต๋า ตระกูลถันไถของข้าได้ควบคุมหอการค้าอันดับหนึ่งภายในเมืองห้วงทะเลทรายมรณะ หอการค้าของเราจะให้ราคาที่ยุติธรรมและชื่อเสียงของเรายังรับประกันได้” ถันไถจื่อเซวียนย้ำ ขณะตีเหล็กตอนที่กำลังร้อน เมื่อนางเห็นเฉินซีไม่ได้ตอบปฏิเสธ
“แล้วเราจะค่อยสนทนากัน หลังจากที่ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของหอการค้าของเจ้า” เฉินซีไม่ปฏิเสธ และเขาก็ไม่ได้ยอมรับในทันที
“ตกลง!” ถันไถจื่อเซวียนแย้มยิ้ม นางรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะนางมั่นใจเหลือเกินว่า เมื่อสหายที่มีนามว่าเฉินเค่อคนนี้ได้เห็นความแข็งแกร่งของตระกูลของนางแล้ว การค้าครั้งนี้ย่อมจะไร้ที่ติอย่างแน่นอน
โอ้ ถ้าข้าสามารถซื้อสมบัติที่มีค่าจากสหายคนนี้ได้ มันจะเป็นผลงานครั้งใหญ่อย่างแน่นอน และท่านพ่อและผู้อาวุโสจะต้องมองข้าในมุมที่ต่างออกไปเป็นแน่แท้ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอคนที่ออกมาจากรอยแยกแห่งความสิ้นหวังจริง ๆ การเดินทางครั้งนี้ นับเป็นบุญกุศลมหาศาลที่ฟ้าประทานมาให้แล้ว…
ในเวลาเดียวกับที่เฉินซีและถันไถจื่อเซวียนกำลังสื่อสารผ่านกระแสปราณอย่างเงียบ ๆ หานเหวินจวินและสาวใช้ตัวน้อยเซี่ยวจวิน กำลังสนทนากันผ่านกระแสปราณอยู่ที่อีกด้านหนึ่งเช่นกัน