บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1820 อับอายขายหน้า
บทที่ 1820 อับอายขายหน้า
แม้เชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงจะตั้งเป้าไปที่เฉินซี กระทั่งขู่ว่าจะจับกุมตัวเฉินซี และส่งมอบชายหนุ่มให้กับสำนักศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟื้นฟูความร่วมมือกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ คนในตระกูลส่วนใหญ่ก็ยังคงนิ่งเงียบ
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาลังเลและไม่สามารถตัดสินใจได้
มีเพียงเชินถูเป้าเท่านั้นที่มีจุดยืนชัดเจน และเขาก็คัดค้านอย่างรุนแรง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เชินถูเยียนหรานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน และนางก็เดือดดาลอยู่ในใจ พักหนึ่งก็ไม่สามารถทนดูต่อได้พร้อมกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ให้ข้าดูว่าใครกล้าทำเช่นนั้น!”
ทันทีที่กล่าววาจาเหล่านี้ ใบหน้าของเชินถูหมิงต้าก็หมองลง “เยียนหราน เนื่องเพราะเจ้าได้ก่อปัญหา ท่านทูตของสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง แล้วนี่เจ้ายังตั้งใจจะก่อปัญหาต่อไปอีกหรือ?”
“เยียนหราน มันไม่ผิดที่จะรักษามิตรภาพของเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังคงปฏิเสธที่จะรักษาระยะห่างจากสหายของเจ้าคนนี้ มันจะไม่ใช่แค่เจ้าที่ต้องทุกข์ทรมานในท้ายที่สุดเท่านั้น แต่จะเป็นตระกูลเชินถูของเราทั้งหมด! เจ้าจะรับผิดชอบต่อบาปดังกล่าวได้หรือไม่!?” เชินถูซิงตวาดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ และเขาต้องการให้เชินถูเยียนหรานรักษาระยะห่างจากเฉินซี
“ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซี ข้าคงถูกพวกเจ้าทุกคนบังคับให้เข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์!” ใบหน้าของเชินถูเยียนหรานเย็นชาดุจน้ำแข็ง และนางก็ไม่ได้ถอยกลับแม้แต่น้อย ทั้งยังพยายามต่อสู้เพื่อจุดยืนของตนเองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ น้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเช่นกัน
ใบหน้าที่งดงามสุดเปรียบปานของนางแดงระเรื่อ ในขณะที่ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง นางโกรธแค้นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะนางไม่เคยคาดคิดว่าเชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงจะทำตัวไร้ยางอายในเวลาเช่นนี้
…การที่พวกเขาตั้งใจจะจับกุมเฉินซีเพื่อให้ได้รับการอภัยจากสำนักศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้นับว่าทำเกินไป!
“เฉินซี?” เชินถูเป้าเผยท่าทางเข้าใจทันที
“เฉินซี…” ในขณะนี้ ผู้นำตระกูลเชินถู เชินถูชิงหยวน ผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาโดยตลอด จู่ ๆ ก็มีท่าทางซับซ้อน และดูเหมือนกับว่าภาระได้ถูกยกออกจากบ่าของเขา
“เฉินซี!” เมื่อสมาชิกหลายคนของตระกูลเชินถูได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งทื่อ คล้ายไม่เชื่อเป็นอย่างยิ่ง
ในทางกลับกัน เมื่อเห็นว่าเชินถูเยียนหรานนั่นดื้อด้าน เชินถูหมิงต้าก็อดไม่ได้ที่จะตวาดเสียงดังว่า “ใครสนใจว่าเขาจะเป็นใคร? เราต้องทำให้เขา….”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี่ จู่ ๆ เขาก็ตระหนักถึงบางเรื่อง และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไป กอปรกับอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “เฉินซี?! เฉินซีคนไหนกัน?”
“เฉินซีหรือ? ใช่ศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์ เฉินซีคนนั้นหรือเปล่า?” ร่างกายของเชินถูซิงสั่นเทา ขณะที่เขากล่าวด้วยความไม่เชื่อ
ชั่วขณะหนึ่ง บริเวณโดยรอบเงียบกริบเป็นป่าช้า มีเพียงเสียงของบิดาบุตรคู่นี้ที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ และความสับสนเท่านั้นที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง
ทุกคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ประหลาดใจ ตกตะลึงเข้าใจ สงสัย และอื่น ๆ เป็นต้น
“นอกจากเขาแล้ว จะมีใครกล้าเผชิญหน้ากับสำนักศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ?” เมื่อเห็นสิ่งนี้ เชินถูเยียนหรานก็เข้าใจทันทีว่าไม่จำเป็นต้องปกปิดมันต่อไป นางจ้องมองไปที่เชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงด้วยท่าทางเย้ยหยัน แล้วกล่าวว่า “แม้แต่กงซุนมู่ก็รู้สึกว่าทาปาชวนไม่ใช่คู่มือเฉินซี อีกทั้งตัวเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้และจากไป แต่กลับมีคนไม่เต็มใจที่จะยอมรับผลลัพธ์ดังกล่าว มันช่างน่าหัวร่อเสียจริง”
เพียงประโยคสั้น ๆ ก็ยืนยันตัวตนของเฉินซี และเยาะเย้ยเชินถูหมิงต้ากับเชินถูซิงได้ในคราวเดียว มันทำให้สีหน้าของคนตระกูลเชินถูซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีกำหนด
ใครจะจินตนาการได้ว่าสหายคนนี้จะเป็นศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์จริง ๆ!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชินถูหมิงต้าและเชินถูซิง ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวไร้สีเลือด ราวกับถูกฟ้าผ่าตอนกลางวันแสก ๆ และพวกเขาก็ตกตะลึงทันที
ก่อนหน้านี้ เมื่อทูตของสำนักศักดิ์สิทธิ์ กงซุนมู่และคนอื่น ๆ ไม่ได้มาถึงโถงหลัก เชินถูชิงหยวนได้ประกาศข่าวที่สร้างความสะเทือนไปทั่วใต้หล้า และทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเฉินซี
ตัวอย่างเช่น การทำลายล้างทายาทของตระกูลเยี่ยแห่งตระกูลนิรันดร์ เยี่ยเฟิง สังหารกลุ่มของจักรพรรดิหนานตู้….
แม้แต่การเผชิญยอดคนที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตอย่างจักรพรรดิจื่อเว่ย ก็ไม่ลังเลที่จะโจมตีอย่างกล้าหาญ เพื่อชดใช้บุญคุณที่เขาเป็นหนี้ …ที่สำคัญคือชายผู้นี้ได้ทำลายล้างกลุ่มของจักรพรรดิไท่จิ้งกับห้าขุนพลวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากนิกายอำนาจเทวะไปอีกด้วย!
ในเวลานั้น เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวนี้ ทั้งเชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงก็ตกตะลึงในใจ ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
แต่ใครจะคาดคิดได้ว่าชายหนุ่มที่พวกเขารู้สึกเกลียดชังและตั้งใจจะจับกุมนั้น แท้จริงแล้วคือเฉินซี!?
ชั่วขณะหนึ่งบิดาบุตรคู่นี้รู้สึกเหมือนมีคนฟาดพวกเขาจากด้านหลัง จิตใจของพวกเขาสับสนเล็กน้อย ทั้งยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์ เฉินซี!
ศิษย์น้องของผู้ยิ่งใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน!
พวกเขาจะกล้าล่วงเกินบุคคลเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในขณะนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงการจับกุมเฉินซี เชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงนั่นเพียงแต่ไม่หวังอะไรมากไปกว่าแทรกแผ่นดินหนี มันช่วยไม่ได้ สถานการณ์ปัจจุบันน่าขายหน้าเกินไปจริง ๆ นอกจากทำให้พวกเขาจนวาจาแล้ว ความหวาดกลัวก็พลุ่งพล่านในใจของเขาอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อหวนคิดว่าพวกเขาได้ล่วงเกินศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์ เพื่อที่จะประจบประแจงเหล่าศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ บิดาบุตรคู่นี้ก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออกอย่างยิ่ง
“เฮ้อ พี่ใหญ่หนอพี่ใหญ่ เจ้าทั้งคู่คิดยกก้อนหินให้คนอื่นขว้าง แต่กลับหล่นใส่เท้าของตัวเองแทน” เชินถูเป้าถอนหายใจด้วยน้ำเสียงประชดเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ เจ้าทั้งสองควรออกไปก่อน” ในท้ายที่สุด เชินถูชิงหยวนเป็นคนกล่าว เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นเชินถูหมิงต้าและเชินถูซิงต้องอับอายขายหน้าไปมากกว่านี้
“ข้า….” เชินถูหมิงต้ากล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง แต่เขากลับลังเลที่จะกล่าว ในท้ายที่สุด เขาก็ถอนหายใจ จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินนำเชินถูซิงออกไป
ในสายตาของทุกคน รูปร่างของเขาดูอ้างว้างโดดเดี่ยว และชวนให้ผู้อื่นรู้สึกสงสารจับใจ
เฉินซีไม่ได้ถือสาเอาความต่อเรื่องนี้ และเขาก็ไม่สามารถเอาความเรื่องนี้ได้เช่นกัน ในท้ายที่สุด เชินถูหมิงต้าเป็นคนของตระกูลเชินถู และยังเป็นลุงของเชินถูเยียนหราน ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่เขาจะขุดคุ้ยเรื่องนี้ต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ได้เห็นบิดาบุตรคู่นี้จากอย่างอับอายเช่นนี้ ก็เท่ากับพวกเขายอมรับความผิดพลาดโดยปริยาย ซึ่งก็นับว่าหาได้ยากแล้ว
…
หลังจากนั้น เชินถูชิงหยวนก็ปลดสมรภูมิศึกปีศาจออก และขอให้คนอื่น ๆ ทั้งหมดออกไป โดยเหลือเพียงเฉินซี เชินถูเยียนหราน เชินถูเป้าและอีกสองสามคนเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า! วิเศษนัก! สมกับเป็นศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์จริง ๆ” เชินถูชิงหยวนไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป ขณะที่จ้องมองไปยังเฉินซีซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ บุตรสาวของเขาในห้องโถง และแสดงความชื่นชมอย่างไม่กระดากอาย
“ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว” เฉินซียิ้ม
“เพื่อบอกความจริงแก่เจ้า ข้าคาดเดาตัวตนของเจ้าได้ราง ๆ ก่อนหน้านี้ แต่ข้าไม่กล้ายืนยัน ข้าถือเป็นเจ้าบ้านที่ใช้การไม่ได้โดยแท้ หวังว่าเจ้าจะอภัยให้ข้าด้วย” ในขณะนี้ เชินถูชิงหยวนดูเหมือนจะตรงไปตรงมามาก และเขาเป็นฝ่ายยอมรับเองว่าเหตุผลที่นิ่งดูดายก่อนหน้านี้ เนื่องเพราะเขาไม่สามารถยืนยันตัวตนของเฉินซีได้
“ข้าเข้าใจ” เฉินซีตระหนักดีว่า การที่ท่าทีของเชินถูชิงหยวนเปลี่ยนไปเช่นนี้ เนื่องเพราะเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเชินถูเยียนหราน แต่ที่สำคัญที่สุด เป็นเพราะตัวตนของเขาในฐานะศิษย์เอกของเขาเทพพยากรณ์
“เฮ้อ ข้ารู้สึกผิดเล็กน้อย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็นมันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โชคดีที่เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยตระกูลเชินถูของข้าจัดการกับเภทภัยที่เผชิญอยู่ ไม่อย่างนั้น ข้าคงไม่รู้จริง ๆ ว่าข้าจะปฏิเสธคำขอของสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร” เชินถูชิงหยวนถอนหายใจ
เฉินซีตกตะลึง เขาเข้าใจทุกสิ่งทันทีว่าเชินถูชิงหยวนได้ตัดสินใจเมื่อนานมาแล้ว และอีกฝ่ายไม่มีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับสำนักศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากสามารถทำให้ผู้นำตระกูลอยู่ในตำแหน่งที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สำนักศักดิ์สิทธิ์กดดันอีกฝ่ายมากปานใด
“ท่านพ่อ ตอนนี้เรื่องราวได้รับการคลี่คลายแล้ว ดังนั้นท่านไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้อีก” เมื่อเห็นเชินถูชิงหยวนถอนหายใจไม่หยุดหย่อน เชินถูเยียนหรานซึ่งเป็นบุตรีของเขาก็ทนเห็นสิ่งนี้ต่อไปไม่ได้
“เรื่องนี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว แต่มันทำให้เฉินซีเป็นเหมือนเกราะป้องกันสำหรับตระกูลเชินถูของเรา และเขาได้ล่วงเกินเหล่าศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุนี้ ข้ารู้สึกละอายกับเรื่องนี้” เชินถูชิงหยวนขมวดคิ้วขณะกล่าว
เฉินซีครุ่นคิดในใจว่า “อย่างน้อยเชินถูชิงหยวนผู้นี้ก็รู้จักแยกแยะถูกผิดได้อย่างชัดเจน การกระทำของข้าไม่สูญเปล่าแล้ว”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ให้คำสัญญากับเฉินซีบางอย่าง เพื่อเป็นการชดเชยความรู้สึกผิดที่ท่านพ่อมี” เชินถูเยียนหรานเม้มริมฝีปากของนางแล้วยิ้ม
“โอ้? มันคืออะไรรึ? รีบบอกข้าเร็ว! ตราบใดที่ข้าสามารถทำมันให้สำเร็จได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน” ดวงตาของเชินถูชิงหยวนสว่างวาบ เขาตอบตกลงด้วยความเต็มใจ
เชินถูเยียนหรานบอกเขาทันทีเกี่ยวกับเหตุผลที่เฉินซีมาที่ตระกูลเชินถู
“เขาต้องการยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเพื่อมุ่งหน้าไปยังดาราจักรอนันตะหรือ? นั่นง่ายมาก” หลังจากที่ทราบทุกอย่างแล้ว เชินถูชิงหยวนก็มองไปที่เชินถูเยียนหรานด้วยสายตาแปลก ๆ จากนั้นจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลก ๆ จากบิดานาง หัวใจของเชินถูเยียนหรานพลันสั่นเทาอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงคลื่นความงุนงง
“ขอบคุณผู้อาวุโส” เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว เขาจึงแย้มยิ้มพลางประสานมือคารวะเชินถูชิงหยวน
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เนื่องจากเจ้าเป็นสหายของหรานเอ๋อร์ เจ้าจึงไม่ใช่คนนอก ดังนั้นคราวหน้าเรียกข้าว่าท่านลุงก็พอ ฮ่า ๆ” เชินถูชิงหยวนหัวเราะเสียงดัง
“ผู้เยาว์ทราบแล้ว” เฉินซียิ้มเช่นกัน
เชินถูเยียนหรานอดไม่ได้ที่จะมีความสุขในใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ และนางก็ค่อนข้างยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นว่าเฉินซีได้รับการยอมรับจากบิดาของนาง
เชินถูเป้าเอ่ยถามจากด้านข้างว่า “ว่าแต่เฉินซี เจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด?”
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากออกเดินทางบัดนี้เลย” เฉินซีกล่าวหลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง
“ไฉนเจ้าถึงรีบร้อนขนาดนี้” หัวใจของเชินถูเยียนหรานกระตุก
“ตลอดทางที่มายังที่แห่งนี้ ข้าได้ล่วงเกินผู้คนมากมาย และพวกเขาอาจกำลังไล่ล่าข้าอยู่ ดังนั้นคงไม่เหมาะที่ข้าจะรั้งอยู่ที่นี่นานเกินไป” เฉินซีไม่ได้ปิดบังอะไรและตอบตามความเป็นจริง “มีเพียงการกลับไปยังนิกายเท่านั้น ที่จะสามารถแก้ไขเรื่องทั้งหมดนี้ได้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเชินถูเยียนหราน เชินถูชิงหยวน หรือเชินถูเป้า พวกเขาต่างหยุดเกลี้ยกล่อมเฉินซี เพราะพวกเขาทราบชัดเจนว่า เมื่อเปรียบเทียบกับศัตรูของเฉินซี กองกำลังของตระกูลเชินถูของพวกเขาไม่สามารถปกป้องเฉินซีได้จริง ๆ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่ขอให้เจ้าอยู่ต่อ ตามข้ามา” เชินถูชิงหยวนลุกขึ้นยืนทันที เขานำเฉินซีออกจากโถงหลัก ตั้งใจที่จะเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเป็นการส่วนตัว และส่งเฉินซีออกไป
เชินถูเยียนหรานขบเม้มริมฝีปากแดงของนาง จากนั้นก็ติดตามพวกเขาไป