บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1821 ดอกบัวสีเขียวและเมฆสีม่วง
บทที่ 1821 ดอกบัวสีเขียวและเมฆสีม่วง
โอม!
คลื่นพลังผันผวนที่แปลกประหลาดและคลุมเครือก่อตัวขึ้นจากค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน
อักขระหนาแน่นเปล่งขึ้นรอบ ๆ ค่ายกล พวกมันเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์อันลุกโชน ซึ่งโอ่อ่าและน่าทึ่ง
แม้แต่เสียงของทวยเทพที่ท่องพระสูตร หรือเสียงถอนหายใจด้วยความสรรเสริญของปราชญ์ก็ดังก้องกังวานมาจากค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ โดยเสียงเหล่านั้นได้ดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน
เช่นเดียวกับที่เยี่ยเหยียนได้อธิบายไว้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติดังกล่าวไม่เหมือนกับค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติทั่วไป พลังของมันสามารถข้ามมิติและกาลเวลา เชื่อมโยงกับดาราจักรทั้งแปดพันแห่งของเอกภพจักรวรรดิ มันลึกซึ้งและไม่อาจจินตนาการถึงได้
มีเพียงมหาอำนาจชั้นนำในเอกภพจักรวรรดิที่มีทรัพยากรและรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างตระกูลเชินถูเท่านั้น ที่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติเช่นนี้ได้
“ขอบคุณมาก” เฉินซีประสานมือคารวะขณะที่ยืนอยู่ภายในค่ายกล
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น หากภายหน้าเจ้าพอมีเวลาว่าง ก็เชิญมาที่นี่ได้เสมอ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะจัดเตรียมทุกอย่างสำหรับการมาเยี่ยมเยียนของเจ้าอย่างแน่นอน” เชินถูชิงหยวนกล่าวอย่างเบิกบานพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังจากนอกค่ายกล
“เมื่อเจ้าเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าที่จัดขึ้นโดยห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ ข้าจะไปดูและให้กำลังใจเจ้าแน่นอน” เชินถูเยียนหรานกล่าวอย่างจริงจัง ดวงตาที่สุกใสของนางอ่อนโยนราวกับน้ำ ในขณะที่ใบหน้างดงามสุดเปรียบปานของหญิงสาวก็เผยรอยยิ้มจากใจจริง และถ้อยคำของนางก็เต็มไปด้วยความปรารถนาดี
เฉินซียิ้มและพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
“หลานชาย เจ้าก็ถนอมตัวด้วย” เชินถูชิงหยวนหัวเราะอย่างเบิกบาน ก่อนจะเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
โอม!
ในช่วงเวลาถัดมา แสงศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งออกไปรอบ ๆ จนทะลุถึงเก้าชั้นฟ้า ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติส่งเสียงดังก้องไปทั่วสวรรค์ และเมื่อทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง ร่างของเฉินซีก็หายไปจากบริเวณโดยรอบแล้ว
“เขาไปแล้ว…” เชินถูเยียนหรานพึมพำ ดวงตาที่สุกใสของนางเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
เชินถูชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะถามเมื่อเห็นสิ่งนี้ “เยียนหราน เจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเฉินซีคนนั้นกัน?”
“ความสัมพันธ์อันใดหรือ? ท่านพ่อกำลังกล่าวถึงเรื่องใด?” เชินถูเยียนหรานตกตะลึง นางเผยท่าทางลำบากใจที่หาได้ยาก ก่อนที่นางจะทำตัวผ่อนคลาย
หลังจากนั้นก็ทอดถอนใจ และหัวเราะเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ ขณะที่เราอยู่ในโถงหลัก ข้าคิดว่าเฉินซีมาที่ตระกูลเชินถูของเราเพื่อขอคำอนุญาตแต่งงานจากข้า ดูเหมือนข้าจะคิดไปเอง”
เชินถูเยียนหรานรู้สึกเขินอายอย่างยิ่งทันที ใบหน้าอันงดงามของนางแดงระเรื่อ ขณะที่กล่าวอย่างแง่งอนว่า “ท่านพ่อ!” นางดูอ่อนโยนและเหนียมอายเหมือนสาวน้อยตัวเล็ก ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าล้อเล่นนะ” เชินถูชิงหยวนหัวเราะอย่างเบิกบาน พลางไพล่มือไว้ด้านหลังและสืบเท้าก้าวยาว ๆ จากไป พร้อมกับพึมพำว่า “แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ มันจะไม่วิเศษกว่าหรือ? หากเจ้าสามารถเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ได้”
เขาค่อย ๆ หายไปในระยะไกล แต่เสียงของเขาก็เข้าหูของเชินถูเยียนหราน และมันทำให้นางหน้าแดงด้วยความเขินอาย ยิ่งไปกว่านั้น นางยังนึกถึงร่างของเฉินซีในใจอย่างไม่รู้ตัว จนพานนึกถึงประสบการณ์ของพวกเขาในซากโบราณสถานรกร้างหมานกู่…
ชั่วขณะหนึ่ง นางก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง
ชั่วครู่ใหญ่ เชินถูเยียนหรานถึงกลับมามีสติอีกครั้ง จากนั้นก็ทอดถอนใจ ก่อนที่จะหัวเราะเย้ยตัวเองและส่ายศีรษะไม่รู้จบ
“มันคงวิเศษแท้ แต่น่าเสียดายที่ชายคนนั้นไม่ได้ให้ค่าความสำคัญกับความรักถึงเพียงนั้น”
…
อวกาศเคลื่อนคล้าย ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ ภาพอันบิดเบี้ยวและแปลกประหลาดปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในทัศนวิสัยของเขา และพวกมันก็วูบวาบราวกับเงาที่ผ่านไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ทั้งหมดนี้ก็หายไปทันที เฉินซีรู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้านไปหมด และในเวลาต่อมา เขาก็มาถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวซึ่งไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
“นี่คงเป็นดาราจักรอนันตะ…”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสิ่งนี้ และรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
ตั้งแต่เขาออกจากอารามไท่ชูมาจนถึงบัดนี้ เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งปี แต่ในช่วงเวลานี้ เขาได้ประสบกับการไล่ล่ามากมาย ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจตกอยู่ในความตึงเครียดมาโดยตลอด
ทว่าในขณะนี้ เมื่อมาถึงดาราจักรอนันตะ ชายหนุ่มก็ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะยังมาไม่ถึงเขาเทพพยากรณ์ แต่หัวใจของเขาก็แสนมั่นคงและโล่งใจ
เฉินซีล้วงเอาแผ่นหยกที่อู๋เซวี่ยฉานมอบให้เขาออกมาอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็บดขยี้มันเบา ๆ
แกร๊ก!
แผ่นหยกกลายเป็นประกายแสงที่กระจายออกไปโดยรอบ จากนั้นทางเดินที่ดูเหมือนกระแสน้ำวนก็ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในอวกาศ
“มันมหัศจรรย์จริง ๆ นี่อาจเป็นเคล็ดวิชาเชื่อมต่อมิติประเภทหนึ่งในเต๋าแห่งยันต์อักขระ” เฉินซียิ้ม จากนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วก้าวเท้าเข้าไปในทางเดิน
…
ในแดนเทพโบราณทั้งหมด มันเหมือนกับการดำรงอยู่สูงสุดที่คนอื่นทำได้เพียงแหงนหน้ามองดูเท่านั้น
ทว่าเมื่อเทียบกับตำหนักเต๋าหนี่หวา นิกายอำนาจเทวะ สำนักเต๋า และสำนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาเทพพยากรณ์ถือได้ว่าเป็นนิกายที่ลึกลับที่สุด
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนในแดนเทพโบราณทั้งหมด ที่เคยเห็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ปรากฏตัว และสิ่งนี้ได้ขับความลี้ลับให้กับเขาเทพพยากรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สะท้านโลกาเกิดขึ้นในแดนเทพโบราณ เงาของเขาเทพพยากรณ์ก็จะปรากฏขึ้นที่นั่นอย่างแน่นอน
เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาเทพพยากรณ์แพร่กระจายไปทั่ว และเป็นที่รู้จักของทุกสรรพชีวิต
แน่นอนว่าพวกเขารู้เพียงชื่อของเขาเทพพยากรณ์เท่านั้น แต่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับมรดกของเขาเทพพยากรณ์ และแม้แต่ที่ตั้งของมันหรือจำนวนศิษย์ที่มีอยู่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ในโลกไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ทรัพยากรและรากฐานของเขาเทพพยากรณ์นั้นลึกล้ำแค่ไหน!
โอม!
มันเหมือนกับผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนานนับไม่ถ้วน แต่ก็ราวกับผ่านไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น เฉินซีรู้สึกว่าภาพตรงหน้าวูบวาบเรือนราง จากนั้นก็มาถึงเบื้องหน้าภูเขา
ภูเขาลูกนี้สูงตระหง่าน งดงาม และดูเหมือนจะแบกท้องฟ้าเอาไว้ มันตั้งตระหง่านทะลุก้อนเมฆ และมีหมอกปกคลุมไปทั่ว ยิ่งกว่านั้น แสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็หลั่งไหลออกมาจากมัน ในขณะที่แสงอันเป็นมงคลโปรยปรายลงมา
มันสูงเกินไปจริง ๆ และดูเหมือนทะลุผ่านท้องฟ้า หากใครยืนอยู่ตรงหน้ามันก็คงรู้สึกตัวเล็กเหมือนมด
แม้แต่เฉินซีก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ภูเขานี้ถูกปกคลุมไปด้วยพลังแห่ง ‘โชคลาภ’ ดูเหมือนว่าความลับของสวรรค์และรัศมีของเต๋าจะมาบรรจบกันที่นี่ ทำให้เกิดฉากอันยิ่งใหญ่ที่ทั้งฟ้าดินเป็นเหมือนเต๋า และเต๋าเป็นไปตามธรรมชาติ
“นี่คือที่ตั้งของเขาเทพพยากรณ์ในแดนเทพโบราณหรือ?” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า แม้จะดูเหมือนเป็นเพียงภูเขาลูกเดียว แต่ก็เทียบได้กับโลกทั้งใบ คล้ายกับมีพื้นที่อันไร้ขอบเขต และเมื่อมีใครเข้าไปในภูเขาโดยบังเอิญ คนคนนั้นก็อาจจะหลงทางและไม่สามารถหาทางออกได้
สถานที่แห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับสวนศักดิ์สิทธิ์ไท่ชู และวิหารศักดิ์สิทธิ์ของปรมาจารย์เซวียนที่เขาเคยเห็นในอดีตมาก ทั้งหมดได้แยกตัวจากโลกภายนอก และคล้ายกับอยู่คนละโลก
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่เหมือนกับพวกเขาเช่นกัน เพราะเฉินซีสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีของ ‘เต๋า’ ที่นี่ได้อย่างชัดเจน และมันมีอยู่ทุกที่
หากใครทำการบ่มเพาะและเข้าใจเต๋าที่นี่ ก็จะง่ายกว่าที่เคยเป็นในโลกภายนอก มันเหมือนกับการอาศัยอยู่ในแหล่งกำเนิดของเต๋า และมันมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ทั้งยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการสร้างสถานที่ดังกล่าวถือได้ว่าวิเศษ และเป็นสุดยอดแห่งการสรรค์สร้าง
หลังจากยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เฉินซีก็ถอนสายตาออกไป และจิตใจของเขาก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
มีทางเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวอยู่ข้างหน้า ต้นไม้โบราณห้อยลงมาจากด้านข้างของทางเล็ก ๆ โดยมีหญ้าปกคลุมอยู่ และสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์หายากจำนวนมากก็เติบโตรอบ ๆ ทางนั้น นอกจากนี้ พวกมันยังแผ่แก่นแท้ของสวรรค์ และกลิ่นหอมหวานก็หลั่งไหลลงมาสู่บริเวณโดยรอบ
เฉินซีวางมือไว้ด้านหลัง ขณะที่เขาเดินไปตามทางเล็ก ๆ ตลอดทางเขามักจะสังเกตเห็นต้นสนสีเขียวตั้งตระหง่านสูงใหญ่ น้ำตกเชี่ยวกราก น้ำพุที่ไหลริน ลำธารใสที่เรียงรายไปด้วยดอกไม้และสมุนไพรแปลกตา ทั้งยังมีผลไม้ป่าล้ำค่ากระจัดกระจายอยู่ทั่ว มันเป็นฉากที่งดงามราวกับภาพวาดอันวิจิตรและเงียบสงบ
ขณะที่เขาเดินบนทางเล็ก ๆ จิตใจก็รู้สึกสงบโดยไม่รู้ตัว มันคล้ายกับยืนอยู่เหนือโลก หลุดพ้นจากพันธนาการของโลกมนุษย์ และเกือบจะท่องไปพร้อมมหาเต๋า
มันวิเศษอย่างแท้จริง
มันเหมือนกับที่พำนักของเทพเจ้าโดยกำเนิดตั้งแต่สมัยบรรพกาล และชะตากรรมของมหาเต๋าก็เติมเต็มบริเวณโดยรอบ!
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เฉินซีกำลังเดินไปตามทางเล็ก ๆ ทันใดนั้นคลื่นเสียงก็ดังออกมาจากระยะไกล
“อย่ากล่าวถึงมหาเต๋า และแสวงหาความจริงในใจเท่านั้น ข้าเข้าใจถึงความลึกซึ้งของการขัดเกลาดวงจิตแห่งเต๋าแล้ว อีกไม่นานข้าก็จะได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสซิงเจิน และจะกลายเป็นศิษย์ของเขา”
“หลิงเค่อ ในใจของเจ้าเต็มไปด้วยความปรารถนา ดังนั้นความเข้าใจของเจ้าจึงด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้ายังหวังที่จะได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสซิงเจินอีกหรือ? นี่คือดวงจิตแห่งเต๋าที่เจ้ามีหรือ? มันไม่น่าหัวร่อเกินไปหน่อยรึ?”
“อวิ๋นชิงเจ้าไม่เข้าใจ แม้ว่าจะมีบางสิ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจ แต่เราต้องซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตนเอง ปล่อยให้มันเหมือนแหนที่ไหลตามกระแส นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสซิงเจินกล่าวไว้”
เฉินซีตกตะลึง “มีคนกำลังถกเรื่องเต๋าจริง ๆ เหรอ?”
เขาเดินไปข้างหน้าและสังเกตเห็นที่ราบกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้าผาที่ไหล่เขา ก้อนหินโบราณกองอยู่ตรงนั้น ขณะที่ต้นไผ่เขียวเอนไหวตามแรงลม นอกจากนี้ น้ำตกยังตกลงมาราวกับมังกรขาว เกิดเป็นละอองน้ำที่เหมือนไข่มุกอันล้ำค่า ก่อนจะร่วงลงสู่สระน้ำสีฟ้า
ที่นั่นมีร่างสองร่างยืนอยู่ข้างสระน้ำ ทั้งคู่ยังเป็นผู้เยาว์ คนหนึ่งสวมชุดสีเทา มีใบบัวสีเขียวอยู่บนศีรษะ คิ้วหนา ดวงตากลมโต มีท่าทางที่น่าประทับใจ และร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังกดดัน
อีกคนหนึ่งมีผมขดเป็นมวย ริมฝีปากแดง ฟันขาว รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา และทั่วร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหมอกสีม่วง นอกจากนี้ ท่าทางของเขายังพิเศษและมีชีวิตชีวาเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ
เฉินซีเหลือบมองและเห็นรูปแบบที่แท้จริงของพวกเขาทันที คนแรกเกิดจากดอกบัวสีเขียว ส่วนคนหลังเป็นเมฆสีม่วง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เด็กทั้งสองคนนี้แท้จริงแล้วเป็นวิญญาณสองดวงที่ถือกำเนิดในฟ้าดิน!
“แท้จริงกลับเป็นดอกบัวสีเขียวและเมฆสีม่วงกำลังถกเต๋าอยู่ที่นี่ น่าสนใจนัก..” เฉินซีหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เขาสังเกตเห็นว่าเด็กสองคนนี้เพิ่งเริ่มบ่มเพาะในเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และเพิ่งกลายร่างเป็นมนุษย์
การบ่มเพาะของพวกเขาอาจถือว่าไม่แข็งแกร่งเลย แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมและหายากก็คือรากฐานของทั้งสองนั้นบริสุทธิ์สะอาด มันไม่แปดเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกแม้แต่น้อย ดังนั้นพรสวรรค์ตามธรรมชาติของพวกเขาจึงค่อนข้างโดดเด่น
หากเป็นในโลกภายนอกอาจกล่าวได้ว่า มันถือเป็นต้นกล้าที่ดีซึ่งมีเพียงหนึ่งในล้าน และมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม
“สหายเต๋า ทำไมเจ้าถึงหัวเราะ หรือว่าข้าเข้าใจผิด?” เด็กหนุ่มที่มีผมม้วนเป็นมวย ริมฝีปากสีแดงและฟันขาวกล่าวขึ้น แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นเฉินซี แต่เขาไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของเฉินซีที่นี่
“ถูกของเจ้า คนเราจะสามารถบรรลุสิ่งยิ่งใหญ่ได้ ก็ต่อเมื่อมีสิ่งที่ยึดมั่นอยู่ในใจ แต่สิ่งที่เจ้าควรรักษาไว้คือดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้าเอง หาใช่ความคิดปรารถนา” เฉินซีชี้แนะอย่างผ่อนคลาย
“สหายเต๋าผู้นี้กล่าวถูกแล้ว ความลึกซึ้งที่หลิงเค่อเข้าใจนั้นด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด” เด็กหนุ่มที่ถือกำเนิดขึ้นจากดอกบัวเขียวหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
“ช่างน่าละอาย ข้ารู้สึกละอายใจจริง ๆ ดูเหมือนว่าข้าจะคิดผิดไป ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ สหายเต๋า” เด็กหนุ่มชื่อหลิงเค่อหน้าแดงด้วยความอับอาย และเขาก็ประสานมือคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณต่อเฉินซี ทำให้เขาดูสุภาพมาก
เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง และยอมรับโดยไม่เดือดดาล ทั้งยังยอมรับมันอย่างมีความสุข สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
“นิสัยของเด็กคนนี้หาได้ยากจริง ๆ”