บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1822 บรรพจารย์อา
บทที่ 1822 บรรพจารย์อา
เด็กหนุ่มที่บังเกิดจากดอกบัวเขียวมีนามว่าอวิ๋นชิง ส่วนที่เกิดจากเมฆาม่วงชื่อว่าหลิงเค่อ ทั้งสองเป็นจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีรากฐานที่บริสุทธิ์และเก่งกาจกว่าปกติ
และด้วยความสงสัย เฉินซีจึงได้ถามขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์หรือ?”
“ไม่ใช่” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วเอ่ยคำพร้อมกัน
“แต่ก็หวังว่าในอนาคตจะได้เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสซิงเจิน” อวิ๋นชิงเอ่ยขึ้นด้วยสายตาฉาบแวววาดหวัง
“ใช่แล้ว ผู้อาวุโสซิงเจินใจดีมาก มักลงจากภูเขาเพื่อคอยมาชี้แนะการบ่มเพาะของพวกเรา เหล่าจิตวิญญาณที่เกิดมาในภูเขาอย่างพวกเราได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสซิงเจินมามาก ทั้งในเรื่องจิตใจ สติปัญญา แล้วไหนจะสอนเคล็ดวิชาบ่มเพาะให้อีกมากมาย ในใจพวกเรา ผู้อาวุโสซิงเจินก็ไม่ต่างจากพ่อคนที่สอง” หลิงเค่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพบูชาอย่างจริงใจ
“ซิงเจิน? เขาเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์หรือ?” เฉินซีถาม
“ใช่แล้ว เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสเหวินถิง” อวิ๋นชิงพยักหน้า
เฉินซีชะงักไป ยิ่งรู้สึกสับสนมากกว่าเดิม “แล้วใครคือผู้อาวุโสเหวินถิง?”
“ข้าไม่รู้จักนางจริง ๆ” เฉินซีคิดอยู่นาน เดิมทีเขาคิดว่านอกจากเขาแล้ว ก็มีแค่ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน ศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ ศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่า ศิษย์พี่ห้าหลี่ฝูเหยา ศิษย์พี่หกฉางถู ศิษย์พี่หญิงเจ็ดกู่เหลียงฉิน และคนอื่น ๆ จนครบสิบสามคนเท่านั้น
ใครจะคิดว่าพอมาถึงเขาเทพพยากรณ์ มันกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด
ซิงเจิน เหวินถิง…. เขาเป็นใครกัน?
“สหายเต๋า ถึงเจ้าจะไม่รู้จักผู้อาวุโสเหวินถิง แต่ก็คงรู้จักผู้อาวุโสถังเสียนกระมัง?” หลิงเค่อถามขึ้น
“ถังเสียน?” เฉินซีหัวเราะเสียงขื่นทันที เพราะเขาไม่รู้จักคนคนนี้เช่นกัน “ถังเสียนไหน?”
หลิงเค่อกับอวิ๋นชิงมองตากันแล้วเงียบไป พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมกับเขาเทพพยากรณ์ จึงไม่ได้รู้อะไรไปทั้งหมด ปกติพบแต่ผู้อาวุโสซิงเจินเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงเพียงได้ยินเขาเอ่ยถึงเหวินถิงกับถังเสียน นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว
เฉินซีเห็นดังนั้นก็รู้ว่าคงถามเอาความอะไรกับเจ้าสองคนนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดว่า “พวกเจ้าสองคนถกเต๋ากันต่อไปเถอะ ส่วนข้าขอตัวก่อน”
ว่าแล้วเฉินซีจึงเริ่มเดินขึ้นเขาไปตามเส้นทางสายเล็ก
จากนั้นก็หยุดฝีเท้าแล้วเลิกคิ้วขึ้นสูง หันหลังกลับไปถามว่า “น้องชายไม่สงสัยหรือว่าข้าเป็นใคร?”
ไม่กลัวว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีหรือไร?
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นอวิ๋นชิงหรือหลิงเค่อ ก็ล้วนไม่เข้าใจความนัยนี้
“อ๊ะ!” ทั้งคู่ร้องออกมา เผยสีหน้าอับอาย ก่อนอวิ๋นชิงจะโค้งคำนับกล่าวว่า “ขออภัยด้วย ขออภัยด้วย พวกเราไม่เคยลงจากเขามาก่อน จึงไม่รู้กฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์เลย ขอทราบชื่อของสหายเต๋าได้หรือไม่?”
เฉินซีถอนใจยามได้ยิน “ข้าชื่อว่าเฉินซี”
พูดจบเขาก็เดินขึ้นเขาไปตามทางอีกครั้ง
“เฉินซี?” เฉินซีเดินจากไปไม่นาน อวิ๋นชิงก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ สะบัดหน้าพูดขึ้นด้วยความตกใจ “เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนนะ”
เพียะ!
หลิงเค่อตบหน้าผากตนแล้วร้องขึ้น “ข้าจำได้แล้ว ผู้อาวุโสซิงเจินเคยบอกไว้เมื่อหลายปีก่อน บอกว่าบรรพจารย์อากำลังจะกลับมาแล้ว”
“ใช่! ใช่! ใช่! บรรพจารย์อา ผู้อาวุโสซิงเจินบอกว่าเขาชื่อเฉินซี!” อวิ๋นชิงนึกขึ้นมาได้
“ไอ้หยา! ไม่คิดเลยว่าจะได้คำชี้แนะจากผู้อาวุโสเฉินซี นับว่ามีโชคจริง ๆ เลย!” หลิงเค่อเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี
ทั้งสองได้แต่มองขึ้นไปตามทางเดินนั้นด้วยความเสียใจ
พวกเขาเป็นเพียงแค่จิตวิญญาณที่เกิดอยู่ภายในภูเขาของเขาเทพพยากรณ์เท่านั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ จึงไม่อาจเข้าไปในเขาเทพพยากรณ์ได้
…
ไม่นานเฉินซีก็มาถึงแนวต้นสนเขียวขจีกินพื้นที่กว้างใหญ่ ป่าแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาสีขาว อสูรบินและอสูรอื่น ๆ พากันสัญจรไปมาอยู่ภายใน ทั้งยังมีเสียงนกร้องดังมาเป็นบางครั้ง บรรยากาศดูสงบสุขทำให้ใจรู้สึกสดชื่นขึ้นได้
โดยขณะนั้น ได้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีน้ำตาลกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นสน แผ่นหลังเขาเหยียดตรง หว่างคิ้วมีอักขระเพลิงลึกลับประดับมาตั้งแต่เกิด
ตอนนี้เขากำลังเข้าสู่ห้วงจริงจัง เหมือนกำลังตั้งสมาธิคิดคำนึงบางอย่างอยู่ ปากก็พึมพำคำออกมาไม่หยุด
“ไม้แทนพลังชีวิต จึงมีชีวิตเติบโตขึ้นมาได้ไม่หยุดหย่อน ทว่าก็ขัดแย้งกับไฟ แพ้ทางทอง แล้วข้าจะผสานมันเข้าด้วยกัน ให้ธาตุทั้งห้าส่งเสริมกันเป็นวงจรมิหยุดหย่อนได้อย่างไรกัน…”
“เชื่อมกับฟ้าดิน สอดคล้องกับพลังศักดิ์สิทธิ์ ผสานกับมหาเต๋า แต่สุดท้ายก็ยังขาดสถานะ ขาดกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี”
พอเฉินซีได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็รู้สึกว่าคุ้นเคยนัก จึงเดินเข้าไปดู แน่นอนว่าได้เห็นผังอักขระยันต์ศักดิ์สิทธิ์อันลึกล้ำจำนวนมากอยู่บนพื้นเบื้องหน้าชายหนุ่มชุดสีน้ำตาลผู้นั้น
โดยมีห้ายันต์เทวะอันเป็นตัวแทนธาตุทั้งห้า กระจายตัวไปตามห้าทิศ เกิดเป็นทรงกลมขึ้นพอดี กลายเป็นค่ายกลศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุ
ห้ายันต์เทวะนั้นก็คือยันต์เทวะพฤกษาคราม ยันต์เทวะผสานธาตุ ยันต์เทวะไฟโลกันต์ ยันต์เทวะคงคาทมิฬ และยันต์เทวะสยบปฐพี!
เฉินซีรู้จักยันต์เทวะเหล่านี้ดียิ่ง เชี่ยวชาญมันมาตั้งแต่อยู่สามภพ เขาจะลืมพวกมันไปได้อย่างไร?
ทว่าด้วยสติปัญญาของเขาในตอนนี้ จึงเห็นว่าถึงแม้ยันต์เทวะเบญจธาตุที่ชายหนุ่มชุดน้ำตาลตรงหน้าวาดไว้จะไร้ข้อผิดพลาดใด ทั้งยังมีกลิ่นอายแห่งเต๋า แต่ก็ไม่สามารถผสานกันลงตัวจนกลายเป็นหนึ่งได้
นั่นคือปัญหาที่ชายหนุ่มชุดสีน้ำตาลกำลังพบอยู่ในตอนนี้
ดูท่าคงจะเป็นศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ เฉินซีเหมือนคิดอะไรได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายหนุ่มชุดน้ำตาลคนนี้ แท้จริงแล้วเป็นจิตวิญญาณที่ใช้ร่างมนุษย์ ร่างเดิมเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงเข้าใจเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งไฟได้แต่เกิด มีพรสวรรค์เหนือกว่าสหาย
ทั้งยังมีรากฐานมั่นคง อยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางแล้ว
“ทุกคนล้วนรู้จักอำนาจของวงโคจรเบญจธาตุดี แต่ยันต์เทวะเบญจธาตุแต่ละอย่างก็มีความลึกล้ำเต๋าแห่งยันต์อักขระแตกต่างกันไป จึงยากผสานมันรวมเข้าด้วยกัน ทว่าวิธีที่อาจารย์สอนมาก็ไม่ผิด หรือเป็นตัวข้าเองที่ไม่เข้าใจวิธีการที่ถูกต้องกันแน่?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น พึมพำครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่เห็นเลยว่าเฉินซีเดินเข้ามาแล้ว
เมื่อเห็นดังนี้ เฉินซีจึงพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ธาตุทั้งห้าจะส่งเสริมและต่อต้านกัน แต่ก็สามารถใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระผสานมันรวมกัน และใช้พลังของมันผ่านเต๋าแห่งยันต์อักขระได้ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจสามารถเน้นทำความเข้าใจความลึกล้ำแห่งอักขระยันต์ของห้ายันต์เทวะนี้ พอเชี่ยวชาญแล้วย่อมรู้วิธีการควบคุมธาตุทั้งห้า รู้ว่าจะทำให้มันส่งเสริมกันได้ไม่รู้จบอย่างไรได้แน่นอน”
ชายหนุ่มชุดน้ำตาลทำท่าเหมือนถูกฟ้าผ่า ทั่วร่างแข็งค้างไป ได้แต่มองเขานิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ดวงตาจะค่อย ๆ เปล่งประกายขึ้นมา
“ใช่แล้ว! ข้ามองข้ามความลึกล้ำเต๋าแห่งยันต์อักขระไปได้อย่างไรกัน?” ชายหนุ่มชุดน้ำตาลตบเข่าฉาด ดูยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง
แต่หลังจากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ สติสัมปชัญญะพลันกลับคืนสู่ร่าง เขาจึงได้เห็นว่าเฉินซีเดินเข้ามา ก่อนรีบลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ สหายเต๋า ข้า… ขอทราบได้หรือไม่ว่าสหายเต๋าเป็นใคร?”
เฉินซียิ้ม “ข้าชื่อเฉินซี”
“สหายเต๋าเฉินซีนี่เอง…. หืม? เจ้าบอกว่าเจ้าคือเฉินซีหรือ?” ชายหนุ่มชุดน้ำตาลพูด ๆ อยู่ก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ ทำให้เบิกตากว้าง มีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
เฉินซีพยักหน้า เริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา ตัวตนของเขาในที่แห่งนี้จะน่าตกใจอะไรขนาดนั้นเชียวหรือ? จากนั้นเฉินซีก็เห็นชายหนุ่มชุดน้ำตาลพลันสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วโค้งคำนับให้ “ศิษย์ซิงเจินคำนับบรรพจารย์อา!”
บรรพจารย์อา! เฉินซีชะงักค้างไป สหายขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางเหมือนกัน แต่กลับเรียกเขาว่าบรรพจารย์อา?
หากไม่ใช่ว่าที่นี่คือเขาเทพพยากรณ์ เฉินซีคิดว่าอีกฝ่ายคงจำเขาสลับกับผู้อื่นเสียแล้ว
อีกทั้งคำเรียกของอีกฝ่ายยังทำให้เฉินซียิ่งมั่นใจว่าสถานการณ์ภายในเขาเทพพยากรณ์ไม่ใช่อย่างที่เขาเคยคิดไว้
“เจ้าคือซิงเจินหรือ?” เฉินซีจึงสงบสติอารมณ์แล้วเอ่ยถามขึ้น
“บรรพจารย์อาเคยได้ยินชื่อข้าด้วยหรือ?” ซิงเจินดูตกใจ
“ก่อนหน้านี้ตอนเดินขึ้นเขามา ได้ยินสหายน้อยสองคนเอ่ยชื่อเจ้าขึ้นมา” เฉินซียิ้มแล้วคิดในใจ กระทั่งซิงเจินเรียกข้าว่าบรรพจารย์อา เช่นนั้นเหวินถิง อาจารย์ของซิงเจิน ก็ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์หรือนี่?
ความอาวุโสของข้า… จู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะสูงขึ้นเสียอย่างนั้น!
“บรรพจารย์อาพูดถึงเจ้าอวิ๋นชิงและหลิงเค่อสินะ” ซิงเจินจึงเข้าใจ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “บรรพจารย์อา ขอบพระคุณสำหรับคำชี้แนะก่อนหน้านี้ด้วย ช่วยแก้ปัญหาที่ติดค้างในใจข้ามานานได้เลยทีเดียว”
“ไม่เป็นไร ถึงไม่ได้คำแนะนำจากข้า ดูจากความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระของเจ้าแล้ว อีกไม่นานเจ้าก็คงเข้าใจมันเอง” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ ซึ่งเขาก็พูดความจริง ตัวเขาเข้าใจยันต์เทวะเบญจธาตุมาตั้งแต่อยู่ภพมนุษย์ แต่เพิ่งมารู้จักการวาดอักขระยันต์เทวะ กระนั้นก็ยังไม่สามารถดึงเอาพลังที่แท้จริงแม้เพียงหนึ่งในพันของยันต์เทวะเบญจธาตุออกมาได้
ตอนที่มาถึงภพเซียนจึงได้เข้าใจความลึกล้ำยันต์เทวะเบญจธาตุดียิ่งขึ้น สุดท้ายจึงสามารถเชี่ยวชาญความลึกล้ำในยันต์เทวะทั้งหลายได้
ทว่าเฉินซีก็เพิ่งจะดึงพลังที่แท้จริงของยันต์เทวะเบญจธาตุออกมาได้ก็ตอนขึ้นเป็นเทพแล้วเท่านั้น
จะให้พูดก็คือ ความสามารถในการทำความเข้าใจเต๋าแห่งยันต์อักขระของซิงเจินนั้นมีมากพอสมควรแล้ว
แต่เป็นเพราะซิงเจินขึ้นเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว ดังนั้นหากนำความสำเร็จในเต๋าแห่งยันต์อักขระมาเทียบกับเฉินซี อีกฝ่ายถึงด้อยกว่าเฉินซีมาก
“ใช่แล้ว นี่ข้าลืมไปได้อย่างไรเนี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่บรรพจารย์อาเฉินซีกลับเขา เมื่อหลายปีก่อน บรรพจารย์ลุงอู๋เซวี่ยฉานเคยสั่งไว้ว่าหากท่านมาถึงเขาเทพพยากรณ์แล้ว ให้พาท่านไปพบบรรพจารย์ลุงเที่ยอวิ๋นไห่ ถึงตอนนั้นบรรพจารย์ลุงเที่ยอวิ๋นไห่จะจัดการเรื่องให้เอง” ซิงเจินนึกขึ้นได้แล้วก็พูดไปยิ้มไป
“ศิษย์พี่เที่ยอวิ๋นไห่?” พอได้ยินชื่อคุ้นหู ความสงสัยในใจเฉินซีก็มลายหายไปจนสิ้น จึงยิ้มกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนให้นำทางไปแล้ว”
ซิงเจินรีบป้องมือกล่าว “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอกบรรพจารย์อา เป็นหน้าที่ข้าอยู่แล้ว”