บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1823 สามปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์
บทที่ 1823 สามปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์
เส้นทางภูเขาลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปมา
ระหว่างทาง เฉินซีได้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขาเทพพยากรณ์จากซิงเจิน ก่อนจะคลายความสงสัยได้ในที่สุด
กลายเป็นว่าปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ ฝูซี มีศิษย์น้องอีกสองคน และนับแต่ผู้อาวุโสฝูซีจากไปเมื่อหลายปีก่อน ผู้อาวุโสทั้งสองนี้ก็รับหน้าที่ดูแลเขาเทพพยากรณ์แทน
พวกเขาคือ ‘ตี้ซุน’ กับ ‘เหวินเต้าเจิน’ และการบ่มเพาะของคนทั้งสองก็แสนจะสุดหยั่ง ถือเป็นตัวตนในยุคสมัยเดียวกับฝูซี ปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์
ด้วยเหตุนี้ ฝูซี ตี้ซุน และเหวินเต้าเจินจึงเป็นที่รู้จักในนาม ‘สามปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์’
และเพราะผู้อาวุโสทั้งสองที่คอยรับหน้าที่ดูแลตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้แม้ฝูซีผู้เป็นปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์จะอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย ก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาเทพพยากรณ์
ทว่าผู้อาวุโสสองคนนี้กลับเอาแต่เก็บตัวบ่มเพาะ ดังนั้นหากไม่มีเหตุการณ์สะเทือนโลกาเกิดขึ้น พวกเขาย่อมไม่มีทางปรากฏตัว
นอกจากนี้ เฉินซียังได้ทราบว่าซิงเจินเป็นศิษย์ในสายบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งลำดับสาม เหวินเต้าเจิน
หมายความว่าซิงเจินผู้นี้ คือศิษย์รุ่นที่สามของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง เหวินเต้าเจิน
และนี่… คือสาเหตุที่ซิงเจินเรียกเฉินซีว่าบรรพจารย์อา เพราะในด้านความอาวุโส เฉินซีนับว่าเป็นศิษย์เอกรุ่นแรกของฝูซีผู้เป็นปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์
เป็นที่น่าสังเกตว่าหากนับในสายของฝูซี รวมถึงรุ่นของเฉินซีเองด้วย ทั่วทั้งเขาเทพพยากรณ์ กลับมีศิษย์เอกเพียงสิบสี่คนเท่านั้น หาได้มีศิษย์รุ่นต่อไปไม่
ขณะที่ตี้ซุนไร้ศิษย์สืบทอด ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไร้ซึ่งสายของเขา
มีเพียงสายของเหวินเต้าเจินเท่านั้น ที่ไม่เพียงมีศิษย์ถึงสามรุ่น หากแต่จำนวนศิษย์ยังมากยิ่ง จนกล่าวได้ว่าเป็นสายซึ่งมีศิษย์มากที่สุดในเขาเทพพยากรณ์แล้ว
ทว่าตามรูปแบบการสืบทอดดั้งเดิมอันเข้มงวด กลับมีเพียงเฉินซีกับศิษย์พี่อีกสิบสี่คนเท่านั้นที่นับว่าเป็นผู้สืบทอดโดยตรงของเขาเทพพยากรณ์
ศิษย์ของสายเหวินเต้าเจินจึงถือว่าเป็นเพียงสายรองเท่านั้น
หลังจากทราบทั้งหมดนี้ ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจว่าเขาเทพพยากรณ์ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด
และในที่สุดมันก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุใดเขาเทพพยากรณ์ถึงได้รับความเคารพในฐานะหนึ่งใน ‘ห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ’ กลายเป็นว่าเพราะมีผู้อาวุโสอย่างตี้ซุนกับเหวินเต้าเจินนั่งเฝ้าสำนักนั่นเอง!
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังมีศิษย์จำนวนมากกว่าที่คิด และนั่นย่อมหมายความว่า… เขาเทพพยากรณ์มีศิษย์อยู่ในทุกขอบเขต!
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เฉินซีไม่เคยทราบมาก่อน
ในทำนองเดียวกัน การทราบเรื่องทั้งหมดนี้ก็ทำให้เฉินซียิ่งเข้าใจรากฐานของเขาเทพพยากรณ์มากขึ้น
…อันที่จริงนี่นับว่าเป็นเรื่องปกติ เฉกเช่นเดียวกับนิกายอำนาจเทวะ ที่มีการแบ่งศิษย์ออกเป็นศิษย์ทั่วไป ศิษย์ชั้นสูง ผู้อาวุโส ปุโรหิตชุดแดง และนักบวชศักดิ์สิทธิ์
หรือสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่แบ่งศิษย์ออกเป็น ศิษย์คุมกฎ ศิษย์ผดุงธรรม ศิษย์ผนึกฤทธิ์ ผู้อาวุโสสั่งสอนศิษย์และตำแหน่งอื่นอีกมากมาย ซึ่งลำดับชั้นของพวกเขานับว่าเข้มงวดเช่นกัน
เทียบกับสองขุมกำลังใหญ่เหล่านี้ ก็นับว่าสมเหตุสมผลที่เขาเทพพยากรณ์จะมีระบบการสืบทอดเช่นกัน หาไม่แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกับพี่น้องทั้งสิบสี่คนกับฝูซีผู้เป็นปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาจะเทียบเคียงกับสี่สุดยอดที่เหลือของเอกภพจักรวรรดิได้งั้นหรือ?
แน่นอนว่าเทียบกันแล้ว อำนาจของเขาเทพพยากรณ์คล้ายกับยังอ่อนแอเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถเปรียบกับยักษ์ใหญ่อย่างสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่มีศิษย์อยู่นับไม่ถ้วนได้
แต่เฉินซีก็ทราบดีเช่นกันว่าจำนวนศิษย์ที่มี หาใช่ตัวแปรสำคัญที่สื่อถึงความแข็งแกร่งของแต่ละขุมกำลังไม่
ดั่งเช่นว่า ถึงนิกายหรือสำนักใดมีศิษย์ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกานับหมื่น แต่ก็ใช่ว่าสำนักหรือนิกายนั้นจะแกร่งกล้าเทียบเท่ากับขุมกำลังที่มีศิษย์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลสิบคนได้
ซึ่งยักษ์ใหญ่อย่างเขาเทพพยากรณ์ นิกายอำนาจเทวะ และสำนักศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นกองกำลังสูงสุดในแดนเทพโบราณ ก็นับได้ว่าโดดเด่นเหนือใครจนยากจะตัดสินว่าใครดีกว่าใคร
สรุปก็คือแม้จำนวนศิษย์ในเขาเทพพยากรณ์จะน้อย แต่อำนาจที่ศิษย์แต่ละคนครอบครองกลับเกินกว่าจะจินตนาการได้!
…
“บรรพจารย์อา ข้างหน้านี้คือพื้นที่สำคัญของสำนัก ด้วยระดับการบ่มเพาะของข้าตอนนี้ ทำให้ไม่สามารถพาท่านเข้าไปได้ แต่ข้าจะขอให้อาจารย์ช่วยนำทางในภายหลัง นางจะพาท่านไปพบบรรพจารย์เที่ยอวิ๋นไห่” หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซิงเจินก็หยุดนิ่งพลางกระซิบ
“ตกลง” เฉินซีพยักหน้า หลังจากเดินทางจนมาถึงจุดนี้ เขาก็สังเกตเห็นเช่นกันว่ายิ่งขึ้นภูเขาไป อำนาจต้องห้ามอันคลุมเครือก็ยิ่งปรากฏทั่วทุกหนแห่ง
แม้จะมองไม่เห็นและไร้ซึ่งเสียงใด แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันต่อร่างกายและจิตใจที่ยากจะอธิบาย
ตามการคาดเดาของเฉินซี เกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งที่มีในตอนนี้ ตัวเขาจะยังไม่สามารถต้านทานพลังตรงหน้าได้ตลอดศก
ระหว่างที่ครุ่นคิด ซิงเจินก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าพร้อมเฉินซี และในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงริมผาแห่งหนึ่ง
ผานี้แบนราบ และครอบคลุมพื้นที่เพียงหนึ่งพันจั้ง ทว่ากลับมีหญ้าเขียวขจี และเถาวัลย์สีม่วงห้อยลงมาจากต้นไม้โบราณมากมาย รวมถึงฝูงผึ้งกับผีเสื้องดงามที่โบยบินไปมา… ที่สำคัญกว่านั้น คือมีกระท่อมมุงจากเก่า ๆ ถูกสร้างเอาไว้อยู่ด้านหนึ่งด้วย
เบื้องหน้ากระท่อม มีโต๊ะหินถูกวางเอาไว้ โดยมีสองคนกำลังนั่งประจำแต่ละด้านขณะดื่มชาพลางสนทนา
คนที่นั่งทางฝั่งซ้ายของโต๊ะหินคือผู้หญิงในชุดสีเขียว นางมีผมสีดำราบเรียบยาวถึงเอว ใบหน้าสละสลวยงามงด ทุกการเคลื่อนไหวของนางเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ
แต่หากมองจากระยะไกล หญิงสาวผู้นี้คล้ายมากล้นด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่มองไม่เห็น จนชวนให้ผู้คนหัวใจเต้นระรัวยากควบคุม
ส่วนผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันนั้น คือชายชราร่างเตี้ยในชุดสีเขียว หน้าตาอ่อนวัยและมีเส้นผมสีขาว ทว่ายามที่เขานั่ง มันกลับให้ความรู้สึกประหนึ่งจักรพรรดิเฝ้ามองโลกหล้า และแผ่กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยการคุกคามออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง
“นั่นคืออาจารย์ของข้า เหวินถิง เป็นบุตรีกำพร้าไร้บิดามารดา ก่อนได้บรรพชนผู้ก่อตั้งคนที่สามรับเลี้ยง พร้อมกับตั้งชื่อให้” ไกลออกไป ซิงเจินมองผู้หญิงในชุดสีเขียวด้วยสีหน้าเคารพยำเกรงจากก้นบึ้งของหัวใจ ขณะกระซิบบอกเฉินซี
“ส่วนอีกคน ข้าไม่รู้จักเขา คิดว่าน่าจะเป็นสหายที่มาเยี่ยมอาจารย์”
แม้เฉินซีจะพยักหน้าแต่ก็ยังลอบประหลาดใจ เขามองเพียงปราดเดียวก็บอกได้ว่าเหวินถิงถึงกับเป็นตัวตนขอบเขตมหาราชเทวา!
“ซิงเจิน เจ้าไม่ได้กำลังศึกษายันต์ศักดิ์สิทธิ์เบญจธาตุหรอกหรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่?”
ทันใดนั้น ผู้หญิงในชุดสีเขียวนามเหวินถิงก็หันศีรษะมามองซิงเจินด้วยสายตาเฉยชาพลางเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา
“สหายเต๋าเหวินถิง ซิงเจินเป็นศิษย์ของเจ้างั้นหรือ? เขานับว่ามีรากฐานใช้ได้ทีเดียว ก่อนหน้าข้าได้ยินมาบ้างว่าแท้จริงแล้วเขาคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี ที่ถือกำเนิด ณ ทางเหนือของหุบเหวยมโลก” ก่อนซิงเจินจะทันได้เอ่ยคำ ชายชราร่างเตี้ยในชุดสีเขียวผู้มีกลิ่นอายเซียนก็เอ่ยคำชื่นชม
ซิงเจินเห็นเช่นนี้ก็คารวะแล้วเอ่ยคำทันที “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
เมื่อกำลังจะแนะนำตัวตนของเฉินซี ชายชราร่างเตี้ยก็เอ่ยคำด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง “นี่ สหายตัวน้อยผู้นี้เป็นใคร เหตุใดชะตาของเขาถูกปกปิดโดยความลับของสวรรค์เช่นนั้นได้? นับว่าหาได้ยากนัก!”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ขณะจับจ้องเฉินซีอยู่พักใหญ่ ก่อนจะต้องคิ้วขมวดด้วยความประหลาดใจ” ยามได้ยินเหวินถิงก็พลอยตะลึงไปด้วย ก่อนจะพบว่าตนเองไม่เคยพบเจอคนผู้นี้มาก่อน
“ซิงเจิน สหายตัวน้อยผู้นี้เป็นใคร?” เหวินถิงเอ่ยถาม
“อาจารย์ เขาคือบรรพจารย์อาเฉินซี ผู้ไม่เคยมาเยือนสำนักจนกระทั่งชั่วยามนี้” ซิงเจินรีบแนะนำ
เฉินซี!
เหวินถิงหรี่ตาก่อนจะลุกขึ้นยืน นางจับจ้องเฉินซีด้วยความประหลาดใจอยู่เนิ่นนาน ก่อนในที่สุดจะสูดหายใจเข้าแล้วคำนับ “ศิษย์เหวินถิงคารวะอาจารย์อา”
จู่ ๆ ตัวตนในขอบเขตมหาราชเทวากลับคารวะเฉินซีผู้อยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ทั้งยังเรียกเขาว่า ‘อาจารย์อา’ !
ชายชราร่างเตี้ยแข็งทื่อด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นฉากนี้ เขาสำลักชาในปาก ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความเขินอายเล็กน้อย พร้อมประสานมือไปทางเฉินซีแล้วเอ่ยคำ “ขอโทษด้วยที่ก่อนหน้านี้ข้าเสียมารยาท”
“ไม่มีปัญหา” เฉินซียิ้ม และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันอยู่ภายใน เขาไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ ตนจะมีศิษย์หลานผู้อยู่ขอบเขตมหาราชเทวา…
“ข้าไม่ทราบว่าอาจารย์อาจะกลับมาวันนี้ เลยไม่ได้เตรียมการต้อนรับแต่อย่างใด หวังว่าท่านจะอภัยให้ข้า”
เหวินถิงคารวะตามแบบแผนที่ปฏิบัติกันมาโดยไร้ซึ่งความเขินอายหรือความไม่เต็มใจ นับว่าหาได้ยากนักที่ตัวตนขอบเขตมหาราชเทวาจะ ‘ลดตัว’ ลงมาทำเช่นนี้ได้อย่างไม่ขัดเขิน
“มันดีแล้ว” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อย ด้วยความอาวุโสที่มากกว่า ชายหนุ่มจึงทำตัวไม่ค่อยถูกนัก
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหวินถิงจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ “บรรพจารย์อา นี่คือเฝิงหรงสวิน ผู้อาวุโสแห่งสำนักเต๋า เขาเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘จักรพรรดิหรงสวิน’ ”
สิ้นคำ เหวินถิงก็หันไปกล่าวกับชายชราร่างเตี้ยต่อ “สหายเต๋าหรงสวิน นี่คืออาจารย์อาเฉินซีของข้า ศิษย์เอกคนที่สิบสี่ของท่านปรมาจารย์ฝูซี”
“ยินดีที่ได้พบ…”
จักรพรรดิหรงสวินรอที่จะเอ่ยคำทักทาย แต่เขากลับรู้สึกสับสน หากคำนวณตามความอาวุโส ในฐานะสหายของเหวินถิงแล้ว เขาก็ต้องเรียกเฉินซี ชายหนุ่มผู้อยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลว่าผู้อาวุโส
นี่ทำให้เขาพูดไม่ออก
เฉินซียิ้มด้วยความเข้าใจถึงอารมณ์เขินอายเล็กน้อยของอีกฝ่าย
อันที่จริง… แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่การที่ชายหนุ่มตีตนเสมอมหาราชเทวา ก็กล่าวได้ว่าเขาเอาเปรียบอยู่บ้าง
แน่นอนว่าจักรพรรดิหรงสวินย่อมไม่คิดเช่นนั้น เพราะเมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าเป็นศิษย์เอกลำดับที่สิบสี่ของปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ มันก็ทำให้เขาตกตะลึงยิ่ง
เมื่อเห็นเฉินซีไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่ง เขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะเอ่ยคำด้วยรอยยิ้ม “แบบนั้นดีแล้ว แบบนี้ดีแล้ว”
สิ้นคำ เขาก็กล่าวลากับเหวินถิง ส่วนนางก็ไม่รั้งให้เขาอยู่ต่อเช่นกัน
“สหายเต๋าเฉินซี หากมีโอกาส ข้าหวังว่าเจ้าจะไปสำนักเต๋าในฐานะแขกคนหนึ่ง” ก่อนจะไป จักรพรรดิหรงสวินกล่าวลาเฉินซีด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“แน่นอน” เฉินซีประสานมือแล้วยิ้มตอบกลับไป
หลังจากมองจักรพรรดิหรงสวินจากไปแล้ว เหวินถิงก็ยิ้มให้เฉินซีแล้วเอ่ยคำ “อาจารย์อา สำนักเรารอให้ท่านกลับมาหลายปีแล้ว”
เฉินซีตกตะลึงขณะกระแสไออุ่นก่อตัวขึ้นภายใน เมื่อเขากลับมาถึงเขาเทพพยากรณ์ ก็ได้รับการปฏิบัติจากทุกคนอย่างเป็นกันเอง ความรู้สึกนี้คือสิ่งที่เขามักไม่เคยได้ประสบมาก่อน
ถัดจากนั้น เฉินซีก็ได้กล่าวกับเหวินถิง บอกนางให้พาตัวเขาไปหาศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่
“อาจารย์อาเชิญตามข้ามา” เหวินถิงไม่ชักช้า ก่อนจะพาเฉินซีไปจุดที่สูงกว่าของเขาเทพพยากรณ์
ส่วนซิงเจินก็กลับไปที่ตีนเขาตามเดิม
………………..