บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1824 เทพเมรัยสิบสมบัติ
บทที่ 1824 เทพเมรัยสิบสมบัติ
เมื่อเฉินซีขึ้นเขาต่อไป ผู้นำทางก็กลายเป็นจักรพรรดินีผู้หนึ่งแทน นอกจากนั้น นางยังเรียกเขาว่าอาจารย์อาทุกคำ ทำให้เฉินซีต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะทำใจยอมรับได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวง
ในโลกภายนอก บางทีพวกเขาอาจเรียกกันเป็น ‘สหายเต๋า’ ได้ แต่ยามอยู่ในสำนัก พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามจารีตและลำดับอาวุโส ไม่อาจผิดพลาดใด ๆ ได้
แม้เหวินถิงจะเป็นจักรพรรดินีผู้ยิ่งยง นางก็ต้องเรียกตนเองเป็นศิษย์ต่อหน้าเฉินซี
แล้วเฉินซีก็ต้องตกตะลึงเมื่อเหวินถิงไม่ใช่จักรพรรดินีทั่วไป นางบรรลุแปดดาราในขอบเขตมหาราชเทวาแล้ว นอกจากนั้น นางยังห่างเพียงนิดเดียวก็จะทะลวงสู่เก้าดาราแห่งขอบเขตมหาราชเทวา!
ในโลกภายนอก นางนับได้ว่าเป็นตัวตนยิ่งใหญ่สั่งวาตะบงการเมฆาได้แน่แท้
ขณะเดียวกัน อาจารย์ของนาง ถังเสียนเป็นตัวตนน่าสะพรึงกลัวในขอบเขตมหาเทพเต๋า!
สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีศิษย์ในเขาเทพพยากรณ์มากมายที่เก่งกาจน่าสะพรึงกลัว กล่าวได้ว่าที่แห่งนี้เป็นที่อาศัยของผู้มากฝีมือเกินคณานับ
แต่เมื่อคิดดูแล้ว เรื่องนี้ก็สุดแสนธรรมดา
ศิษย์พี่ใหญ่ของเฉินซี อู๋เซวี่ยฉานเป็นมหาเทพเต๋า ดังนั้นในฐานะศิษย์เอกสายตรงของบรรพชนผู้ก่อตั้งลำดับสาม เหวินเต้าเจิน ก็สมเหตุสมผลที่ถังเสียนบรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋าเช่นกัน
นอกจากนั้น จักรพรรดิจื่อเว่ย และตงปั๋วเหวิน ยังพัฒนาการบ่มเพาะสู่ขอบเขตปัจจุบันได้หลังได้รับคำชี้แนะจากอู๋เซวี่ยฉาน ดังนั้นในฐานะศิษย์สายตรงของถังเสียน ย่อมไม่มีทางที่เหวินถิงจะด้อยไปกว่าใครอื่น
ระหว่างทาง เฉินซีได้รับรู้เรื่องมากมายจากเหวินถิง
เช่นเหวินเต้าเจินมีศิษย์สายตรงทั้งสิ้นสิบเก้าคน และถังเสียนคือผู้แข็งแกร่งที่สุด บรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋ามาเนิ่นนานนัก
ขณะเดียวกัน ในหมู่ศิษย์รุ่นที่สองของเหวินเต้าเจินซึ่งเหวินถิงเป็นหนึ่งในนั้น มีศิษย์ทั้งสิ้นสามสิบเจ็ดคน และเหวินถิงอยู่ในลำดับสาม
ส่วนศิษย์รุ่นที่สามนั้นยิ่งมากไปกว่านั้นอีก
ควรค่ากล่าวถึงว่า แม้เหวินถิงจะเป็นบุตรีบุญธรรมของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งลำดับสาม เหวินเต้าเจิน แต่ในสำนัก นางเป็นศิษย์ของถังเสียน
สิ่งนี้ดูขัดแย้งกับลำดับอาวุโสในสำนัก แต่มันดำเนินไปภายใต้คำสั่งของเหวินเต้าเจิน ส่วนเหตุผลนั้น มีเพียงเหวินเต้าเจินที่ทราบ
วิ้ง!
ชั่วกาลอันเกินประมาณต่อมา แรงกดดันไร้ลักษณ์ก็ไหลบ่าเข้าปะทะดุจธารเชี่ยว ทำให้เฉินซีอดรู้สึกอึดอัดมิได้
เหวินถิงสะบัดแขนเสื้อ ก่ออักขระยันต์เรืองรองมากมายขึ้นจากละอองแสงเจิดจรัส ทะยานออกสลายแรงกดดันทั้งมวลลงสิ้น
“อาจารย์อา นี่คือแดนจำกัดของสำนัก มีเพียงศิษย์ขอบเขตมหาราชเทวาหรือสูงกว่าเท่านั้นที่เข้าได้ แต่ท่านจะเข้าใจความซับซ้อนของข้อจำกัดบนเขาได้แน่นอน ดังนั้นมิต้องกังวลไป” เหวินถิงอธิบายแล้วนำทางเฉินซีต่อไป
…
ระหว่างทาง เฉินซีสังเกตพบว่าภูเขานี้สูงสุดขั้ว และทางเดินที่เขากำลังใช้ขึ้นเขาก็เป็นเพียงหนึ่งในเส้นทางอันหลากหลาย
นอกจากนั้น ระหว่างทางเขายังสังเกตเห็นดินแดนลับมากมายถูกสร้างขึ้นตามที่ต่าง ๆ …ซึ่งจากการอธิบายของเหวินถิง ดินแดนลับทั้งหมดล้วนเป็นสถานที่บ่มเพาะของศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนัก
ทว่าศิษย์สายตรงของฝูซีมิได้บ่มเพาะในดินแดนลับใด ๆ และพวกเขาจะอยู่ในสุขาวดี ณ ยอดเขา
ขณะนี้ ศิษย์พี่สามของเขาเที่ยอวิ๋นไห่ก็กำลังบ่มเพาะอยู่ที่นั่น
หนึ่งชั่วก้านธูปมอดต่อมา ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงยอดเขา
ทะเลเมฆาม้วนตัวตลบลอย หมู่ดาวเคลื่อนวนโคจร เปล่งรัศมีพริบพราย ทำให้ยอดเขาดูสุดแสนยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์และตรึงตราจำเริญจิตนัก
ยามยืนอยู่ที่นี่ เขาก็เกิดความรู้สึกราวทัศนาทั่วทิศอยู่เหนือที่ใดในโลกหล้า
น้ำตกสีเงินเรืองรองทอดลงจากเก้าชั้นสรวง บรรจุอำนาจยิ่งใหญ่ทรงพลัง ปรากฏว่าน้ำตกนั้นก่อตัวขึ้นจากปราณเต๋าอันบริสุทธิ์สุดขั้ว!
หลังโรยลงจากฟ้า มันก็เปลี่ยนเป็นรัศมีศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นแพร่กระจายไปทั่วขุนเขา ชุบเลี้ยงบำรุงพลังชีวิตแก่สรรพสิ่ง ดูสุดแสนอัศจรรย์เกินธรรมดา
เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ สัมผัสถึงปราณเต๋าหนาแน่นไหลบ่าเข้าสู่ร่าง พลังชีวิตทั่วกายพลุ่งพล่าน ดูประหนึ่งละล่องหลอมรวมกับมหาเต๋า ความรู้สึกนี้ลึกล้ำและสุขสบายอย่างไม่อาจบรรยาย
หากข้าบ่มเพาะที่นี่ ผลที่ได้จะยอดเยี่ยมเกินธรรมดาแน่แท้! ยอดไปเลย! ปราณเต๋าจากเก้าชั้นสรวงโรยลงมารวมตัวที่นี่ กล่าวได้ว่าเป็นวาสนาธรรมชาติก่อ ยืมชะตากรรมเต๋าสวรรค์ อย่างน้อยที่สุด การทำเช่นนี้ได้ก็ต้องอยู่ในขอบเขตมหาเทพเต๋าก่อน… เฉินซีอุทานอย่างชื่นชมในใจ ทอดถอนใจไม่จบสิ้น
นับแต่เขามาถึงเขาเทพพยากรณ์จนปีนสู่ยอดเขาได้ในขณะนี้ ทุกสิ่งที่ประสบตลอดทางก็ทำให้เฉินซีตระหนักว่าสำนักที่ตนสังกัดไม่ธรรมดาเพียงไร
“ฮ่า ๆๆ! ศิษย์น้องเล็ก ในที่สุดเจ้าก็มา!” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงระเบิดหัวเราะอย่างห้าวหาญก็ดังมาไกล ๆ ทำให้ชั้นเมฆาใกล้เคียงเทิ้มสะท้าน เปี่ยมด้วยความปรีดาในน้ำเสียง
ไม่ทันสิ้นคำ เฉินซีก็สัมผัสได้ว่ามีใครสักคนเข้ามาโอบบ่า หัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งตบหลังเขาป้าบ ๆ ทำให้แก่นโลหิตในกายเฉินซีปั่นป่วน
แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ผู้มาชัด ๆ เฉินซีก็คลี่ยิ้มเจิดจรัสทันทีเช่นกัน นี่คือยามที่เขามีความสุขเหนือใดในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา
บุคคลตรงหน้ามีร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีทองแดง เส้นผมหนวดเคราหยิกหย็อง องอาจทรงพลังเช่นหอคอยเหล็กกล้า ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศิษย์พี่สามของเขา เที่ยอวิ๋นไห่!
“ศิษย์พี่สาม!” เฉินซีกล่าวเพียงสามคำ ทว่าก็แสดงความตื่นเต้นในใจออกมาชัดเจน
“ฮ่า ๆๆ! เจ้ากลับมาได้โดยสวัสดิภาพก็ดีแล้ว” เที่ยอวิ๋นไห่เสสรวล พินิจเฉินซีพลางทอดถอนใจ “เดิมทีข้าคิดจะออกไปพาเจ้ากลับมาเอง แต่ศิษย์พี่ใหญ่ชิงลงมือก่อน มิคาดเลยว่ากระทั่งศิษย์พี่ใหญ่ยังต้องเผชิญเหตุขัดข้องระหว่างทาง ทำให้เจ้าเพิ่งมาถึงสำนักยามนี้ หลายปีมานี้… เจ้าลำบากจริง ๆ”
“ศิษย์พี่สาม หลายปีมานี้ชีวิตข้าครึกครื้นนัก จะมาบอกว่าลำบากได้อย่างไร?” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ยามเห็นคู่ศิษย์พี่น้องเสวนากันอย่างออกรส เหวินถิงก็คลี่ยิ้มแล้วหันหลังกลับไปเงียบ ๆ ด้วยไม่อาจรบกวน
“มานี่มา! ศิษย์พี่ใหญ่รออยู่นานแล้ว” ขณะเดียวกัน เที่ยอวิ๋นไห่ก็นำเฉินซีไปยังจุดหนึ่งของยอดเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือ?” เฉินซีถามอย่างประหลาดใจ
“หลังจากที่เขาฆ่าเจ้าเฒ่ามั่วหลินนั่นลง เขาก็เกือบถูกเจ้านิกายอำนาจเทวะหยุดไว้ได้ยามกลับสำนัก โชคยังดี อาจารย์อาตี้ซุนออกไปหยุดหายนะไว้ได้ทัน หนนี้ศิษย์พี่ใหญ่แบกรับความเสี่ยงมหาศาลจริงแท้ มิคาดคิดเลยว่าเขาจะฆ่ามั่วหลินนั่นได้” เที่ยอวิ๋นไห่ทอดถอนใจ “แต่ถึงเช่นนั้น ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังบาดเจ็บไม่น้อย ถือได้ว่าโชคดีแล้ว เพราะหากหนนี้เจ้านิกายอำนาจเทวะหยุดเขาไว้ได้จริง ๆ ผลลัพธ์ก็คงเกินคาดคิด”
เฉินซีตกตะลึงในใจ มิคาดว่าเหตุอันตรายสุดขั้วนี้จะเกิดหลังศิษย์พี่ใหญ่ของเขาสังหารนักบวชศักดิ์สิทธิ์มั่วหลินลง
หากข่าวนี้แพร่ไปยังแดนเทพโบราณ เสียงฮือฮามหาศาลจะตามมา อาจกระทั่งทำให้สถานการณ์ทั่วเอกภพจักรวรรดิติดขัดคับข้อง
เพราะถึงอย่างไร ครั้งนี้นักบวชศักดิ์สิทธิ์มั่วหลินตกตาย ขณะที่อู๋เซวี่ยฉาน นายใหญ่เขาเทพพยากรณ์บาดเจ็บ นอกจากนั้น กระทั่งตัวตนสูงสุดอย่างเจ้านิกายอำนาจเทวะและบรรพชนผู้ก่อตั้งลำดับสองแห่งเขาเทพพยากรณ์ยังพากันปรากฏตัวลงมือ ผลของเรื่องนี้ย่อมเกินจินตนาการ
“ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องร้อนใจไป ยังไม่ถึงกาลที่โลกหล้าจะตกอยู่ในความโกลาหลหรอก” เมื่อเห็นเฉินซีขมวดคิ้วท่าทางคิดหนัก เที่ยอวิ๋นไห่ก็อดขำมิได้ “อีกอย่าง ไม่ว่าเจ้านิกายอำนาจเทวะจะแค้นศิษย์พี่ใหญ่เพียงไร เขาก็ไม่มีทางกล้ามาก่อปัญหาแก่เราเขาเทพพยากรณ์แน่นอน”
เฉินซียิ้มแห้งในบัดดล เพราะเหตุการณ์นี้ชวนตกใจเกินไป ความคิดเขาจึงแล่นจี๋อย่างช่วยไม่ได้
ขณะเสวนา ทั้งสองก็มาถึงเคหาแห่งหนึ่ง
เคหาแห่งนี้อัศจรรย์อย่างยิ่ง เมื่อเข้ามาก็เหมือนอยู่ในโลกกว้างอีกใบ
ท้องนภากว้างใหญ่ แดนดินดูแน่นหนัก มวลคีรีตระหง่านเวหา ลำธารคดเคี้ยวเชี่ยวริน นอกจากนั้น สัตว์ปีกอันมีปีกอันงดงามยังโผบิน ทิ้งสำเนียงกึกก้องเป็นครั้งคราว ดูประหนึ่งสุขาวดีอันเป็นเอกเทศจากโลกหล้า เต็มไปด้วยบรรยากาศสงบเงียบ
ศาลาไผ่เขียวหลังหนึ่งตั้งตระหง่านบนลำธาร ปกคลุมด้วยคลื่นกระเพื่อมฟ้าใส
ขณะนี้ นายใหญ่อู๋เซวี่ยฉานผู้มีเส้นผมสีเงินขาว ใบหน้าอ่อนโยนกำลังนั่งในศาลาไผ่เขียว กำลังตกปลาด้วยเบ็ดในมือ
ยามเฉินซีและเที่ยอวิ๋นไห่มาถึง เบ็ดตกปลาในมืออู๋เซวี่ยฉานสั่นสะท้านเล็กน้อย แล้วเขาก็ดึงได้กูรมกรสีขาวล้วนดุจหิมะขนาดเท่าฝ่ามือตนหนึ่ง
“กูรมกรเกล็ดเงิน นี่เป็นสัญญาณมงคล ยามนี้เหมือนมันจะเป็นวาสนาที่ศิษย์น้องเล็กนำมา” อู๋เซวี่ยฉานคลี่ยิ้มบาง โยนกูรมกรกลับลงธาร แล้วหันมายิ้มให้เฉินซี
“ศิษย์พี่ใหญ่” เฉินซีกุมกำปั้นคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก เจ้ากับศิษย์น้องสามนั่งสิ” อู๋เซวี่ยฉานโบกมือ วางโต๊ะศิลาตัวหนึ่งในศาลาไผ่ จากนั้นก็นำสุราไหหนึ่งออกมารินลงจอกสำหรับทั้งสามคน
“ในอดีต เราไม่เคยได้นั่งเสวนาเปิดอกกันเสียที ยามนี้ ในที่สุดก็ผ่านความลำบากลำบนมาหวนพบหน้า ย่อมต้องดื่มกันให้สาแก่ใจ มา เราสามศิษย์พี่น้องดื่มกันก่อนหนึ่งจอก!” อู๋เซวี่ยฉานยกจอกสุราขึ้นพลางเสสรวล
“ฮ่า ๆๆ! ข้ารอวันนี้มานานนัก” เที่ยอวิ๋นไห่ยกจอกของเขาขึ้นพลางกล่าวกับเฉินซี “ศิษย์น้องเล็ก นี่คือเทพเมรัยสิบสมบัติที่ศิษย์พี่ใหญ่บ่มเอง เขาเก็บมันมาเกินนับปีแล้ว กระทั่งเรายังแทบไม่เคยได้แตะต้อง ต้องขอบคุณเจ้าที่ข้าได้ดื่มมันวันนี้”
“โอ้ เช่นนั้นข้าก็ต้องละเลียดลิ้มให้ดีเชียว” เฉินซีแย้มยิ้ม ยกจอกสุราตนขึ้นเช่นกัน
สามศิษย์พี่น้องดื่มสุราเสสรวล ไม่นานนัก สุราเกินสิบจอกก็รินลงท้อง เพลิดเพลินสาแก่ใจ
เฉินซีไม่รู้ว่าเทพเมรัยสิบสมบัติบ่มจากสิ่งใด มันรสชาติหวานแต่เผ็ดร้อน ขณะที่ให้ความรู้สึกราวมังกรไฟแปรหิมะยามเคลื่อนลงคอ เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง นอกจากนั้น กลิ่นหอมจากมันกระทั่งกำซาบถึงส่วนลึกแห่งวิญญาณ
หลังดื่มไปสิบกว่าจอก เฉินซีก็สัมผัสได้ว่าอุณหภูมิในกายเพิ่มสูง กระแสคลื่นแผดผลาญทะลักล้นจักรวาลในกาย ขัดเกลารากฐานเต๋าของเฉินซีอย่างไม่รู้จบ ทำให้การบ่มเพาะของเขาถูกเสริมขึ้นกว่าเก่า กระทั่งเผยสัญญาณบรรลุสู่ขอบเขตการบ่มเพาะต่อไป นอกจากนั้น กระทั่งวิญญาณของเขายังปริ่มเปรม ได้รับผลประโยชน์มหาศาล
เฉินซีรีบสูดหายใจลึก ๆ แล้วสะกดความอยากเคลื่อนขอบเขตการบ่มเพาะไว้ เนื่องจากนี่มิใช่กาลอันควรในการบรรลุสู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
ระหว่างนั้น อู๋เซวี่ยฉานเก็บไหสุรา พลางกล่าวยิ้ม ๆ “ศิษย์น้องเล็ก อย่าได้รีบร้อนพัฒนา พลังของเมรัยนี้อยู่ได้สิบวัน หลังเราศิษย์พี่น้องคุยกันจบ ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง แล้วเจ้าก็สามารถพัฒนาบนเส้นทางแสวงเต๋าของเจ้าต่อไปได้”
………………..