บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1826 เจดีย์แห่งการเริ่มต้น
บทที่ 1826 เจดีย์แห่งการเริ่มต้น
สังสารวัฏ!
พลังดังกล่าวดูเหมือนจะไม่ใช่ของจริงซ้ำยังคล้ายเป็นภาพลวงตา มันคลุมเครือเกินไปและยากต่อการเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดอย่างรอบคอบ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่เขาได้ริเริ่มบ่มเพาะในดินแดนทางใต้ของราชวงศ์ซ่ง เขาก็มีความเกี่ยวข้องกับ ‘สังสารวัฏ’ อยู่แล้ว
เหตุผลเพียงอย่างเดียวสำหรับเรื่องนี้ คือระเบียนแดนมรณะและพู่กันพิพากษามาร
ในทางกลับกัน สาเหตุสำคัญที่ทำให้สมบัติล้ำค่าทั้งสองของยมโลกตกอยู่ในมือของเฉินซีนั้นไร้สาระอย่างยิ่ง เพราะเขาได้รับพวกมันมาระหว่างร่วมมือกับหลิงไป๋เพื่อสังหารทายาทของตระกูลซูจากดินแดนทางใต้
เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องกับโชคชะตาเลย
แต่เมื่อเขาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ทั้งหมดนี้ก็ฟังดูราวกับลิขิตของสวรรค์
เมื่อรวมกับประสบการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฉินซีก็อดสงสัยในใจไม่ได้ “สังสารวัฏ… มันเป็นพลังเช่นใดกัน?”
“เหตุใดข้าจึงสามารถเข้าใจความล้ำลึกที่แท้จริงของมัน หลังจากที่ข้าบรรลุขอบเขตมหาเทพเต๋า และเข้าใจมหาเต๋าแห่งลิขิตเท่านั้น”
“ถ้าข้าบรรลุเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบอย่างถ่องแท้ จากนั้นหลอมรวมมันเข้ากับมหาเต๋าของปารมิตาและการลืมเลือน แล้วข้าจะสามารถสร้างแก่นพลังของสังสารวัฏได้หรือไม่?”
“การที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามต้องประสบความทุกข์จากการถูกบดขยี้โดยยอดคนของโลก เนื่องเพราะพลังสังสารวัฏหรือไม่?”
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ลางสังหรณ์อันแข็งแกร่งก็ปะทุในใจของเฉินซีอย่างห้ามไม่ได้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็ระงับมันอย่างแข็งขัน
เฉินซีตระหนักดีว่า เรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน และหากเขาลองดูตอนนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็อาจส่งผลร้ายแรงได้
…
“ศิษย์น้องตัวน้อย ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่บ่มเพาะ บางทีเจ้าอาจต้องใช้เวลาห้าปีนี้ เพื่อให้พลังของเจ้าได้รับการเปลี่ยนอย่างชัดเจนอีกครั้ง” เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฉินซีดูเหมือนจะฟุ้งซ่านเล็กน้อย อู๋เซวี่ยฉานดูเหมือนจะมองเห็นบางสิ่งบางอย่างได้ เขาจึงยืนขึ้นและกล่าว
“โอ้ เราจะไปที่ใดหรือ” เฉินซีกลับมารู้สึกตัวทันที
“เจ้าจะรู้เมื่อเราไปถึงที่นั่น” อู๋เซวี่ยฉานยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฮ่า ๆๆ! ในที่สุดพวกเจ้าก็ไปสักที ข้าเบื่อสถานที่เลวร้ายนั่นมามากพอแล้ว และข้าไม่อยากก้าวเข้าไปในนั้นอีก” เที่ยอวิ๋นไห่ดูเหมือนจะพอใจกับความโชคร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเฉินซี ทำให้เขาแผดหัวเราะดังสนั่น
สิ่งนี้ทำให้คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น “หรือเรื่องนี้จะมีเลศนัย?”
โอม!
ก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบสนอง อู๋เซวี่ยฉานก็สะบัดแขนเสื้อวูบหนึ่ง จากนั้นพลังอันแข็งแกร่งก็เข้าปกคลุมเฉินซี ในช่วงเวลาถัดมา ทั้งอู๋เซวี่ยฉานและเฉินซีก็หายตัวไปจากจุดนั้นพร้อมกัน
…
เจดีย์หินโบราณตั้งตระหง่าน ในขณะที่ปกคลุมไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลาอย่างหนาแน่น ดูเหมือนว่าจะประสบกับชำระล้างมานับไม่ถ้วน ทั้งยังเปล่งรัศมีที่เคร่งขรึมและสูงส่ง
มันตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลเมฆอันกว้างใหญ่ ในขณะที่อีกาทองคำได้กลายร่างเป็นดวงอาทิตย์แผดจ้าที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า มันสาดส่องแสงสีทองเจิดจ้าที่ปกคลุมเจดีย์หินด้วยรัศมีอันเจิดจ้าและศักดิ์สิทธิ์
เมื่อวิสัยทัศน์ของเฉินซีฟื้นคืน เขาก็มาถึงทะเลเมฆ และจ้องมองไปที่เจดีย์หินแห่งนี้
“เจดีย์นี้เรียกว่าเจดีย์แห่งการเริ่มต้น มันถูกท่านอาจารย์สร้างขึ้นเป็นการส่วนตัวเมื่อหลายปีก่อน และมันถูกเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับศิษย์ของนิกายที่จะบ่มเพาะ” อู๋เซวี่ยฉานยืนอยู่ด้านข้าง พลางทอดถอนใจ “เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ระดับการบ่มเพาะของข้ายังอยู่ที่บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเช่นเดียวกับเจ้า ข้าก็ได้บ่มเพาะอยู่ที่นี่เช่นกัน เมื่อเจ้าเข้ามาในครั้งนี้ บางทีเจ้าอาจจะได้เห็นร่องรอยของมหาเต๋าที่ข้าทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อน”
เจดีย์แห่งการเริ่มต้น!
ความคาดหวังเสี้ยวเล็ก ๆ อดไม่ได้ที่จะพลุ่งพล่านในใจของเฉินซี
“ศิษย์น้องเล็ก มีเพียงศิษย์ของเขาเทพพยากรณ์ของเราเท่านั้น ที่สามารถก้าวเข้าสู่เจดีย์แห่งการเริ่มต้น” อู๋เซวี่ยฉานกล่าว
เฉินซีเข้าใจได้ทันที และเขาก็ตบหน้าผากตัวเอง พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ไม่เตือนข้า ข้าก็คงลืมเรื่องนั้นไปแล้ว”
ขณะที่กล่าว เขาก็โบกแขนเสื้อ และประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่กระจายออกมา ก่อนที่ร่างของเยี่ยเหยียน เหล่าไป๋ และเป่าน้อยจะปรากฏตัวขึ้น
“ที่นี่ที่ไหนกัน?” ทั้งสามต่างสับสนและงุนงงมาก
“ย่อมเป็นเขาเทพพยากรณ์” เฉินซีกล่าวอย่างแย้มยิ้ม พลางอธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟังอย่างรวดเร็ว จากนั้นเยี่ยเหยียนและคนอื่น ๆ ก็เข้าใจ
“คารวะ นายท่านใหญ่” เยี่ยเหยียนโค้งคำนับด้วยความเคารพต่ออู๋เซวี่ยฉานที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เสียวเป่ายิ้มขณะทักทายอู๋เซวี่ยฉาน
สำหรับเหล่าไป๋ มันเก็บปีกไว้ด้านหลังและดูไม่กระวนกระวายใจ ราวกับไม่ยอมจำนนต่อหน้าอู๋เซวี่ยฉาน
อู๋เซวี่ยฉานพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา จากนั้นก็มองไปที่เฉินซี และกล่าวว่า “ยังมีอีกคนหนึ่ง”
เฉินซีตกตะลึงและรู้สึกสับสนเล็กน้อย
อู๋เซวี่ยฉานชี้ไปที่หูของเฉินซี
สีหน้าของเฉินซีแข็งค้างทันที ข้าลืมนางไปได้ยังไง!?
เขาจับหูด้วยมือข้างเดียวและดึงหญิงงามตัวน้อยออกมาอย่างระมัดระวัง ซึ่งสูงเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น นางมีรูปลักษณ์ที่วิเศษและวิจิตร แต่ดวงตาของนางก็ปิดสนิทราวกับว่านางกำลังหลับลึก
ที่น่าตกใจก็คือแท้จริงแล้วหญิงสาวผู้นี้คืออาเหลียง เจ้าหญิงตัวน้อยแห่งเผ่าจุลบรรพกาล!
เมื่อหลายปีก่อน คราครั้งที่เขามุ่งหน้าไปยังเอกภพมสิหิมจากแดนโลกาวินาศ อาเหลียงได้ต้านการโจมตีอย่างเต็มกำลังของเยี่ยเหยียนเพื่อที่จะช่วยเหลือเฉินซี ในท้ายที่สุด แม้ว่านางจะรอดชีวิตมาได้ แต่นางก็หมดสติไปตั้งแต่นั้นมา และนางก็ยังคงไม่ตื่นมาจนถึงตอนนี้
เยี่ยเหยียนตกตะลึงเมื่อเห็นอาเหลียง จากนั้นสีหน้าของนางก็อึดอัดเล็กน้อยในทันที เพราะนางเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้
“ข้า…” เยี่ยเหยียนเปิดปากด้วยความตั้งใจที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง
แต่เฉินซีโบกมือแล้วกล่าวว่า “อดีตผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอีก”
“ฝากนางไว้กับข้า” อู๋เซวี่ยฉานยิ้มอย่างอบอุ่น ในขณะที่เขารับตัวอาเหลียงจากเฉินซี เขาพินิจนางอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะกล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่นึกเลยว่า สาวน้อยคนนี้จะได้รับมรดกที่แท้จริงของเผ่าจุลบรรพกาล ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาเจริญมรณา เมื่อนางตื่นขึ้นมา การบ่มเพาะของนางอาจจะได้รับการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจอีกครั้ง”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็กล่าวกับเฉินซีว่า “ศิษย์น้องเล็ก ไม่จำเป็นต้องกังวล สาวน้อยคนนี้ได้รับประโยชน์จากเภทภัย และนางสุขสบายดี”
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้สึกโล่งใจและละอายไปพร้อม ๆ กัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเองตลอดเวลา จนเกือบลืมอาเหลียงไปแล้ว และเขารู้สึกว่ามันไม่ควร
“เอาละ เจ้าสามารถเข้าไปในเจดีย์แห่งการเริ่มต้นได้ อาจารย์ลุงตี้ซุนฝึกฝนอยู่ภายในนั้น ดังนั้นเขาจะชี้แนะการบ่มเพาะให้แก่เจ้า สำหรับบรรดาสหายของเจ้า พวกเขาจะอาศัยอยู่ในเขาเทพพยากรณ์ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรเลย” อู๋เซวี่ยฉานยิ้มพลางกล่าว
“ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องรบกวนศิษย์พี่แล้ว” เฉินซีประสานมือคารวะแล้วกล่าว
“ไปเถอะ ข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบ เมื่อการถกวิถีเต๋าใกล้เริ่มขึ้น” ทันทีที่เขากล่าวจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและหายตัวไปพร้อมกับพาเยี่ยเหยียน เหล่าไป๋ เป่าน้อย และอาเหลียงไปด้วย
…
เฉินซีไม่ลังเลเลยที่จะผลักประตู และพุ่งเข้าไปในเจดีย์แห่งการเริ่มต้น
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจ เพราะภายในเจดีย์กลับมีท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว!
มีดวงดาวมากมายกระจัดกระจายอยู่ภายในนั้น แต่ดาวทั้งหมดกลับหยุดนิ่ง มิหนำซ้ำ แต่ละดวงยังมีกลิ่นอายของมหาเต๋าที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ที่น่าตกใจเป็นพิเศษ คือกลิ่นอายของมหาเต๋าเหล่านั้นดูจับต้องได้ และพวกมันเผยให้เห็นสีสันที่งดงามทุกสี เช่น สีแดงเข้ม สีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วง และอื่น ๆ
“เจ้าคือเฉินซีกระมัง?” เสียงที่ไม่แยแสเหมือนสายน้ำดังก้อง
เฉินซีหันศีรษะทันควันและสังเกตเห็นดอกบัวสีเขียวบานสะพรั่งที่ด้านข้างของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มีร่างที่เพรียวบางและทรงพลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างใน
เขาสวมเสื้อคลุม มีมงกุฎขนนกสีม่วงทองอยู่บนศีรษะ กระดูกสันหลังของเขาเป็นเหมือนเสาที่ค้ำยันสวรรค์ ในขณะที่ไหล่ของอีกฝ่ายเหมือนดั่งเทือกเขาที่พาดผ่านโลก ใบหน้าหล่อเหลาคมคร้ามของเขาถูกปกคลุมด้วยท่าทางที่แน่วแน่และมั่นคง
เมื่อมองจากระยะไกล ดูเหมือนว่าไม่ได้กำลังมองคนอยู่ และมันก็เหมือนกับการมองเทพเจ้าแห่งการรังสรรค์ที่สถิตอยู่ในโลก กลิ่นอายอันสง่างามของเขานั้นกว้างใหญ่และยิ่งใหญ่อย่างไร้ขอบเขต!
แค่มองเพียงแวบเดียว ก็ทำให้ใจเฉินซีสั่นไหว และรู้สึกเคารพในใจอย่างอดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังรู้สึกอยากคารวะด้วยความจริงใจด้วยซ้ำ
เขาตระหนักดีอย่างชัดเจนว่าการที่เป็นเช่นนี้ เนื่องเพราะระดับการบ่มเพาะของพวกเขาต่างชั้นกันเกินไป และจิตใจของเขาก็ได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายที่น่าประทับใจของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับจ้าวเต๋าอย่างอู๋เซวี่ยฉาน แต่เฉินซีก็ไม่เคยสั่นคลอนขนาดนี้มาก่อน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราผู้นี้ที่มีท่าทางสง่างามและมั่นคง ทั้งยังมีกลิ่นอายน่าเกรงขามดุจเทพเจ้าแห่งการรังสรรค์ ย่อมคือตี้ซุน บรรพชนผู้ก่อตั้งคนที่สองของเขาเทพพยากรณ์!
“ศิษย์เฉินซีคารวะท่านอาจารย์ลุง” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนโค้งคำนับ
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้า” ดวงตาของตี้ซุนเป็นเหมือนดวงดาวและเปล่งประกายด้วยรัศมีอันลึกล้ำของเต๋า เขาจ้องมองที่เฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ยอดเยี่ยมมากเด็กน้อย ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าได้รับการยอมรับจากที่พำนักของฝูซี เซวี่ยฉานได้บอกข้าเกี่ยวกับเจ้าแล้ว เมื่อเจ้ากลับมาที่นิกายแล้ว ก็จงปักหลักและบ่มเพาะ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของโลกภายนอกอีกต่อไป”
“น้อมฟังคำสอนอาจารย์ลุง” แม้ว่าเฉินซีจะพยายามเต็มที่เพื่อสงบอารมณ์ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการวางตัวอย่างสุภาพ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสเช่นตี้ซุน ที่เป็นเหมือนซากดึกดำบรรพ์ที่มีลมหายใจ
มันช่วยไม่ได้ แม้ว่ากลิ่นอายน่าเกรงขามของตี้ซุนจะมองไม่เห็น แต่มันก็ส่งผลกระทบโดยตรงที่หัวใจ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทาน
“ดาวทุกดวงในเจดีย์แห่งการเริ่มต้นนั้น ถูกสร้างขึ้นตามประเภทของมหาเต๋า และเจ้าจะสามารถได้รับผลประโยชน์ที่ไม่อาจจินตนาการได้เมื่อบ่มเพาะบนพวกมัน” ตี้ซุนไม่ปล่อยให้เสียเวลาเขากล่าวตรงไปตรงมาว่า “อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะบ่มเพาะบนพวกมัน เจ้าต้องอดทนต่อแรงกดดันของมหาเต๋าที่กดลงบนตัวเจ้า ยิ่งเจ้าสามารถอดทนได้มากเท่าไร ก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นตามที่เจ้าบ่มเพาะ”
“เป็นเช่นนั้นเอง” ตอนนี้เฉินซีเริ่มเข้าใจแล้ว และเขาก็ตระหนักว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ดูสิ ดาวของมหาเต๋าครอบคลุมพื้นที่ถึงหนึ่งพันห้าร้อยลี้ ยิ่งเจ้าไปไกลเท่าไร แรงกดดันของมหาเต๋าก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สิ่งที่เจ้าต้องทำคือค้นหาดาวที่เหมาะต่อการบ่มเพาะของเจ้า และอย่าได้ฝืนเกินขีดจำกัด มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อเจ้าเท่านั้น”
สายตาของตี้ซุนจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในระยะไกล “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ศิษย์พี่ของเจ้า อู๋เซวี่ยฉานได้ไปถึงดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบลี้ ขณะที่เขาอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์แบบ และเขาบรรลุขอบเขตมหาราชเทวาในรวดเดียว หลังจากที่ออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ เขาก็ได้รับตำแหน่งจ้าวเอกภพทันที”
“ศิษย์พี่ถังเสียนของเจ้าได้ไปถึงดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบลี้เมื่อหลายปีก่อน และบรรลุขอบเขตมหาราชเทวาในทำนองเดียวกันเมื่อเขาออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ”
“ปัจจุบันเจ้าอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสูงเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าเจ้าจวนจะถึงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ดังนั้นจงจำไว้ว่า เจ้าต้องไม่ก้าวไปข้างหน้าอย่างหุนหันพลันแล่นเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า ข้าขอแนะนำให้เจ้าเลือกดวงดาวภายในระยะพันลี้เพื่อบ่มเพาะ” ตี้ซุนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและอธิบายทุกอย่างเกี่ยวกับเจดีย์
“ขอบคุณที่ชี้แนะ ท่านอาจารย์ลุง” เฉินซีประสานมือคารวะอีกครั้ง
“ไปเถอะ อย่าเสียเวลาอีกต่อไป เส้นทางแห่งเทวภาพดูเหมือนจะมีอายุขัยอันไร้ขอบเขตเพื่อให้ใคร ๆ ได้ใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราตั้งใจที่จะก้าวเข้าสู่จุดสิ้นสุดของมหาเต๋า และต่อสู้เพื่อชิงความเป็นใหญ่กับสวรรค์ การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวจะทำให้เราช้าลงในทุกสิ่ง และเราจะพลาดโอกาสมากมาย”
ตี้ซุนย้ำเตือน “เหมือนกับแดนรวนเรลืมเลือน หากการบ่มเพาะในปัจจุบันของเจ้าอยู่ที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้น เจ้าจะไม่สามารถเข้าไปได้อย่างแน่นอน และหากเจ้าไม่สามารถเข้าไปได้ นั่นหมายความว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้เป็นจ้าวเอกภพ …ดังนั้นเจ้าควรตั้งเป้าไปที่การบรรลุขอบเขตมหาราชเทวาและตั้งใจที่จะได้รับพลังเอกภพเสีย”
หัวใจของเฉินซีสั่นไหว เขากล่าวด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ท่านอาจารย์ลุงอย่าได้กังวล โดยธรรมชาติแล้ว ศิษย์จะไม่ละความพยายามใด ๆ ในวิถีแห่งการสู่เต๋า และศิษย์จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ประสบความสำเร็จ”
ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินไปยังบริเวณที่ถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยดวงดาวมากมายของมหาเต๋า
………………..