บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1828 บรรพชนผู้ก่อตั้งถึงกับตกตะลึง
บทที่ 1828 บรรพชนผู้ก่อตั้งถึงกับตกตะลึง
………………..
บทที่ 1828 บรรพชนผู้ก่อตั้งถึงกับตกตะลึง
เฉินซีไม่ได้ถอนหายใจเช่นนี้มานาน จากนั้นจึงเดินทางต่อ
ตอนนี้เขาดูผ่อนคลาย แต่ที่จริงตอนนี้เขากำลังต้านทานแรงกดดันจากมหาเต๋าอยู่ เห็นได้ชัดจากสีหน้าและความก้าวหน้าที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า
ครืน!
แรงกดดันจากพลังมหาเต๋ายิ่งดุดันขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังเริ่มส่งเสียงดั่งฟ้าลั่นก้องไปทั่วบริเวณ
ตู้ม!
เฉินซีรู้สึกสะท้านไปทั่วร่าง คล้ายกับถูกคุ้นเขาขนาดใหญ่กดทับลงมา ซวนเซไปเล็กน้อย คล้ายกับจะถูกดีดกระเด็นไป
ความลำบากยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ …. แสงศักดิ์สิทธิ์ฉายชัดในแววตาเฉินซี จ้องไปยังส่วนลึกของดวงดาวดวงนั้น แล้วกัดฟันเดินหน้าต่อ
แรงกดดันยังคงทวีคูณขึ้น กระทั่งจิตวิญญาณและดวงจิตแห่งเต๋าก็ยังถูกกดดันอย่างแรงกล้า ให้ความรู้สึกหายใจไม่ออกคล้ายกับกำลังจมน้ำ
ตอนนี้เขาใช้เต็มกำลังแล้ว แต่ความเร็วก็ยิ่งลดลง ยิ่งก้าวเท้าลำบากขึ้นเรื่อย ๆ ….
ห้าพันลี้
พอมาถึงจุดนี้ กระดูกภายในร่างก็ลั่นไปหมด ไม่อาจทนต่อแรงกดดันที่กดทับลงมาได้อีก รูขุมขนทั่วร่างปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ใบหน้าจริงจังอย่างถึงที่สุด
เป็นจังหวะนั้นเองที่เขาเห็นว่ามีดวงดาวอีกดวงที่ปลดปล่อยกลิ่นอายของตราประทับเจตจำนงออกมา
จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้เขาก็เคยเห็นดาวเช่นนี้มาก่อน มีตราประทับเจตจำนงที่ศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ทิ้งเอาไว้ มีของศิษย์รุ่นสามฮวาเยี่ยน และของคนอื่น ๆ สลักไว้เช่นกัน
แต่พวกมันก็ไม่อาจเทียบได้กับตราประทับเจตจำนงบนดาวดวงนี้เลย
ดาวดวงนี้คล้ายกับดาวน้ำแข็ง สามารถมองทะลุผ่านคล้ายผลึกแก้ว และปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกเสียดแทงออกมา แค่มองก็ทำให้ความเย็นเสียดลึกถึงภายใน เป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่ง
บนดาวดวงนั้นมีทะเลสาบสีน้ำเงินสายหนึ่ง มันปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง มีเรือกระดาษสีดำสนิทลอยอยู่ในนั้น มันลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางธารน้ำแข็งนั่น ดูไม่สะดุดตาสักเท่าไหร่
แต่กลับสามารถดึงดูดสายตาของเฉินซีได้ในทันที
…ชายหนุ่มคิดว่ามันดูไม่ธรรมดา แม้จะมีสีดำสนิทดั่งม่านราตรี และคล้ายดั่งเรือลำน้อยกลางธาราใหญ่ แต่หากมองให้ดี จะเห็นเข้ากับกลิ่นอายอันยิ่งใหญ่ที่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง!
เหมือนกับว่าหากเรือลำนั้นต้องการ มันก็จะสามารถบรรทุกทุกสิ่งอย่างในใต้หล้านี้ได้!
“หลังปิดด่านบ่มเพาะมาถึงสิบแปดปี แต่ละปีนั้นแตกต่าง ข้าหัวเราะและถอนใจให้กับโชคชะตาที่นำพาโดยมหาเต๋า มันเปลี่ยนผันไปตลอดเหมือนกับเรือที่ลอยลำไปอย่างไร้จุดหมาย” ยามมองเรือกระดาษลำนั้นแล้ว เสียงถอนใจหนึ่งก็ดังก้องขึ้นภายในจิตใจ เหมือนเป็นอารมณ์และความสุขสมหนึ่งผุดขึ้นมา
ถังเสียน!
เฉินซีรู้ในทันทีว่าเรือลำนี้เป็นศิษย์รุ่นแรกสายบรรพชนผู้ก่อตั้งเหวินเต้าเจิน ‘ถังเสียน’ ทิ้งเอาไว้!
การที่เขาสามารถเข้าใจความลึกล้ำแห่งความแตกต่างทั้งหลายของมหาเต๋าทั้งที่อยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้ ก็นับว่าศิษย์พี่ถังเสียนเองก็ไม่ใช่ธรรมดา!
ด้วยมันคือความผันแปร!
มหาเต๋านั้นเปลี่ยนผันอยู่ตลอด ไม่สามารถอธิบายหรือให้คำจำกัดความได้เลย
เมื่อหลายปีก่อน ถังเสียนมีความเข้าใจขั้นสูงในมหาเต๋า ซึ่งคนอื่นไม่อาจเข้าใจถึงขั้นนี้ได้ จึงเป็นเหตุผลให้เขาเข้าใจความเป็นไปเบื้องหลังของการเปลี่ยนผันในมหาเต๋า และขึ้นสู่ขอบเขตมหาราชเทวาตอนปิดด่านบ่มเพาะที่นี่ได้
ตอนนี้ถังเสียนเป็นมหาเทพเต๋าแล้ว เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขามีพรสวรรค์มากแค่ไหน
เฉินซีจับจ้องเรือกระดาษสีดำพยายามทำความเข้าใจ และเหมือนเขาจะจับอะไรได้บางอย่าง แต่เขายังไม่อาจอธิบายมันออกมาได้
ฟึบ!
กระแสพลังอบอุ่นอันบริสุทธิ์บางอย่างค่อย ๆ แผ่ออกมาจากจักรวาลภายในร่าง ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้เขาถูกแรงกดดันจากพลังมหาเต๋าที่อยู่ภายในเจดีย์ไม่น้อย มากจนถึงขั้นก้าวต่อแทบไม่ไหว กระดูกภายในร่างไม่อาจทนแรงกดดันเหล่านั้นได้อีกต่อไป
แต่ตอนนี้กลับมีกระแสพลังงานลุกโชนขึ้นมาจากภายในร่าง บรรเทาความกดดันลงมาก ทำให้ทั่วร่างรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
เป็นเพราะเทพเมรัยสิบสมบัติ! เฉินซีเข้าใจทันที พลังจากเทพเมรัยสิบสมบัติที่ชายหนุ่มดื่มไปก่อนหน้านี้นั่นเอง จากที่ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉานว่าไว้ พลังภายในสุรานี้มีมากทีเดียว
และเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มันจึงนับว่าเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดี
เฉินซีได้แต่เดาว่าศิษย์พี่ใหญ่คงคาดเดาถึงสถานการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะต้องเจออะไรบ้างเมื่อเข้าเจดีย์แห่งการเริ่มต้น ศิษย์พี่ใหญ่จึงได้เตรียมเทพเมรัยสิบสมบัติไว้ให้ล่วงหน้า
นับว่าอู๋เซวี่ยฉานคิดแทนเขาและใส่ใจเขาอยู่ไม่ใช่น้อย ทำให้เฉินซีรู้สึกอุ่นใจ
จากนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปต่อ
ตลอดทางนั้น แรงกดดันมหาเต๋าที่พบเจอยิ่งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยิ่งมันเพิ่มสูงขึ้น ก็ยิ่งทำให้พลังเทพเมรัยสิบสมบัติภายในร่างได้ปลดปล่อยออกมา กลั่นเกลาร่างกาย ทำให้เฉินซีมีพลังเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุด
เป็นเหมือนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ มันไม่เพียงฝึกฝนร่างกายและกลั่นรากฐานให้เขาได้เท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ต่อการฝึกดวงจิตแห่งเต๋าให้แกร่ง และอุ้มชูพลังจิตได้อีกด้วย
ห้าพันสองร้อยลี้
ห้าพันสี่ร้อยลี้
เมื่อเฉินซีเดินหน้ามาถึงตรงนี้ ทั้งพลัง แก่นพลัง และจิตวิญญาณในร่างก็พลุ่งพล่านเหมือนดวงไฟในเตา พลังชีวิตเดือดพล่าน คล้ายกับว่ากำลังอยู่ในจุดที่พลังสูงสุด
ถึงขั้นที่เริ่มมีโอกาสในการทะลวงขอบเขตสูงขึ้น
สิ่งนี้จึงทำให้เฉินซีรู้ว่า แม้เขาจะหยุดลงตรงนี้ ก็คงสามารถเริ่มทะลวงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์ได้ทันที!
แต่สุดท้ายเขาก็ยับยั้งความอยากนั้นไว้
เพราะในพริบตานั้น เขาก็เห็นตราประทับเจตจำนงอีกชิ้นหนึ่ง!
กลิ่นอายมันแผ่ออกรอบดวงดาวสีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นน้ำ สว่างใสและโคจรไปมาไม่หยุด
บนดาวดวงนั้นมีโต๊ะหินตั้งอยู่ พื้นผิวของมันถูกสลักไว้ด้วยตัวอักษรธรรมดา ๆ ‘วารีนั้นอ่อนโยน เลี้ยงดูอุ้มชูทุกเหล่า ไร้ความขัดแย้งใด กำเนิดเกิดอยู่ทุกที่ เมื่อรุกโจมตี ศัตรูไม่รู้จะป้องกันอย่างไร ยามตั้งรับ ศัตรูอ่านไม่ออก ไม่อาจสั่นสะท้านได้แม้แต่นิด!’
โดย ‘ศิษย์รุ่นแรกของบรรพชนผู้ก่อตั้งฝูซี อู๋เซวี่ยฉาน!’
หรือก็คือดาวดวงนี้คือสถานที่ซึ่งอู๋เซวี่ยฉานทำความเข้าใจเต๋าและเคยใช้บ่มเพาะพลังเมื่อหลายปีก่อน
วารีนั้นอ่อนโยน เลี้ยงดูอุ้มชูทุกเหล่า ไร้ความขัดแย้งใด กำเนิดเกิดอยู่ทุกที่ เมื่อรุกโจมตี ศัตรูไม่รู้จะป้องกันอย่างไร ยามตั้งรับ ศัตรูอ่านไม่ออก ไม่อาจสั่นสะท้านได้แม้แต่นิด…. เฉินซีพึมพำวจีเหล่านั้นไม่หยุด จากนั้นในใจก็บังเกิดความเข้าใจอีกสายหนึ่งแล่นเข้ามา
ผ่านไปไม่นานเฉินซีก็รู้สึกสั่นสะท้าน เขาละทิ้งทุกความเข้าใจที่ได้มา ไม่ทิ้งสายตามองดาวดวงนั้นอีก แล้วมุ่งหน้าต่อไป
นี่คือเต๋าของศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉาน ไม่ใช่เต๋าของเขา เขาจะสังเกตทำความเข้าใจมันก็ได้ แต่จะไม่อาจเปลี่ยนให้มันกลายเป็นของเขาได้โดยสมบูรณ์
เพราะเฉินซีเองก็มีเต๋าของตนเอง!
…
“สังเกตเต๋า แต่ก็จริงแท้ต่อใจของตน ถึงได้รับความเข้าใจมา แต่ก็ยังรั้งอยู่บนเส้นทางตนเอง เด็กคนนี้ไม่ด้อยไปกว่าอู๋เซวี่ยฉานกับถังเสียนเมื่อหลายปีก่อนเลย” ณ ทางเข้าเจดีย์แห่งการเริ่มต้น บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตี้ซุนถอนหายใจออกมา
เห็นได้ชัดว่าจับตามองเฉินซีมาโดยตลอด
“เดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นตี้ซุนก็หรี่ตามอง พลันฉายแววศักดิ์สิทธิ์ออกมา “เด็กคนนี้อยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสูง ทั้งยังมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของเจดีย์ไปแล้ว รวมถึงผ่านสถานที่ซึ่งถังเสียนกับอู๋เซวี่ยฉานเคยใช้บ่มเพาะเมื่อหลายปีก่อนไป ทั้ง ๆ ที่ในยามนั้นทั้งสองยังทำเช่นนี้ไม่ได้เลย”
เขาเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืนเอามือไพล่หลัง ใต้สองเท้าคือดอกบัวสีเขียว เมื่อกะพริบตาอีกครา ก็เหมือนเห็นตะวันจันทราอยู่ในนั้น คล้ายว่าแผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องออกไปไกล
ในสายตาของตี้ซุน เฉินซีเป็นเหมือนหอยทากที่ค่อย ๆ ดำเนินเดินไปอย่างช้า ๆ ดูเป็นหอยตัวจ้อยร่อยเท่านั้น
ทว่านับแต่เริ่มมา เฉินซีไม่เคยถอยเลยแม้แต่ก้าวเดียว!
หลายช่วยยามผ่านไป เฉินซีก็มาถึงระยะห้าพันแปดร้อยลี้
ทำให้ใบหน้าลึกล้ำของตี้ซุนเผยแววตกใจออกมาในที่สุด
เขาพำนักอยู่ที่นี่มานานนับปี หากมีศิษย์มาบ่มเพาะที่นี่ เขาก็จะคอยชี้แนะให้แต่ละคน และได้มองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างที่ศิษย์ทุกคนมาทำการบ่มเพาะที่นี่
เท่าที่จำได้ อู๋เซวี่ยฉานน่าจะเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดมาจนถึงตอนนี้ ทั้งอู๋เซวี่ยฉานยังใช้ความแน่วแน่จนไปถึงระยะห้าพันแปดร้อยลี้ได้ในที่สุด
ไม่มีใครข้ามผ่านจุดนี้ได้อยู่นานหลายปี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมาถึงจุดนี้ได้มาก่อน
แต่เห็นได้ชัดแล้วว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความสำเร็จที่อู๋เซวี่ยฉานเคยทำไว้เมื่อหลายปีก่อนถูกเฉินซีทำลายสถิติเสียแล้ว!
ตี้ซุนไม่ได้สนใจอันดับศิษย์ในเจดีย์มานานแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้เขาเห็นได้ชัดเลยว่าสหายน้อยผู้เพิ่งกลับสำนักมาได้ไม่นานผู้นี้มีเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงหลายอย่าง
ทั้งพลังกาย พรสวรรค์ พลังใจ และความเฉลียวฉลาดที่เด็กคนนี้แสดงออกมาเกินกว่าที่ตี้ซุนคาดเอาไว้ยิ่งนัก
จนถึงตอนนี้ กระทั่งตี้ซุนเองยังมองเฉินซีไม่ออกอยู่บ้าง
หากคนอื่นได้รู้เรื่องนี้เข้าก็คงแทบไม่อยากเชื่อ เพราะอย่างไรตี้ซุนก็เป็นตัวตนในรุ่นเดียวกับฝูซี กล่าวได้ว่าเป็นบรรพชนรุ่นก่อตั้ง มีอำนาจสูงส่งไม่ใช่เล่น
แต่กระทั่งเขายังถูกความสามารถของเฉินซีทำให้ตกใจได้ ทั้งยังอ่านเด็กคนนี้ไม่ขาด ดังนั้นมีหรือผู้อื่นจะไม่ตกใจ?
จริง ๆ แล้วสาเหตุของเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะโชคชะตาของเฉินซีถูกปิดบังเอาไว้ มันลึกล้ำเกินหยั่ง ทำให้คนอย่างตี้ซุนไม่อาจอ่านชะตาเขาออก
“หืม? ยังจะไปต่ออีกหรือ?” ทันใดนั้นตี้ซุนก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าหลังจากเฉินซีมาถึงระยะห้าพันแปดร้อยลี้แล้ว แต่กลับยังไม่หยุดฝีเท้าแล้วก้าวต่อ
ทว่าเมื่อเทียบเทียบกับแต่ก่อน แต่ละก้าวของเฉินซีเหมือนใช้เต็มกำลัง ดูยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสั่นสะท้านไปทั่วร่างอีกต่างหาก
“สหายผู้นี้หัวรั้นไม่เบา บอกแล้วว่าอย่าฝืนตนเอง แค่เลือกดาวดวงที่เหมาะกับตนเองที่สุดเท่านั้นก็เพียงพอ แต่ก็ไม่ฟังกันเลย….” ตี้ซุนขมวดคิ้วแน่น เริ่มเป็นห่วงเฉินซีขึ้นมา ถึงขั้นที่เตรียมตัวเข้าไปช่วยแล้ว
เขารู้ดีว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จังหวะที่เฉินซีเริ่มแสดงความอ่อนล้าออกมา ถึงตอนนั้นก็คงเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นแล้ว
หากเขาเข้าไปช่วยไม่ทัน ก็อาจทำให้เฉินซีเกิดธาตุไฟเข้าแทรกได้!
เวลาอีกหลายชั่วยามผ่านไป
แต่ตี้ซุนก็ต้องประหลาดใจเมื่อเฉินซียังไม่แสดงความอ่อนล้าออกมาเสียที กลับยังสามารถฝืนก้าวต่อไปได้ด้วยความบากบั่น
“หรือว่าเด็กคนนี้คิดจะไปถึงระยะหนึ่งหมื่นสองพันลี้?” ตี้ซุนหรี่ตาลง อดรู้สึกชื่นชมในความมุ่งมั่นของเฉินซีขึ้นมาไม่ได้ เพราะมันช่างแข็งกล้านัก เป็นภาพที่เขาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน!
………………..