บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1830 ห้าปีถัดมา
บทที่ 1830 ห้าปีถัดมา
………………..
บทที่ 1830 ห้าปีถัดมา
เป็นความรู้ทั่วไปที่คำว่า ‘ห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ’ สื่อถึงห้าขุมกำลังโบราณอันถือได้ว่าสูงสุดในแดนเทพโบราณ ไม่มีทางหาตัวตนอื่นใดทั่วแดนเทพโบราณเทียบเคียงห้ามหาอำนาจนี้ได้อีกแล้ว
ทว่ายามนี้ ห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิกลับพร้อมใจปล่อยข่าวการร่วมมือจัดการถกวิถีเต๋าของพวกตน ทันทีที่ข้อมูลของมันถูกปล่อย มันก็กวาดกระหน่ำทั่วแดนเทพโบราณดั่งเช่นพายุสะท้านโลกา แพร่กระจายรวดเร็วเหลือเชื่อ สร้างเสียงฮือฮาทั่วทิศยิ่งกว่าหนใด
ชั่วขณะนั้น เสียงหารือเกี่ยวกับการถกวิถีเต๋าเหมือนจะกลายเป็นประเด็นร้อนที่สุดซึ่งถูกจับตามองจากทั่วแดนเทพโบราณ
“มหกรรมการถกวิถีเต๋าระดับนี้ ไม่เคยเกิดมาก่อนจริงแท้ ควรค่าทิ้งร่องรอยเป็นประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ของแดนเทพโบราณ!” คนมากมายอุทานอย่างประหลาดใจ ตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ของห้ามหาอำนาจ
“เรื่องนี้ไม่ธรรมดา เพราะนับแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน เขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาเป็นอริกับนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์ดุจน้ำกับไฟเสมอมา แต่ยามนี้พวกเขากลับทิ้งความเป็นศัตรูมาร่วมมือกัน เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอยู่เป็นแน่” ใครบางคนอุทานอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าการถกวิถีเต๋านี้ผิดปกติ
“ข้าได้ยินมาว่า การร่วมมือครั้งนี้สร้างขึ้นและนำโดยสำนักเต๋าซึ่งเป็นกลางมาตลอด และจุดประสงค์ของการถกวิถีเต๋านี้ก็คือเลือกศิษย์กลุ่มหนึ่งในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอันมีความเป็นเลิศเพื่อส่งไปตั้งเอกภพใหม่ที่แดนรวนเรลืมเลือนนะ” มีผู้รู้รอบบางคนอธิบายถึงการถกวิถีเต๋านี้
“เอกภพใหม่! เอกภพใหม่ไม่ได้บังเกิดในแดนเทพโบราณมานานเพียงไรแล้วหนอ? มิน่าเล่าห้าสุดยอดจึงร่วมมือกันได้ ที่แท้ก็เพื่อจัดตั้งเอกภพใหม่นี่เอง!”
“ยามนี้เหมือนว่าเหล่าผู้เข้าร่วมการถกวิถีเต๋านี้จะมีแต่ตัวตนสูงสุดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลในห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิเท่านั้นกระมัง?”
“ไม่จบแค่นั้นหรอก เมื่อการถกวิถีเต๋าถูกจัดขึ้น น่าจะดึงดูดยอดฝีมือทั้งหมดในร้อยอันดับแรกของเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลมาเข้าร่วมกันหมดแน่!”
“เป็นมหกรรมรวมตัวยอดฝีมือจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็คาดหวังต่อการถกวิถีเต๋าหนนี้นัก!”
เสียงหารือเช่นนี้เกิดขึ้นในทุกเอกภพทั่วแดนเทพโบราณ เผยชัดถึงอิทธิพลของข้อมูลอันถูกเผยแพร่โดยห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดินี้
นอกจากนั้น ผู้บ่มเพาะบางคนยังตั้งใจจับตามองการถกวิถีเต๋าอย่างถึงที่สุด และเริ่มออกเดินทางมารวมตัวที่เอกภพจักรวรรดิจากทั่วสารทิศแต่เนิ่น ๆ
เห็นได้ชัดเจนว่า ในวันเปิดฉากการถกวิถีเต๋า ย่อมมีผู้ชมหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมหาศาล
…
ในเจดีย์แห่งการเริ่มต้น
เขาหารู้ไม่ว่าทั่วเอกภพจักรวรรดิอยู่ในสภาวะตกตะลึง เบนความสนใจมายังการถกวิถีเต๋าที่กำลังจะเริ่มขึ้นเป็นตาเดียว
ขณะนี้ เฉินซียังจมอยู่ในการบ่มเพาะ ไม่ได้รับรู้ถึงการเคลื่อนผ่านแห่งเวลาเลย
ห้าปีมานี้ การบ่มเพาะแปรสภาพปราณ การบรรลุเต๋า ดวงจิตแห่งเต๋า เต๋าแห่งกระบี่ของเขา… แทบทุกสิ่งต่างพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
สิ่งนี้หมายความว่า อำนาจต่อสู้โดยรวมของชายหนุ่มพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดต่อเนื่องในช่วงห้าปีผ่านมา!
ใช่แล้ว ไม่ใช่เพียงการพัฒนาหนเดียว แต่เป็นการพัฒนาต่อเนื่อง!
การพัฒนาสู่ขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทำให้รากฐานและพลังชีวิตของเขาโถมทวีมหาศาล เมื่อเทียบกับในอดีต อำนาจต่อสู้ของเขาก็พัฒนาไปอย่างมากจนชัดเจน
เมื่อบรรลุการรู้แจ้งถึงเต๋าขั้นสูงอย่างสมบูรณ์ทำให้อำนาจต่อสู้ของเขาพัฒนาไปอีกครั้ง
หากรวมการพัฒนาการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋า เต๋าแห่งกระบี่และการเสริมแกร่งดวงจิตของเขาเข้าด้วย อำนาจต่อสู้ของเขาจะนิ่งค้างไร้ความคืบหน้าได้อย่างไร?
เมื่อการพัฒนาเปลี่ยนแปลงทั้งหลายผนวกเข้าด้วยกัน ก็ทำให้อำนาจปัจจุบันของเฉินซีทะลวงสูงเกินคาดเดาตะลึงโลกา!
ส่วนเรื่องที่เฉินซีในขณะนี้แข็งแกร่งเพียงไรนั้น กระทั่งตัวเขาก็ยังตัดสินไม่ได้
เพราะถึงอย่างไร การพัฒนาของเขาหนนี้ก็เกิดธรรมดาเกินไป ไม่เหมือนในกาลก่อน เขาไม่เพียงพัฒนาการบ่มเพาะ ยังก้าวหน้าในทุกอำนาจในกำมือ!
การที่เฉินซีทำได้เช่นนี้ มิใช่เพราะโชคช่วย
หนึ่งเป็นเพราะรากฐานของเขาลึกล้ำแข็งแกร่ง ขณะที่พลังทั้งปวงของเขาถูกขัดเกลาจนไร้ที่ติมาก่อนแล้ว เขาจึงจวนเจียนข้ามขอบเขตได้เต็มทีมาแต่เริ่ม
ขณะเดียวกัน ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากเทพเมรัยสิบสมบัติที่ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เซวี่ยฉานให้เขาดื่มด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเจดีย์แห่งการเริ่มต้น!
สมบัตินี้ตั้งตระหง่านในจุดสำคัญแห่งหนึ่งของเขาเทพพยากรณ์ ซึ่งฝูซีเป็นผู้ตั้งไว้เอง ยามนี้กระทั่งตี้ซุนยังอาศัยอยู่ในนี้
เพียงเรื่องนี้ลำพังก็เพียงพอพิสูจน์ได้ว่าเจดีย์นี้ไม่ธรรมดาเพียงไร ไม่มีทางเป็นสิ่งที่สมบัติวิญญาณธรรมชาติทั่วไปจะเทียบได้เลย
นอกจากนั้น หลังจากเฉินซีเข้ามา เขายังเผชิญอุปสรรคด่านเคราะห์มากมาย กว่าจะไปถึงดาวดวงท้ายสุดในเจดีย์ เข้าสู่วงล้อมแห่งมหาเต๋าในโลกหล้า จนบัดนี้ มีเพียงเขาที่ได้สถานที่ฝึกฝนเช่นนั้น ผลประโยชน์ที่ชายหนุ่มได้จึงเกินคณานับ
เห็นได้ชัดเจนจากสีหน้าตกตะลึงสุดขีดของบรรพชนผู้ก่อตั้งตี้ซุน
สรุปคือ แม้การพัฒนาที่เฉินซีประสบตลอดห้าปีนี้อาจเกี่ยวข้องกับชะตา แต่ไม่มีทางเกี่ยวกับโชคได้เลย
“ศิษย์น้องเล็ก” ทันใดนั้น หนึ่งเสียงอันนุ่มนวลก็ดังขึ้น ปลุกเฉินซีขึ้นจากภวังค์การบ่มเพาะ ศิษย์พี่ใหญ่?
“การถกวิถีเต๋าจะเริ่มแล้ว เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”
เฉินซีตอบ “ข้าพร้อมเดินทางทุกเมื่อ”
“ก็ดี งั้นออกมาจากเจดีย์เลย” เสียงของอู๋เซวี่ยฉานตอบกลับมาทันที
เฉินซีลุกขึ้นทันที เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะยื่นมือคว้าหินก้อนหนึ่ง ขณะที่ใช้นิ้วสลักบางสิ่งลงบนนั้นดุจคมมีดอยู่เพียงครู่
เพียงพริบตา หนึ่งแผ่นศิลาคล้ายยันต์กระบี่ก็ปรากฏขึ้น แล้วเขาก็โยนมันลงพื้น
พรึ่บ!
พริบตาต่อมา อาภรณ์เขียวของเขาก็โบกสะบัด ร่างของเขาปลาสนาการไปทันที
แตกต่างจากขามา ยามเฉินซีสัญจรกลับทางเดิม เขาไม่ได้พบแรงกดดันใด ๆ และมาถึงทางเข้าเจดีย์ได้ในฉับพลัน
ยามเมื่อเฉินซีมาถึงทางเข้า ตี้ซุนผู้นั่งขัดสมาธิหลับตาบนบงกชเขียวพลันลืมตาขึ้น คู่เนตรอันดูประหนึ่งสะท้อนการผันเปลี่ยนแห่งกาลจับจ้องมายังเฉินซี
ขณะนี้ปราณของเฉินซีดูนิ่งเฉยสงบดุจกลมกลืนกับธรรมชาติ ไร้สิ่งใดพิเศษ แต่ตี้ซุนตระหนักดีว่านี่เป็นเพียงปราณที่หลุดลอดมาภายนอกเท่านั้น
เขาประจักษ์แก่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เฉินซีประสบตลอดห้าปีผ่านมา ย่อมตระหนักดีว่าเฉินซีมาสู่จุดสูงสุดเกินผู้ใดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว กระทั่งตัวตี้ซุนเองยังไม่อาจตัดสินได้ว่าเฉินซีในขณะนี้แข็งแกร่งเพียงไรกันแน่
เพียงครู่ต่อมา รอยยิ้มพอใจก็ยกขึ้นที่มุมปากของตี้ซุน
“ห้าปีผ่านไปในพริบตา แต่เจ้าหนูนี่… ฮ่า ๆ เหมือนกลายเป็นคนละคนเลย”
“อาจารย์อาชมเกินไปแล้ว” เฉินซีกุมกำปั้นคารวะ
“ไปสิ อย่าให้ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ารอนาน” ตี้ซุนโบกมือ
“หลังกลับจากข้างนอก ศิษย์จะกลับมารับคำชี้แนะจากอาจารย์อาอีกครั้ง” เฉินซีกล่าวลา โค้งตัวแล้วหันกายจาก
“นี่คือฤทธาของรากเต๋าราชจักรวรรดิหรือ? เป็นสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ในฟ้าดินจริง ๆ เจ้าเด็กนี่จึงมีอำนาจเหนือจักรพรรดิในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ดูเหมือนความยากลำบากของผู้นำยุคหมานกู่ เซวียนและศิษย์พี่ฝูซีจะไม่เสียเปล่า….” ขณะมองตามหลังเฉินซี ดวงตาของตี้ซุนก็บังเกิดเค้าอารมณ์ปนเป และเหม่อลอยด้วยหวนระลึกความหลังอย่างอดไม่ได้
ตัวตนเช่นเขาย่อมตระหนักดี ว่าทั้งเซวียนผู้นำยุคหมานกู่และฝูซี ทั้งสองล้วนเป็นผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากรุ่นก่อน
ยามนี้เฉินซีมิใช่เพียงผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลาก เขากระทั่งรับสืบทอดมรดกของฝูซี มรดกของเซวียน และรากเต๋าราชจักรวรรดิ ในด้านทรัพยากรและฝีมือที่เขามีลำพังก็ก้าวข้ามสหายร่วมขอบเขตตลอดกาลนานมา!
“บางทีมีเพียงการทำเช่นนี้ เจ้าเด็กนี่จึงสามารถสานต่อสิ่งที่คนรุ่นก่อนของเขาบุกเบิกไว้ มุ่งสู่อนาคต และตั้งมหาเต๋าสูงสุดอันก้าวข้ามอดีตกาลสิ้นเชิงก็เป็นได้?” ตี้ซุนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จู่ๆ เขาจะเงยหน้ามองไปยังดาวดวงสุดท้ายสุดเส้นทางสามพันลี้ในเจดีย์
เฉินซีบ่มเพาะบนดาวดวงนั้นมาตลอดห้าปี ยามนี้เมื่อเขาจรจาก ก็หลงเหลือเพียงแผ่นศิลารูปทรงคล้ายยันต์กระบี่หนึ่งชิ้น
ข้อความบรรทัดหนึ่งถูกสลักไว้ด้วยนิ้วมือว่า ‘สักวัน ข้าจะยืนเหนือสวรรค์!’
ทุกการลากเส้นเรียบง่ายไม่รีบร้อน แต่เผยพลังใจอันหนักแน่น มั่นคงและกล้าหาญเกินเปรียบเปรย!
“สักวันข้าจะยืนเหนือสวรรค์!” ตี้ซุนกล่าวซ้ำคำขณะหวนนึกถึงสิ่งที่เขาประจักษ์เกี่ยวกับเฉินซีตลอดห้าปีผ่านมา ขณะนี้ความคิดอันนิ่งสงบมานานปีของเขาสั่นสะท้านน้อย ๆ อย่างเกินห้าม ไม่อาจสงบได้ในกาลอันสั้น
ทันใดนั้น ตี้ซุนก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วปราณไร้ลักษณ์สายหนึ่งก็เข้าปกคลุมแผ่นศิลาบนดวงดาวห่างออกไปสามพันลี้ ก่อนจะหายลับสู่พื้นดินไปกับป้ายศิลานั้น
“เจ้าเด็กนั่น” ตี้ซุนเผยรอยยิ้มอันแฝงความนัยลึกล้ำ พึมพำออกมาว่า “คงไม่รู้กระมังว่าหากสวรรค์รับรู้ ข้าจะเผชิญทัณฑ์…. แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนั้นเลยจริง ๆ”
…
นอกเจดีย์แห่งการเริ่มต้น
“ศิษย์พี่ใหญ่” เมื่อเฉินซีเดินออกมา เขาก็สังเกตพบว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขา อู๋เซวี่ยฉานมารออยู่นานแล้ว
“ไม่เลว ไม่เลว” อู๋เซวี่ยฉานพินิจเฉินซีจากหัวจรดเท้า และอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าแข็งแกร่งกว่ากาลก่อนมาก”
เฉินซีถูจมูกยิ้มเจื่อน “อาจารย์อาตี้ซุนเพิ่งชมข้ามา ศิษย์พี่ใหญ่โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย หาไม่ ข้าจะทนไม่ได้เอาจริง ๆ นะ”
สิ้นคำ อู๋เซวี่ยฉานกลับตะลึงไป กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ “อาจารย์อาตี้ซุนชมเจ้า?”
เฉินซีกล่าวอย่างตกตะลึง “มีสิ่งใดผิดพลาดหรือ?”
อู๋เซวี่ยฉานทอดถอนใจ “เจ้าไม่รู้หรอก ว่านับแต่ตี้ซุนอาศัยในเจดีย์แห่งการเริ่มต้น เขาก็ไม่เคยชมผู้ใด เจ้าคือคนแรกเลยที่ได้คำชมจากเขา”
เฉินซียิ้มแห้งทันที “ศิษย์พี่ใหญ่ จบประเด็นเรื่องนี้กันเถิด”
“ก็ได้ อย่าให้ผู้อื่นรอนานกันดีกว่า” อู๋เซวี่ยฉานแย้มยิ้ม ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ พาเฉินซีจากไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
………………..