บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1831 วัวกุยลายทอง
บทที่ 1831 วัวกุยลายทอง
บนยอดเขาเทพพยากรณ์
ขณะนี้มีผู้คนมากมายยืนอยู่หน้าโถงโบราณอันโอ่อ่า พวกเขามีทั้งชายหญิง แม้ต่างรูปลักษณ์ แต่ปราณของพวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
พวกเขาเสวนากันเรื่อยเปื่อย ดูเหมือนกำลังรอบางสิ่ง
วิ้ง!
ทันใดนั้น คลื่นพลังสายหนึ่งก็กระเพื่อมขึ้น แล้วสองร่างก็ปรากฏขึ้นจากภายใน ซึ่งก็คืออู๋เซวี่ยฉานและเฉินซี
“ศิษย์พี่ใหญ่”
“อาจารย์ลุงใหญ่”
“ปรมาจารย์ลุงใหญ่”
ชายหญิงทั้งหลายล้วนเข้ามาคารวะอู๋เซวี่ยฉาน แต่กลับใช้คำเรียกขานแตกต่างกันสามรูปแบบ
เห็นได้ชัดว่าในหมู่ชายหญิงเหล่านี้มีทั้งศิษย์รุ่นแรก สอง และสาม
อู๋เซวี่ยฉานแย้มยิ้มพยักหน้า “ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
ขณะเดียวกัน สายตาของมวลชนก็มองมายังเฉินซีด้วยความฉงนสงสัย
“ปรมาจารย์ลุงใหญ่ ท่านนี้คือปรมาจารย์อาเล็กหรือขอรับ? แต่เหตุใดเขาจึงอยู่เพียงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลกัน?” ชายชุดดำร่างสูงใหญ่กำยำผู้หนึ่งกล่าวเสียงกึกก้อง รูปลักษณ์ของเขาบึกบึน หนวดเคราดกหนา คู่เนตรใหญ่ดุจระฆังทองแดง เผยปราณยิ่งใหญ่ทรงพลัง
“เจ้าวัว อย่าเสียมารยาทสิ!” ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามในชุดบัณฑิตกล่าวตำหนิ
“ไม่เป็นไรหรอก” อู๋เซวี่ยฉานแย้มยิ้ม ก่อนจะแนะนำแก่คนทั้งหลาย “นี่คือศิษย์น้องเล็กของข้า เฉินซี”
“ศิษย์น้องเฉินซี”
“อาจารย์อาเฉินซี”
“ปรมาจารย์อาเฉินซี”
เฉินซีรีบคารวะตอบและทักทายเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เขาก็แยกแยะชัดเจนว่าในหมู่ชายหญิงกลุ่มนี้ มีจักรพรรดิปนอยู่อย่างน้อยสิบคน ในขณะที่อีกสิบกว่าคนที่เหลือเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล
เฉินซีอดทอดถอนใจไม่จบสิ้นมิได้ เพราะหากเขาเข้าใจไม่ผิด ในบรรดาจักรพรรดิ มีอยู่ถึงแปดคนที่เรียกเขาเป็น ‘อาจารย์อา’!
เห็นได้ชัดว่าศิษย์รุ่นสองเหล่านั้นต่างเป็นตัวตนผู้เหยียบย่างสู่ขอบเขตมหาราชเทวากันแล้ว
กล่าวให้เจาะจงขึ้นก็คือ ชายหญิงทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ในสายบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งลำดับสามเหวินเต้าเจิน
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ต้องประหลาดใจหรอก ศิษย์สำนักเหล่านี้ทราบว่าเจ้าเพิ่งกลับสำนักครั้งแรก และตั้งใจมาพบเจ้า ปกติพวกเขาไม่มีเวลามารวมตัวกันที่นี่หรอก มีเพียงเจ้านี่แหละที่ได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ ดึงพวกเขามารวมตัวได้” อู๋เซวี่ยฉานแย้มยิ้มหยอกเย้า ว่าพลางก็เริ่มแนะนำตัวชายหญิงเหล่านี้แก่เฉินซี
เฉินซีตะลึงไป แล้วหัวใจก็รู้สึกอุ่นร้อน เขารู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่อยากใช้วิธีนี้เพื่อให้เขาปรับตัวเข้ากับสำนักได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันไม่ให้เกิดความกระอักกระอ่วนยามพบหน้าศิษย์ร่วมสำนักแต่จำกันไม่ได้
ไม่นานนัก การแนะนำตัวก็เสร็จสิ้น
ในที่สุด เฉินซีก็ตระหนักชัดว่าชายหญิงกลุ่มนี้เป็นศิษย์จากสายของเหวินเต้าเจินจริง ๆ ทว่าพวกเขาเป็นเพียงส่วนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่ปิดด่านฝึกฝนอยู่ หารู้เรื่องการกลับมาของเฉินซีไม่
“เจ้าวัว เจ้าจะไปไหน?” ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามในชุดบัณฑิตก็เอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว
ขณะนี้ เฉินซีทราบแล้วว่านามของชายวัยกลางคนผู้นี้คือเหวินชงซาน ศิษย์รุ่นที่สองของอาจารย์อาสามเหวินเต้าเจิน และขณะเดียวกันก็เป็นจักรพรรดิเจ็ดดารา
เจ้าวัวที่เหวินชงซานกล่าวถึงมีชื่อว่าถูเมิ่ง เป็นทายาทสืบเชื้อสายอสูรร้ายบรรพกาลวัวกุยลายทองซึ่งเหวินชงซานรับเป็นศิษย์ กลายเป็นหนึ่งในศิษย์รุ่นที่สามของเขาเทพพยากรณ์
ขณะเดียวกัน ทุกผู้ก็เห็นว่าถูเมิ่งหันหลังเริ่มเดินจากโดยไม่พูดจาแล้ว
“อาจารย์ ข้าจะกลับไปบ่มเพาะ เดิมทีข้าคิดว่าปรมาจารย์อาเล็กจะเป็นตัวตนไม่ธรรมดา ใครเล่าจะคิดว่าเขาก็มีอำนาจพอ ๆ กับข้า น่าผิดหวังจริง ๆ” ถูเมิ่งตอบกลับเสียงดังอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ปิดบังความผิดหวังในใจเลย
สิ่งนี้ทำให้คนอื่น ๆ อดตกตะลึงจังงังไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเหวินชงซานพลันดำคล้ำ ตำหนิขึ้นว่า “เจ้าวัวหัวช้า! บังอาจลบหลู่ผู้ใหญ่! ผู้อื่นจะคิดกับเจ้าเช่นไร? รีบกลับมาขอขมาอาจารย์อาเฉินซีเสีย!”
“ข้าไม่ทำ!” ถูเมิ่งดูดื้อรั้นยิ่ง เขาโก่งคอแผดเสียง “เว้นแต่… เว้นแต่ปรมาจารย์อามาสู้กับข้า แล้วพิสูจน์ความแข็งแกร่งยามล้มข้าได้!”
ขณะเดียวกัน คู่เนตรใหญ่ของเขาก็มองมายังเฉินซีอย่างท้าทาย
“วัวโง่นี่ เจ้านี่มัน….” เหวินชงซานหงุดหงิดใจ เกิดเจตนาสั่งสอนเจ้าศิษย์ไม่เอาไหนนี่สักหน่อย
ผู้อื่นเห็นเช่นนี้ก็รีบหยุดเขาไว้
“ศิษย์หลานเหวิน เจ้ายังไม่เข้าใจนิสัยถูเมิ่งอีกหรือ? เด็กนั่นดื้อรั้นนัก แต่หัวใจกลับอบอุ่นยิ่ง” อู๋เซวี่ยฉานกล่าวยิ้ม ๆ
เหวินชงซานยิ้มจืดเจื่อน “ข้าหรือจะไม่รู้? แต่เจ้านี่หัวช้าเกินไป หารู้เรื่องมารยาทไม่ กล้าลบหลู่อาจารย์อาเฉินซีเช่นนี้ น่าโมโหจริง ๆ”
“อาจารย์ นี่ไม่ใช่การลบหลู่ ข้าแค่ผิดหวังในความแข็งแกร่งของปรมาจารย์อาเล็กเท่านั้น ข้าปิดบังความคิดไม่ได้ คิดเช่นไรก็พูดเช่นนั้น ไร้เจตนาล่วงเกินใด ๆ” ถูเมิ่งตะโกนเสียงสนั่น
“เจ้า….” เหวินชงซานหน้าง้ำ รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ตัดสินใจนำเจ้าบื้อถูเมิ่งนี้มาพบเฉินซี
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของข้า เช่นนั้น… ก็ประมือกัน?” เฉินซีผู้เงียบมาจนบัดนี้พลันแย้มยิ้ม
เขาไม่อาจอยู่เฉยในยามนี้ได้ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบปะศิษย์ร่วมสำนักจากเขาเทพพยากรณ์ ชายหนุ่มจึงต้องวางตัวอย่างเหมาะสม เพื่อที่จะได้กลมกลืนไปกับสำนักได้ดียิ่งขึ้น
ดวงตาของถูเมิ่งเรืองประกาย ถูฝ่ามือเข้าหากัน “ประเสริฐ! เพียงวาจานี้ลำพัง ข้าก็จะไม่ให้ปรมาจารย์อาน้อยพ่ายน่าเกลียดเกินไป”
เพียงวาทะนี้ลำพังก็ทำให้เหวินชงซานโกรธจนมุมปากสั่น ไอ้วัวโง่สมองกลวงนี่เกินเยียวยาแล้ว!
ส่วนคนอื่น ๆ ที่เห็นดังนั้น พวกเขาก็อดขำกันไม่ได้
แต่ก็มีศิษย์รุ่นสามบางคนที่อดเกิดความวิตกในใจไม่ได้ แม้ถูเมิงจะเป็นพวกขวานผ่าซากไม่ขัดเกลาวาจา ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ร้ายกาจอย่างปฏิเสธไม่ได้ เป็นตัวตนซึ่งครองหนึ่งในสามอันดับแรกในหมู่ศิษย์รุ่นสามในขั้นสมบูรณ์ของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างเหนียวแน่น
หลายสิบปีก่อน เขามีอำนาจพอก้าวสู่ขอบเขตมหาราชเทวาแล้ว แต่เขาก็ถูกอาจารย์ของเขา เหวินชงซานสะกดการบ่มเพาะ ห้ามเคลื่อนขอบเขตจนบัดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่ายังไม่ถึงกาลอันเหมาะสม
หากมิใช่เช่นนั้น ถูเมิ่งคงเป็นจักรพรรดิไปนานแล้ว
อันดับสิบสามในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาลของถูเมิ่งเป็นข้อบ่งชี้ที่ดีว่าความแข็งแกร่งของเขาท้าทายสวรรค์เพียงไร
ด้วยเหตุนี้ หากเฉินซีพ่ายมือถูเมิ่ง เขาก็จะเสียหน้า
“งั้นก็เริ่มกันเลย” เฉินซีอดยิ้มมิได้ เท้าก้าวมาเบื้องหน้า
“อาจารย์ลุงใหญ่ ท่านว่า….” เหวินชงซานอดเป็นห่วงเล็กน้อยไม่ได้ หันไปพูดกับอู๋เซวี่ยฉาน
“ไม่เป็นไรหรอก ให้พวกเขาประลองกันก็ไม่เสียหาย” อู๋เซวี่ยฉานโบกมือยิ้ม ๆ “หาไม่ ถูเมิ่งก็จะไม่ยอมรับต่อไป เขาอาจรู้สึกไม่สบายใจยามต้องไปเข้าร่วมการถกวิถีเต๋ากับศิษย์น้องเฉินซีก็ได้”
ยามนี้เอง เฉินซีจึงเข้าใจว่าถูเมิ่งก็จะไปเข้าร่วมการหารือเต๋าเหมือนเขาเช่นกัน
เหวินชงซานหยุดความพยายามเกลี้ยกล่อมสงบศึก ทำเพียงกล่าวอย่างแฝงคำเตือนกับถูเมิ่ง “เจ้าวัว รู้จักขีดจำกัด อย่าทำตัวเสียมารยาทเชียว!”
“อาจารย์ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำให้ปรมาจารย์อาเล็กพ่ายน่าเกลียดเกินไปหรอก” ถูเมิ่งตบอกรับคำอย่างไม่ได้คำนึงอะไรเลย
ไม่เพียงวาทะนั้นมิอาจสงบกังวลแก่เหวินชงซาน มันยังทำให้เขาเดือดจัดจนอยากสั่งสอนวัวโง่สมองกลวงนี้สักยกเสียแทน
…
“ปรมาจารย์อาเล็ก ลงมือได้เลย ข้าต่อให้เจ้าก่อนสามกระบวน!” ถูเมิ่งตะโกนลั่นขณะที่ใบหน้าขึงขังเต็มไปด้วยสีหน้าป่าเถื่อนเย่อหยิ่ง ร่างกำยำเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดัน
เพียงพริบตา เขาก็เหมือนกลายร่างเป็นเทพสงครามบรรพกาล
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ก็อดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ได้ เจ้าถูเมิ่งนี่พูดจาน่าโมโหจริง ๆ กระทั่งท่าทียังมาดมั่นแสนสมเหตุสมผล
บางคนอาจกระทั่งคิดไปว่าเขาเหยียดหยามเฉินซีอยู่
“สามกระบวน?” เฉินซีแย้มยิ้ม “ไม่ต้องหรอก เราตัดสินกันในการโจมตีเดียวเลยเป็นไร?”
การโจมตีเดียว? ทุกผู้ต่างผงะ ขณะที่หลายคนเริ่มรู้สึกสงสัยในใจ เฉินซีคงมิได้ถูกถูเมิ่งยั่วยุจนโมโหเพราะความอับอายแล้วหรอกกระมัง?
ถูเมิ่งก็นิ่งไปเช่นกัน ก่อนจะฉีกยิ้ม “ปรมาจารย์อา อย่าโมโหสิ”
“เจ้ามิกล้าหรือ?” เฉินซีว่า
วาทะเรียบเฉยนี้ทำให้ถูเมิ่งตะโกนตอบทันที “ข้าหรือจะไม่กล้า? ในเมื่อปรมาจารย์อาพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่ออมมือแล้ว!”
ว่าแล้ว ยันต์สีทองเรืองสว่างชิ้นหนึ่งก็ทะยานพุ่งจากร่าง โอบล้อมร่างไว้ด้วยอำนาจยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัว
ฟ้าดินครั่นคร้ามรวนเร กระแสลมทั่วทิศปั่นป่วน พื้นที่รอบข้างกำสรวล กูไม่อาจรับอำนาจจากถูเมิ่งได้
สังเกตได้อย่างเลือนรางว่ามีลวดลายอักขระลึกลับมากมายปรากฏขึ้นบนผิวกายทั่วร่างถูเมิ่ง พวกมันเหมือนมีชีวิต ส่งเสียงคำรนดุจเทพอสูรกู่ก้องทั่วโลกา น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
นี่คือฤทธาอักขระตกทอดในเผ่าวัวกุยลายทอง หลังผนวกกับมรดกเต๋าแห่งยันต์อักขระจากเขาเทพพยากรณ์ อำนาจของมันจึงก้าวข้ามจากลักษณ์เดิม เพียงพอถล่มยุคสมัย กลืนกินโลกหล้า!
เห็นได้ชัดว่าถูเมิ่งไม่กล้าเลินเล่อจากข้อตกลงจบศึกในหนึ่งกระบวน และทุ่มสุดฝีมือด้วยเจตนาบดขยี้เฉินซี!
เปลือกตาของเหวินชงซานกระตุกอย่างรุนแรงยามเห็นเช่นนี้ เขารู้ว่าเจ้าวัวนี่จะคลั่งรอมร่อ แต่ยามเขาปริปากจะพูดบางสิ่ง อู๋เซวี่ยฉานก็หันมายิ้มหยุดไว้เสียก่อน
เปรี้ยง!
ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ถูเมิ่งก็ทะยานร่างเช่นวัวกุยตระหง่านบังจันทร์ ยกแขนที่ทั้งหนาและเต็มไปด้วยมัดกล้ามราวสลักจากศิลาประหนึ่งยกตะวันจันทรา ขณะที่ยันต์สนทองนับไม่ถ้วนในมือของเขาฟาดลงพร้อมฝ่ามือใส่เฉินซี!
เพียงพริบตา บริเวณระหว่างเฉินซีและถูเมิ่งก็ระเบิดเป็นจุณอย่างเกินรับไหว
การโจมตีนี้น่าสะพรึงกลัวจริงแท้ หากเป็นเมื่อห้าปีก่อน บางทีเฉินซีอาจรู้สึกกดดันบ้าง ทว่ายามนี้….
เขาทำเพียงยิ้ม ยืนเฉยกับที่ไม่เคลื่อนไหว ทำเพียงยื่นหนึ่งฝ่ามือตบออกไปเบา ๆ อย่างดูไม่ออกแรง ไร้ปราณศึกใด ๆ
ฝ่ามือของเขาดูกระทั่งสุดสุขุมแผ่วเบา ทำให้ผู้อื่นอดรู้สึกกังวลกระสับกระส่ายกันน้อย ๆ มิได้
“ปรมาจารย์อาจะยอมแพ้หรือ?” ศิษย์รุ่นสามทั้งหลายขมวดคิ้ว
พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ยามตัวตนขอบเขตมหาราชเทวาอย่างเหวินชงซานประจักษ์ฝ่ามือนี้ของเฉินซี ม่านตาของพวกเขาต่างหดตัวตาม ๆ กัน!
ถึงขนาดที่กระทั่งอู๋เซวี่ยฉานยังอดผงะไปเล็กน้อยไม่ได้ ดูประหลาดใจอยู่เอาการ
เปรี้ยง!
ทั้งหมดนี้อธิบายดูเนิ่นนาน ทว่าแท้จริงเกิดขึ้นในพริบตา ยามเฉินซีฟาดฝ่ามือนี้ออกไป การโจมตีสุดกำลังของถูเมิ่งก็ฟาดลง ยันต์สีทองเจิดจรัสอันแผ่ปกคลุมท้องฟ้าถล่มลงใส่ตัวตนเบื้องใต้
………………..