บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1832 รายชื่อผู้เข้าร่วม
บทที่ 1832 รายชื่อผู้เข้าร่วม
ตู้ม!
เสียงกัมปนาทที่สะท้านโลกาดังกึกก้องกันวาน ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของทุกคน ฝ่ามือที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจของเฉินซีได้เจาะทะลุอักขระสีทองนับหมื่นแสนล้านได้อย่างง่ายดาย ราวกับไม่พบกับอุปสรรคใด ๆ
ในท้ายที่สุด ฝ่ามือนี้ก็ฟาดไปที่กำปั้นของถูเมิ่ง
ทันใดนั้น ถูเมิ่งดูคล้ายกับถูกฟ้าผ่า รูปร่างที่กำยำและสูงใหญ่ราวกับบรรพตนั่นถูกระเบิดจนปลิวว่อนดุจว่าวที่ป่านขาด
โครม!
ถูเมิ่งกระเด็นไปกว่าสิบสองจั้ง และร่างของเขาก็โซเซกลับไป แม้ว่าเขาจะไม่ล้มลง แต่ผลกระทบที่ได้รับนั้นน่าพรั่นพรึงยิ่ง และร่างของเขาก็เซกลับไปอีกแปดก้าว ก่อนที่จะทรงตัวมั่น
ทว่าในขณะนี้ ดวงตาที่ใหญ่ราวกับระฆังของเขาเบิกกว้าง ขณะที่สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมิรู้จบ มิหนำซ้ำ เขาหายใจหอบอย่างหนักทั้งทางปากและจมูก ราวกับตกใจยิ่ง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ถูเมิ่งประหลาดใจ และยังไม่กล้าเชื่อ เห็นชัดว่าเฉินซีไม่ได้ขยับตัว และเพียงฟาดฝ่ามือออกไปเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วมันกลับเอาชนะเขาได้ในกระบวนท่าเดียว!
ถึงขั้นที่เขาไม่มีโอกาสให้ดิ้นรนด้วยซ้ำ!
“เขา… บรรลุสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ถูเมิ่งตะลึงลาน
“เขาสยบถูเมิ่งด้วยกระบวนท่าเดียว!”
“อัศจรรย์ยิ่งนัก บรรดาพวกเจ้ามีใครสังเหตเห็นว่าอาจารย์ลุงได้ใช้เคล็ดวิชาใดบ้าง?”
“ไม่ แต่เห็นชัดว่าความสำเร็จของอาจารย์ลุงในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอาจจะมาถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว!”
ศิษย์รุ่นที่สามเหล่านั้นอุทานด้วยความชื่นชม ในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ เนื่องเพราะเฉินซีใช้กระบวนท่าเดียวก็สามารถพิชิตชัยถูเมิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามชั้นยอดศิษย์ของรุ่นที่สามในแง่ของพลังบ่มเพาะ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เหวินชงซานและจักรพรรดิ์คนอื่น ๆ ตกตะลึงอย่างมาก
ถูเมิ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับที่สิบสามในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล และความแข็งแกร่งของเขาอาจถือว่าสะท้านโลกา ทว่าบัดนี้ เจ้าวัวนี่กลับไม่อาจรับมือเฉินซีได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว และผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจ
“ตอนนี้เจ้าคงมั่นใจแล้วกระมัง?” เฉินซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
บัดนี้ภาพลักษณ์ของเฉินซีในสายตาของทุกต่างออกไป
“ข้า….” ถูเมิ่งอ้าปากเพื่อจะกล่าววาจา แต่ก็หักห้ามใจไว้ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ขบกรามแน่นและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อา ข้ายังมิใช้ได้พลังเต็มที่เลย”
“แล้วเจ้าไม่มั่นใจเหรอ?” เฉินซีกล่าว
“ไม่ ข้ายอมรับ!” ถูเมิ่งรีบกล่าวว่า “แม้ข้าจะโง่เขลา แต่ข้าก็แยกแยะได้ว่าท่านยังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่เช่นกัน มิฉะนั้นข้าคงไม่อาจยืนหยัดได้”
เมื่อกล่าวจบ เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม
เห็นได้ชัดว่าเขายอมรับความแข็งแกร่งของเฉินซีอย่างแท้จริง และเขาก็มั่นใจในความแข็งแกร่งนั้นอย่างเต็มที่
เฉินซีเหลือบมองเขาด้วยความประหลาดใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่ได้ดูโง่เลยสำหรับข้า”
ถูเมิ่งหัวเราะเบา ๆ และเกาหัวของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในเมื่อคนผู้นี้สามารถเข้าร่วมเขาเทพพยากรณ์ และบรรลุการบ่มเพาะในระดับดังกล่าว อีกทั้งยังติดหนึ่งในสามอันดับแรก ท่ามกลางศิษย์ร่วมสำนัก แล้วเขาจะเป็นตัวโง่งมได้อย่างไร?
เขาเพียงแต่กล่าวตรงไปตรงมาและไม่คิดปิดบังความคิดของตนต่อหน้าพวกเดียวกันก็เท่านั้น
“เอาละ ศิษย์น้องเล็ก ตามข้ามา ถึงเวลาที่เจ้าควรรู้เกี่ยวกับการวิถีเต๋าแล้ว” อู๋เซวี่ยฉานยิ้มพลางกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ศิษย์คนอื่น ๆ ก็กล่าวคำอำลาและจากไป
“ผู้อาวุโส ข้าขอถามท่านได้หรือไม่?” ถูเมิ่งอดไม่ได้ที่จะถาม ก่อนที่เขาจะจากไป
“ผู้อาวุโส? เมื่อเขาได้ยินว่าวัวตัวนี้ถ่อมตัวจริง ๆ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “เชิญ”
“เอ่อ… พลังของท่านบรรลุถึงระดับใดแล้ว?” ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ศิษย์หลายคนที่ยังไม่จากไปก็เงี่ยหูรอฟัง
ทว่าก่อนที่เฉินซีจะทันได้ตอบ อู๋เซวี่ยฉานก็กล่าววาจาที่แฝงความหมายลึกซึ้งว่า “เมื่อหลายปีก่อน เมื่อการบ่มเพาะของอาจารย์อาเจ้ายังอยู่ที่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลาง ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารตัวตนขอบเขตมหาราชเทวา ส่วนเรื่องที่ว่าแข็งแกร่งเพียงใดนั้น เจ้าจะเข้าใจโดยปริยาย หลังจากเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าแล้ว”
มันเหมือนกับก้อนหินที่ทำให้เกิดระลอกคลื่นนับพัน!
เหล่าศิษย์ที่ยังไม่จากไปใจสั่นสะท้านทันที และพวกเขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “เขาสังหารมหาราชเทวา ในขณะที่การบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลาง?”
“พลังบ่มเพาะของอาจารย์อา จะไม่ท้าทายสวรรค์ไปหน่อยหรือ!?”
ถูเมิ่งตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง และอ้าปากเพื่อจะเอื้อนเอ่ยวาจา ทว่าเหวินชงซาน ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาได้คว้าเสื้อไว้ แล้วลากออกไปอย่างแรง
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นสิ่งนี้
“ศิษย์น้องเล็ก ม่านการถกวิถีเต๋าจะถูกเปิดในหนึ่งเดือนนับจากนี้” สีหน้าของอู๋เซวี่ยฉานแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม พลางอธิบายว่า “การถกวิถีเต๋าในครั้งนี้ มีสำนักเต๋าเป็นเจ้าภาพ และจะจัดขึ้นที่สภาศักดิ์สิทธิ์กลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักเต๋า”
“ในเวลานั้น เขาเทพพยากรณ์ของเรา ตำหนักเต๋าหนี่หวา นิกายอำนาจเทวะ สำนักเต๋า และสำนักศักดิ์สิทธิ์จะส่งศิษย์ที่ความโดดเด่นที่สุดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลของพวกเขา เพื่อเข้าร่วมงานนั้น”
“หลังจากหารือกับท่านอาจารย์ลุงตี้ซุนและเหวินเต้าเจินแล้ว เขาเทพพยากรณ์ของเราได้ตัดสินใจส่งศิษย์สิบคนเพื่อเข้าร่วม ซึ่งรวมถึงตัวเจ้าด้วย ศิษย์อีกเก้าคนล้วนเป็นศิษย์รุ่นที่สามจากสายท่านลุงสาม เจ้าจะได้พบกับพวกเขา เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าออกเดินทาง”
เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “สิบคนหรือ?”
อู๋เซวี่ยฉานยิ้มพลางกล่าวว่า “ใช่แล้วสิบคน และตามการคาดการณ์ของข้า มันก็ถือว่าดียิ่งแล้วหากศิษย์สามคนสามารถคว้าสิทธิ์เข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือนได้”
เฉินซีไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “แล้วอีกสี่มหาอำนาจจะส่งศิษย์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลมากี่คน?”
“มันควรจะมากกว่าเขาเทพพยากรณ์ของเรา” อู๋เซวี่ยฉานกล่าวอย่างสบาย ๆ “เจ้าคงทราบดีว่ามหาอำนาจทั้งสี่นั้นมีศิษย์อยู่มากมาย และสถานการณ์ในนิกายของพวกเขาแตกต่างจากเขาเทพพยากรณ์ของเราอย่างสิ้นเชิง”
เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ดั่งที่กล่าวไว้ คุณภาพของกองทัพไม่ได้วัดกันที่จำนวน และจำนวนศิษย์ที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋าไม่อาจเป็นปัจจัยตัดสินผลลัพธ์สุดท้ายได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์ด้วย”
เฉินซีพยักหน้า ในขณะที่เขาเข้าใจหลักการนี้เช่นกัน
“ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามีแค่สามสิบคนที่จะสามารถเข้าสู่ซากโบราณรวนเรลืมเลือนเท่านั้น และสำหรับห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิอย่างเราก็มีสิทธิ์เพียงยี่สิบห้าที่เท่านั้น ทว่าสำนักหรือนิกายใดจะได้ที่นั่งนี้ไป ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเหล่าศิษย์แล้ว” อู๋เซวี่ยฉานกล่าวช้า ๆ
ความหมายเบื้องหลังวาจาของเขานั้นเรียบง่ายยิ่ง มีสิทธิ์เพียงยี่สิบห้าคน แต่พวกเขาจะไม่แบ่งเท่า ๆ กัน และศิษย์ของพวกเขาต้องพึ่งพาพลังฝีมือของตนเอง เพื่อที่จะแข่งขันและยึดครองตำแหน่ง ในทางกลับกัน การถกวิถีเต๋าก็เป็นเวทีสำหรับพวกเขาที่จะยึดครองตำแหน่งนั้น!
เฉินซีสามารถจินตนาการได้ว่าการแข่งขันครั้งนี้จะต้องดุเดือดมากแน่นอน และอาจถือได้ว่าเป็นการแข่งขันระหว่างยอดคนของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลในแดนเทพโบราณทั้งหมด!
ท้ายที่สุด ในระหว่างการถกวิถีเต๋านี้ ห้ามหาอำนาจอันได้แก่ เขาเทพพยากรณ์ ตำหนักเต๋าหนี่หวา นิกายอำนาจเทวะ สำนักเต๋า และสำนักศักดิ์สิทธิ์ จะส่งศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขาเพื่อเข้าร่วมการถกวิถีเต๋า และงานระดับดังกล่าวนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว
เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ นอกเหนือจากยี่สิบห้าตำแหน่งเหล่านั้น แล้วอีกห้าตำแหน่งถูกเตรียมให้กับใครบ้าง?”
อู๋เซวี่ยฉานยิ้มและกล่าวว่า “ข้าลืมบอกเจ้าว่าจะไม่ใช่แค่ห้าสุดยอดของเอกภพจักรวรรดิที่เข้าร่วมในการถกวิถีเต๋า และยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลจากมหาอำนาจอื่น ๆ เช่นกัน ตำแหน่งทั้งห้านี้เตรียมไว้สำหรับพวกเขา”
“สิ่งนี้ทำขึ้นเพื่อคำนึงถึงความรู้สึกของผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ในโลก มิฉะนั้น หากมีเพียงศิษย์จากห้าสุดยอดของเอกภพจักรวรรดิที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน ผู้บ่มเพาะทั้งหมดในโลกก็คงจะครหาต่อเรื่องนี้”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม พลางกล่าวว่า “หรืออีกนัยหนึ่ง เราแค่ต้องคิดถึงการยึดตำแหน่งทั้งยี่สิบห้าเหล่านั้น?”
อู๋เซวี่ยฉานยิ้มและกล่าวว่า “ถูกต้อง”
เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงถามคำถามสุดท้ายว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ การถกวิถีเต๋ามีกฎอันใดบ้าง?”
อู๋เซวี่ยฉานส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “นั่นจะขึ้นอยู่กับการเตรียมการของสำนักเต๋า แต่เจ้าวางใจได้ หากสำนักเต๋าไม่คิดวางตัวเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นเขาเทพพยากรณ์ของเราหรืออีกสามมหาอำนาจ ก็คงไม่ใครปล่อยให้ทำเช่นนั้น”
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “นั่นคงประเสริฐยิ่ง”
อู๋เซวี่ยฉานตบไหล่เฉินซีแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องยากมากที่จะหาโอกาสอื่นในการสร้างเอกภพใหม่ และกลายเป็นจ้าวเอกภพ”
“การที่สามารถเป็นจ้าวเอกภพได้หรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น ๆ เพราะมันอยู่ไกลเกินเอื้อม จนพวกเขาไม่มีความคิดจะทุ่มเทเพื่อมัน”
“แต่สำหรับศิษย์น้องเล็ก ไม่ว่าเจ้าจะสามารถเป็นจ้าวเอกภพได้หรือไม่นั้น กลับมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง เพราะวิถีสู่เต๋าของเจ้า… นั่นไม่เหมือนใคร”
ขณะที่กล่าวจบ แววตาจริงจังอันหาได้ยากก็ปรากฏในดวงตาของอู๋เสวี่ยชาน
“โปรดวางใจ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าทราบดี” เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองอู๋เสวี่ยชาน แล้วจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและเคร่งขรึมในทำนองเดียวกัน
วิถีไปสู่เต๋าของเขานั้นไม่เหมือนใครจริง ๆ
“เป็นเรื่องดีที่เจ้าเข้าใจ เราไปพบกับบรรดาศิษย์ที่จะเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าพร้อมกับเจ้ากันเถอะ” อู๋เซวี่ยฉานยิ้มก่อนนำเฉินซีลงมาจากยอดเขา
…
กู่เยี่ยน ศิษย์รุ่นที่สามของเขาเทพพยากรณ์ ผู้มีบุคลิกเงียบขรึมและสงวนท่าที มีรูปร่างที่ผอมเพรียวและมีผมสีดำหนาแน่น อยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล และอยู่ในอันดับที่เก้าในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล
ฮวาเยี่ยน ศิษย์รุ่นที่สามผู้หล่อเหลา คนผู้นี้มีบุคลิกขี้อายและเก็บตัว เขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่จุดสูงสุดของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล และอยู่อันดับที่สิบเอ็ดในเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล
ถูเมิ่ง….
จงซิ่วหยวน….
เบื้องหน้าห้องโถงโบราณที่ไหล่เขา เฉินซีได้พบกับศิษย์อีกเก้าคนที่กำลังจะเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าพร้อมกับเขา
มีชายหกคนและหญิงสามคนอยู่ในหมู่พวกเขา ทุกคนล้วนดำรงอยู่ในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นสมบูรณ์แบบ
ผู้ที่บ่มเพาะในเขาเทพพยากรณ์มานานที่สุด ได้บ่มเพาะมานานกว่าเก้าพันปีแล้ว และมันคือกู่เยี่ยน ในเวลาเดียวกัน เขาก็เป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางศิษย์รุ่นที่สาม
ผู้ที่บ่มเพาะในเขาเทพพยากรณ์มาน้อยที่สุด ได้บ่มเพาะมาสามพันสี่ร้อยปี ซึ่งคือฮวาเยี่ยน และแม้ว่าเขาจะบ่มเพาะในนิกายได้ไม่นาน แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็น่าพรั่นพรึงอย่างเห็นได้ชัด จนปัจจุบันเขาอยู่ในอันดับสองท่ามกลางศิษย์รุ่นที่สาม
เฉินซียังจำได้ว่า ครั้งที่เข้าไปในเจดีย์แห่งการเริ่มต้นเพื่อบ่มเพาะเมื่อห้าปีที่แล้ว เขาถูกศิษย์คนอื่นเข้าใจผิดว่าเป็น ‘ฮวาเยี่ยน’
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มเคยเห็นรอยกระบี่สามรอยที่ฮวาเยี่ยนทิ้งไว้บนดาวดวงหนึ่งในเจดีย์ เขาตระหนักดีว่าชายผู้นี้ที่ขี้อายและสงวนท่าทีผู้นี้ ได้บรรลุขอบจักรพรรดิกระบี่ระดับที่สองแล้ว ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าน่าทึ่งยิ่ง!
สำหรับถูเมิ่งที่อยู่ในอันดับที่สามในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามนั้น เฉินซีได้พบเขามาก่อนแล้ว
นอกจาก กู่เยี่ยน ฮวาเยี่ยน และถูเมิ่งแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ ล้วนมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน ทั้งยังยากจะหาผู้ทัดเทียม นับว่ามีเพียงหนึ่งในล้าน
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีซึ่งเป็นอาจารย์อาของพวกเขา ต้องทอดถอนใจด้วยอารมณ์อย่างอดไม่ได้ เพราะหากเป็นโลกภายนอก ก็คงไม่มีทางที่จะเห็นร่างอันน่าตกใจมากมามายในเวลาเดียวกัน!
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวจะปรากฏเฉพาะในสุดยอดนิกายที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่และยาวนานเช่นเขาเทพพยากรณ์เท่านั้น
มิหนำซ้ำ สิ่งที่ทำให้เฉินซีต้องประหลาดใจที่สุด คือนอกจากศิษย์รุ่นสามทั้งเก้าคนนี้แล้ว ยังมีศิษย์อีกมากมายที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขา
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่เขาเทพพยากรณ์ได้จำกัดสิทธิ์สำหรับเข้าร่วมถกวิถีเต๋าไว้เพียงสิบคนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้เข้าร่วม
………………..