บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1833 อดีตชาติและปัจจุบัน
บทที่ 1833 อดีตชาติและปัจจุบัน
………………..
บทที่ 1833 อดีตชาติและปัจจุบัน
ณ โถงโบราณ
กู่เยี่ยน ฮวาเยี่ยน และศิษย์รุ่นที่สามคนอื่น ๆ ต่างจับจ้องเฉินซีด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะในหมู่พวกเขา มีเพียงถูเมิ่งเท่านั้นที่เคยพบกับเฉินซีมาก่อนหน้านี้
ทว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งทราบว่าถู่เมิ่งได้ปราชัยในกระบวนท่าเดียวต่ออาจารย์อาของพวกเขาที่เพิ่งกลับมาที่นิกายได้เพียงห้าปีเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับเฉินซีในขณะนี้ ทุกคนจึงค่อนข้างให้ความเคารพและไม่กล้าทำตัวบุ่มบ่าม
“เหวินถิงจะเป็นผู้นำกลุ่มเมื่อพวกเจ้าทุกคนมุ่งหน้าไปร่วมการถกวิถีเต๋า และนางจะรับผิดชอบดูแลทุกอย่างในระหว่างการถกวิถีเต๋า” อู๋เซวี่ยฉานสั่งจากด้านข้าง
“เหวินถิง?” ร่างอันงดงามและเงียบสงบพลันปรากฏในใจเฉินซีอย่างห้ามไม่ได้
ครั้งที่กลับมายังเขาเทพพยากรณ์เมื่อห้าปีที่แล้ว เขาเคยพบนางครั้งหนึ่ง และเขารู้ว่านางคือจักรพรรดิ์แปดดาราขั้นสูงสุด ซึ่งใกล้จะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิเก้าดาราอีกเพียงไม่กี่ก้าว
แต่กระนั้นเฉินซีก็สังเกตเห็นในขณะนี้ ว่าเมื่อกู่เยี่ยนและคนอื่น ๆ ได้ยินว่าเหวินถิงจะเป็นผู้นำกลุ่ม ทุกคนล้วนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าต่างเผยท่าทางที่แปลก ๆ อย่างห้ามไม่ได้ ราวกับพวกเขาหวาดกลัวต่อนาง แต่ก็รู้สึกชื่นชมเช่นกัน และมันเป็นการแสดงออกที่ซับซ้อนมาก
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดรู้สึกตกตะลึงมิได้
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ ท่านอาจารย์อา” ในขณะนี้ เสียงอันเงียบสงบดังก้องตรงหน้า เหวินถิงผู้สวมชุดสีเขียว มีผมยาวปกไหล่ ทั้งมีรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์และงดงาม ได้สืบเท้าก้าวเข้ามาจากระยะไกล
“เหวินถิง เจ้ามาแล้ว” อู๋เซวี่ยฉานยิ้ม
“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ พวกเราจะออกเดินทางหรือยัง?” เหวินถิงถาม
อู๋เซวี่ยฉานมองไปที่เฉินซี และกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้ามีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?”
เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงอู๋เซวี่ยฉานไปด้านข้าง จากนั้นเขาก็กระซิบส่งกระแสปราณว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เหล่าไป๋ เยี่ยเหยียน และคนอื่น ๆ….”
ก่อนที่จะทันได้กล่าวจบ อู๋เซวี่ยฉานก็ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลไป พวกเขาทั้งหมดได้รับโชคลาภจากมหาเทพเต๋าบรรพมังกร และตอนนี้พวกเขากำลังปิดด่านบ่มเพาะ ข้าจะดูแลพวกเขาแทนเจ้าเอง”
เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องรบกวนศิษย์พี่ใหญ่แล้ว”
อู๋เซวี่ยฉานตบไหล่เฉินซีแล้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก แม้การเดินทางครั้งนี้จะต้องไม่ต้องกังวลใด ๆ แต่ความเป็นไปของโลกนี้ยากจะคาดเดา ดังนั้นเจ้าต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการต่อต้านนิกายอำนาจเทวะ เจ้ามิอายคลายความระมัดระวังได้”
เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจ”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะกล่าวในตอนท้ายว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องจะขอ”
อู๋เซวี่ยฉานกล่าวอย่างเบิกบาน “ว่ามา”
เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อนในภพเซียน บิดาของข้า เฉินหลิงจวิน ได้พามารดาของข้าไปด้วย ในขณะที่เขาแอบเดินทางไปยังดินแดนเทพโบราณ แต่จวบจนบัดนี้ ข้าไม่เคยได้ยินข่าวใด ๆ ของพวกเขาเลย ดังนั้นข้าอยากจะไหว้วานท่านให้ช่วยหาเบาะแสของพวกเขาที”
เฉินซีเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตอนนี้เขาก็ไม่อาจห้ามใจจากการถามถึงเรื่องนี้ได้
อู๋เซวี่ยฉานตั้งใจฟัง จากนั้นจึงเผยให้เห็นช่วงเวลานิ่งเงียบที่หาได้ยากยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ฝากเรื่องนี้ไว้กับข้าเถอะ แล้วข้าจะอธิบายแก่เจ้า เมื่อกลับมาจากแดนรวนเรลืมเลือนแล้ว”
การที่อู๋เซวี่ยฉานนิ่งเงียบเช่นนี้ ทำให้เฉินซีรับรู้แน่ชัดเจนว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ แต่เมื่อเขาได้ยินอู๋เซวี่ยฉานยอมรับ มันก็ทำให้เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาหยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นจึงประสานมือแล้วโค้งคำนับ พลางกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่!”
อู๋เซวี่ยฉานยิ้มและกล่าวว่า “ถ่อมตัวไปแล้ว แต่เมื่อเจ้ากล่าวถึงเรื่องนี้ มันทำให้ข้าจำได้ว่า บรรดาผู้บ่มเพาะที่มาที่แดนเทพโบราณพร้อมกับศิษย์พี่สามของเจ้าและคนอื่น ๆ เมื่อหลายปีก่อน มีเด็กน้อยสองสามคนจากตำหนักเต๋าหนี่หวา”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็จำได้ทันทีว่า ศิษย์พี่ใหญ่ของเขากำลังกล่าวถึงสืออวี๋ เซียงหลิวหลี และปรมาจารย์ตำหนักวิญญาณทั้งสี่ของตำหนักเต๋าหนี่หวา อันได้แก่ หยวนเชอ คงหลิน อวิ๋นซู่ และอวี่ฉือว่าน
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น เฉินซียังจำได้ทันทีว่าเหมิงซิงเหอ หัวเจี้ยนคง จ้าวไท่ฉือ อ๋าวจิ่วหุย และฉือฉางเซิงได้ติดตามศิษย์พี่สามของเขาเช่นกัน
นอกจากนี้ แม้แต่ราชันเซียนทั้งสามจากตระกูลเซวียนหยวน เซวียนหยวนเส้า ซวนหยวนเฟิงเฉิน และซวนหยวนตาเป่ยยังได้ไปที่แดนเทพโบราณพร้อมกับศิษย์พี่สามของเขาเช่นกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงงอย่างยิ่ง
ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถาม อู๋เซวี่ยฉานดูเหมือนจะอ่านใจเขาได้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่พวกเขามาถึงดินแดนเทพโบราณ นอกจากเหมิงซิงเหอและหัวเจี้ยนคงที่ยังคงบ่มเพาะอยู่ในเขาเทพพยากรณ์ของเรา คนอื่น ๆ ต่างได้รับโชคลาภ และเข้าสู่สวรรค์แห่งการบ่มเพาะต่าง ๆ เพื่อฝึกฝน”
ตามคำบอกเล่าของอู๋เซวี่ยฉาน จ้าวไท่ฉือได้มุ่งหน้าไปยังนิกายโบราณในเอกภพจักรวรรดิ นั่นคือวังทะยานสวรรค์วิหคอมตะเพื่อบ่มเพาะ
ราชันเซียนรัตติกาลเตียนเตี้ยน ได้เข้าร่วมวิหารมหาสุญตาเพื่อบ่มเพาะ
อ๋าวจิ่วหุยถูกรับตัวโดยเผ่ามังกรฟ้าของเอกภพจักรวรรดิ
สำหรับคนอื่น ๆ เช่น เซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ยนั้น อู๋เซวี่ยฉานได้จัดเตรียมให้พวกเขาบ่มเพาะในนิกายโบราณของเอกภพจักรวรรดิ นั่นคือบรรพตศักดิ์สิทธิ์แห่งการรังสรรค์
มีเพียงฉือฉางเซิงเท่านั้นที่พิเศษเล็กน้อย เขาไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมนิกายใด ๆ ทั้งยังรีบจากไปเพียงลำพัง และออกเดินทางบ่มเพาะด้วยตัวเอง
หัวเจี้ยนคงเป็นศิษย์ของเหมิงซิงเหอ ในขณะที่เหมิงซิงเหอเคยเป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในอดีต ดังนั้นมรดกของเขาจึงมาจากสายจี้อวี๋
แม้ว่าจี้อวี๋จะเป็นพาหนะของฝูซี แต่ในสายตาของอู๋เซวี่ยฉานและศิษย์คนอื่น ๆ เขาเป็นเหมือน ‘อาจารย์ลุง’ สำหรับพวกเขา และพวกเขาก็ให้ความเคารพอย่างมาก
ดังนั้นเหมิงซิงเหอและหัวเจี้ยนคงจึงอยู่ข้างหลังเพื่อบ่มเพาะในเขาเทพพยากรณ์ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ และไม่สามารถพบกับเฉินซีได้
หลังจากที่ทราบเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว เฉินซีก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อข้าทราบเรื่องนี้แล้ว ข้าแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะได้พบกับพวกเขาจริง ๆ”
อู๋เซวี่ยฉานยิ้มและกล่าวว่า “ยังมีโอกาสอีกมากมายในอนาคต และเจ้าอาจจะได้พบกับสหายเก่าสองสามคน เมื่อเจ้าเข้าร่วมการถกวิถีเต๋า”
ดวงตาของเฉินซีเป็นประกาย “สหายเก่าเหรอ?”
“รีบไปเถอะ อย่าให้พวกเขารอนานเกินไป แม้จะเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่การถกวิถีเต๋าจะเริ่มขึ้น แต่การเดินทางจากเขาเทพพยากรณ์ไปยังสภาศักดิ์สิทธิ์กลางนั้น ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ”อู๋เซวี่ยฉานยิ้มขณะที่กระตุ้นให้เฉินซีรีบจากไป
เฉินซีหันกลับมา แน่นอนว่าเขาเห็นเหวินติงและศิษย์รุ่นที่สามทั้งเก้ากำลังมองมาที่เขา
เขาไม่กล้าชักช้าต่อไปอีกทันที ดังนั้นจึงประสานมือแล้วกล่าวว่า “่เช่นนั้น ลาก่อนศิษย์พี่ใหญ่”
…
โอม!
ในวันนี้เขาเทพพยากรณ์ได้เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ พร้อมกับส่งเฉินซีและคนอื่น ๆ ออกไป ในขณะที่พวกเขาเริ่มการเดินทางเพื่อเข้าร่วมการถกวิถีเต๋า
…
ณ ตำหนักเต๋าหนี่หวา
“ข้าได้ยินมาจากบรรพชนผู้ก่อตั้ง ว่าหลังจากที่เจ้าปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลาหลายปี เจ้าก็ฟื้นความทรงจำในอดีตได้แล้ว เจ้า…ยังจำได้ไหมว่าตอนนี้เจ้าเป็นใคร?” แท่นบูชาสีดำเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสี สตรีคนหนึ่งกล่าวเบา ๆ ต่อหน้าแท่นบูชา และเสียงของนางก็เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ซับซ้อน
นางมีรูปร่างที่เพรียวบางและละเอียดอ่อน สวมกระโปรงที่ปลิวไปตามสายลม ผมสีดำสนิทขดเป็นมวย และสวมมงคลอันประณีต นอกจากนี้ ร่างกายของนางยังปกคลุมไปด้วยเส้นแสงสีเงิน ทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาที่หลุดออกมาจากภาพวาด
น่าตกใจที่สตรีคนนี้คือเซียงหลิวหลี!
ในขณะนี้ ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ ด้วยสีหน้าเป็นทุกข์และขมวดคิ้วอยู่เบื้องหน้าเซียงหลิวหลี
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “ข้าย่อมเป็นข้าโดยธรรมชาติ แล้วข้าจะเป็นใครได้อีก”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนยิ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พึมพำว่า “มารดามัน! ข้าคิดว่ามีเพียงศิษย์น้องชิงซิ่วอี้เท่านั้นที่กลับชาติมาเกิดใหม่ร้อยชาติ แต่ใครจะคาดคิดว่าแม้แต่ข้าสืออวี๋ก็ยังกลับชาติมาเกิดในสามภพ….”
ใช่แล้ว เขาคือสืออวี๋อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นศิษย์พิทักษ์เต๋าคนโตของตำหนักเต๋าหนี่หวาในสามภพ
เมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่เขามาถึงแดนเทพโบราณพร้อมกับเซียงหลิวหลี เขาถูกส่งไปยังตำหนักเต๋าหนี่หวาโดยเที่ยอวิ๋นไห่ หลังจากนั้นเขาได้รับคำสั่งให้เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามของตำหนักเต๋าหนี่หวา ‘สระศักดิ์สิทธิ์เบญจรงค์’ เพื่อเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ตัวสืออวี๋เองก็ไม่เคยคิดเลยว่าการปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้การบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นเท่านั้น เขายังฟื้นความทรงจำในชาติที่แล้วด้วยซ้ำ!
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า ในชาติก่อนนั้น แท้จริงแล้วเขาเป็นบริวารเต๋าของหนี่หวา บรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนักเต๋าหนี่หวา และมีนามว่าสือต้าอวี๋…
‘สืออวี๋’ และ ‘สือต้าอวี๋’ มันแตกต่างเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นตัวแทนของสองช่วงชีวิตที่แตกต่างกันระหว่างชาติก่อนและชาตินี้ ดังนั้นมันทำให้สืออวี๋ไม่สามารถยอมรับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ได้ แม้ว่าเขาจะออกจากการปิดด่านบ่มเพาะแล้วก็ตาม
“มันจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” เขาถามตัวเองในใจมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว
“ข้าได้ยินมาว่า ทั้งหมดนี้ถูกจัดเตรียมโดยบรรพชนผู้ก่อตั้งเมื่อหลายปีก่อน และมันไม่ได้มีไว้เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในวิถีสู่เต๋าของเจ้า” เซียงหลิวหลีกล่าวด้วยเสียงเบา ๆ จากด้านข้าง “เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากใจกับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าบรรพชนผู้ก่อตั้งทำสิ่งนี้เพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง”
“ข้ารู้” สืออวี๋ถอนหายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ข้าแค่สับสนงุนงงว่าเหตุใดถึงต้องเกิดในสามภพด้วย นี่มันแปลกนิดหน่อย”
“ศิษย์พี่สืออวี๋ บรรพชนผู้ก่อตั้งได้สั่งไว้ หากเจ้าพร้อมแล้ว ให้มุ่งหน้าไปยังหอมรดกเต๋า ท่านอาจารย์ลุงอวี่เจินจะพาเจ้าและศิษย์คนอื่น ๆ เข้าร่วมการถกวิถีเต๋า” ทันใดนั้น นกกระเรียนสีขาวเรียวก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้าเบา ๆ และกล่าวด้วยเสียงที่ชัดเจน
“ข้าจะไปที่นั่นทันที” สืออวี๋ตกตะลึง จากนั้นก็โบกมือ นกกระเรียนสีขาวกระพือปีกและหายไป
“ศิษย์น้องหลี เหลือเวลาไม่มากแล้ว และข้าจะมาหารือกับเจ้าอย่างเป็นทางการเมื่อข้ากลับมาแล้ว ในเวลานั้นข้าจะร้องขอบรรพชนผู้ก่อตั้งเป็นการส่วนตัว เพื่ออนุญาตให้เราได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียร” ในช่วงเวลาถัดมาสืออวี๋ หายใจเข้าลึก ๆ และวางมือบนไหล่ของเซียงหลิวหลี ก่อนที่จะมองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักอันลึกซึ้ง
เมื่อได้ยินคำกล่าวที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ ใบหน้าที่งดงามของเซียงหลิวหลีก็แดงก่ำ และนางก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาที่สุกสกาวของนางยังเผยให้เห็นความประหลาดใจที่น่ายินดีอย่างไม่รู้ตัว และมันเผยให้เห็นความคิดที่แท้จริงในใจนาง
“งั้น…. งั้นข้าจะรอเจ้า” เซียงหลิวหลีก้มศีรษะลงและกล่าวเบา ๆ เหมือนเสียงยุง นางไม่กล้าสบตากับสืออวี๋ที่เร่าร้อนด้วยความรักอันลึกซึ้ง
ทันใดนั้น สืออวี๋ก็จิกริมฝีปากของเซียงหลิวหลี จากนั้นก็หัวเราะดังสนั่น ในขณะที่หันหลังกลับและก้าวยาว ๆ จากไป
“ศิษย์น้องหลีเจ้าต้องรอข้ากลับมา”
“ถุย!” แก้มของเซียงหลิวหลีร้อนผ่าวราวกับไฟและแดงดุจเมฆสีดอกกุหลาบ นางก็ถ่มน้ำลายเบา ๆ ในขณะที่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสุขแทน “หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดคนผู้นี้ก็ให้สัญญากับข้า”
ในวันเดียวกันนั้นเองที่สืออวี๋และศิษย์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอีกสามสิบห้าคนของตำหนักเต๋าหนี่หวาได้ออกเดินทางไปยังศาลศักดิ์สิทธิ์กลางพร้อมกับอวี้เจิน ผู้อาวุโสแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวา และเริ่มต้นการเดินทางเพื่อเข้าร่วมการถกวิถีเต๋า
ไม่ใช่แค่เขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวา สำนักศักดิ์สิทธิ์ นิกายอำนาจเทวะ และแม้กระทั่งกองกำลังชั้นยอดมากมายในเอกภพจักรวรรดิ และแม้แต่แดนเทพโบราณทั้งหมดก็ออกเดินทางในวันเดียวกันนี้
จุดหมายปลายทางของพวกเขาเหมือนกัน นั่นคือศาลศักดิ์สิทธิ์กลาง!
เนื่องเพราะในอีกเดือนหนึ่งให้หลัง การถกวิถีเต๋าที่ทำให้เกิดการประลองกันมากมายในแดนเทพโบราณมาเป็นเวลาเนิ่นนาน กำลังจะเริ่มต้นที่ศาลศักดิ์สิทธิ์กลาง!
………………..